บทความที่ 2 “อีกหนึ่งเส้นทางสู่การเป็นนักวาดการ์ตูนอาชีพ (สายออริจินอล)” (คัดลอกมาจากเพจของนักวาดการ์ตูนเรื่อง Shinbuki)

ไปอ่านเจอบทความที่แชร์ประสบการณ์ของนักวาดการ์ตูนไทยท่านหนึ่ง เห็นว่าน่าสนใจจึงขอเอามาแชร์ด้านล่างนี้นะครับ
https://www.facebook.com/135380146563854/posts/1694625427305977/


2019年01月27日(日)
記事2 : บทความที่2
“อีกหนึ่งเส้นทางสู่การเป็นนักวาดการ์ตูนอาชีพ (สายออริจินอล)”
*คำเตือน บทความนี้โคตรยาวนะครับ

สืบเนื่องจากบทความที่แล้ว ถ้าใครยังไม่ได้อ่านก็ตามลิงค์นี้ครับ
https://www.facebook.com/Shinbuki/photos/a.135420839893118/1690065074428679/?type=3&theater

ก็มีคนสนใจถามเข้ามาเหมือนกันครับว่า เส้นทางการขายการ์ตูนของตัวเองบนอีบุ๊กเนี่ย ต้องทำอะไรยังไงบ้าง ก็เลยเกิดเป็นบทความที่สอง แต่ก็ตามหัวข้อนะครับ มันเป็นเพียง “อีกหนึ่งเส้นทาง” ที่ผมเคยใช้ ท่านอื่นๆก็จะมีวิธีที่แตกต่างกันออกไป และ วิธีที่คนหนึ่งคนใช้ได้ผล ก็อาจใช้ไม่ได้ผลกับคนอื่นๆ หากอ่านแล้วมันไม่ถูกจริต ไม่ใช่ทาง ก็ถือซะว่า อ่านเป็นความรู้นะครับ

หลายๆคนอาจยังคงคิดว่า ถ้าจะสร้างผลงานการ์ตูนของตัวเองออกขายซักเรื่อง ต้องลองเขียนละไปเสนอ สำนักพิมพ์ หรือ ผู้ให้บริการการ์ตูนออนไลน์ก่อน ถ้าผ่าน จึงจะมีโอกาสลืมตาอ้าปาก ผมขอเรียกระบบนี้ว่า “ระบบดั้งเดิม” ซึ่งไม่ใช่เส้นทางที่ผมจะนำเสนอ ที่ผมกำลังจะกล่าวถึง ผมขอเรียกว่า “ระบบใหม่” ครับ

ระบบดั้งเดิม - ชะตาชีวิตของเราจะขึ้นอยู่กับ กลุ่มคนแค่ไม่กี่คน อาจจะเป็นกองบรรณาธิการ หรือ เจ้าของ สนพ ที่เราไปเสนองาน ถ้าเขาไม่สนใจในงานของเรา คือ จบ ระบบดั้งเดิมนี้ มีข้อเสียที่ชัดเจนอยู่ครับ นั่นคือ กองบรรณาธิการ ต่อให้เป็นผู้มีประสบการณ์ของญี่ปุ่นก็ตาม เขาไม่สามารถฟันธงลงไปได้ว่า การ์ตูนเรื่องไหน จะไปได้ดี เรื่องไหนจะล่ม เขาแค่มองเห็นเป็นแนวทางตามประสบการณ์เท่านั้น อาจจะถูกต้องสัก 80% แต่เชื่อผมเถอะว่า แม้แต่ในญี่ปุ่นเอง ก็มีการ์ตูนที่โคตรสนุกอยู่ แต่ไม่มีโอกาสออกมาปรากฏสู่สายตาชาวโลก เพราะระบบดั้งเดิมนี้

ระบบใหม่ - เราจะใช้ กองบรรณาธิการ ตัวจริงครับ นั่นก็คือ “ผู้อ่าน” โดยเราจะเอางานลงสู่สาธารณะ และให้ผู้อ่านจำนวนมาก ตัดสินงานของเราร่วมกัน ถ้ามันไม่ดี มันก็ไปไม่รอดเอง และเราก็ค่อนข้างยอมรับมันได้ แน่นอนว่า เราสามารถไปต่อได้ ขอแค่มีคนกลุ่มหนึ่งที่ชอบงานเรา ไม่จำเป็นต้องเป็นคนส่วนใหญ่ครับ

ผมขอเล่าประสบการณ์นิดนึงเพื่อขยายความระบบนี้นะครับ ผมเคยเอาการ์ตูน Shinbuki ของตัวเอง จ้างคนแปลและทำเป็นฉบับ ENG แล้วนำไปลงในเว็บการ์ตูนของอเมริกา ระบบที่เขาใช้คือ “ระบบเงิน Pool” อธิบายให้เข้าใจง่ายๆก็คือ ในหนึ่งเดือน เขาจะกองเงินก้อนนึงไว้ตรงกลาง (ตีเป็นเงินไทยคือเยอะมาก) แล้วเงินนี้จะถูกจ่ายให้กับนักเขียนการ์ตูนทุกคนที่ลงผลงาน ตามยอดวิว (ซึ่งเขาต้องมีระบบตรวจสอบการปั๊มวิวอะไรที่รัดกุมอยู่ละ) ผมไต่เต้าอยู่ในนั้น จนสามารถไปติด 1 ใน 12 อันดับแรกได้ แต่ไม่เคยไปถึงขนาด ท็อป 5 ทีนี้ ที่เล่ามานี่ผมตั้งใจจะบอกว่า มันมีการ์ตูนอยู่เรื่องนึง ที่ติด 1 ใน 5 ตลอด แต่ว่า เมื่อเราลองกดเข้าไปดู เอ่อ... ผมกล้าบอกเลยว่า ถ้าเอางานตัวนี้มาให้ นักอ่านคนไทยดูนะ โดนด่าเละเทะ แถมยังโดนไล่กลับไปฝึกวาดอีกสิบปีแน่นอน ถ้าคุณนึกภาพไม่ออก ก็ลองดูเด็กประถมทั่วไปที่เริ่มฝึกวาดการ์ตูน เป็นยังไงก็คล้ายๆแบบนั้นครับ แต่...เขาติด 1 ใน 5 ตลอด ทั้งๆที่ในเว็บนั้น มีการ์ตูนงานภาพระดับพระกาฬอยู่เพียบเลยนะครับ...

สิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากเหตุการณ์นี้ก็คือ การ์ตูนเรื่องที่ว่า คงจะสนุกมาก ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ มันมีจุดขายที่แข็งแกร่งเพียงอย่างเดียวก็พอ ลองคิดดูนะครับ ถ้าเรื่องนี้เข้าสู่ “ระบบดั้งเดิม” ยังไงก็ไม่มีทางเกิดแน่นอน นี่คือสิ่งยืนยันถึงการมีอยู่ของ “ระบบใหม่” ที่เปิดกว้างกว่าครับ
(อารัมภบทจบซะที 555)

ขออนุญาต ออกตัวก่อนเริ่มนะครับ

1. ถ้าใครจะพูดว่า “ต้นทุนชีวิตไม่เท่ากัน โอกาสของผมมีมากกว่า” ก็ขอใช้การเล่าประวัติให้ฟังเล็กน้อยนะครับ ตั้งแต่จำความได้จนถึงทำงาน ครอบครัวผมหกชีวิต อาศัยอยู่แฟลตสามเหลี่ยมห้องเดียว ใช่ครับ คุณอ่านไม่ผิด ห้องมันไม่เป็นสี่เหลี่ยมด้วยซ้ำ มันเป็นสามเหลี่ยม แคบและอัตคัด สำหรับคนหกคน  พ่อแม่นี่เรียกได้ว่าปากกัดตีนถีบ เพื่อส่งลูกสี่คนให้เรียนจบ ทุกคนที่เรียนจบ ก็ต้องรีบหางานทำทันที ไม่งั้นที่บ้านจะไม่มีกินเอา ช่วงสิบปีหลัง ถึงจะดีขึ้น อยู่บ้านเซ้งที่ต้องจ่ายค่าเช่าอยู่ดี แต่ชีวิตความเป็นอยู่ก็ถือว่าดีขึ้นเยอะ... คร่าวๆก็ประมาณนี้ จะเห็นได้ว่าจุดเริ่มต้นของผมก็ไม่ได้มีอะไรได้เปรียบคนทั่วไปสักเท่าไหร่

2. ถ้าใครจะพูดว่า “ผมโชคดี โอกาสมาถึง” ก็ขอบอกเลยว่า นี่เป็นเส้นทางที่ต้องดิ้นเอง ไม่มีราชรถที่ไหนมาเกยทั้งนั้นครับ

3. ถ้าใครจะพูดว่า “คุณทำสำเร็จแล้วจะพูดให้ดูดียังไงก็ได้” ก็ต้องบอกว่า “ใช่สิครับ” ถ้าจะศึกษาอะไร คุณต้องฟังจากคนที่ทำสำเร็จ ถ้าคุณไปฟังแต่นักวิจารณ์ หรือแม้แต่ บรรณาธิการ ที่ไม่ได้ลงมือทำจนสำเร็จจริงๆ มันก็เป็นเพียง “ทฤษฎี” ที่ยังไม่เคยได้รับการพิสูจน์เท่านั้น
(อะไรจะพิมพ์เซฟตัวเองขนาดนั้นวะ 555)

อ่ะ มาดูขั้นตอนกันเลยดีกว่า ผมเขียนรวมๆ สำหรับคนที่ ยังไม่ได้มีฐานแฟนคลับ และไม่ได้มีฐานะร่ำรวยอะไรนะ

1.ช่วงสร้างผลงาน: ทำงานประจำ หรืองานหลักของตัวเองไปตามปกติ เพราะทุกคนต้องใช้เงิน แล้วเจียดเวลาหลังเลิกงาน มาสร้างผลงานหรือจะแอบวาดในเวลางานก็แล้วแต่ (ผมทำมาเยอะแล้ว) จุดนี้ เป็นความยากในช่วงแรก ที่ต้องสู้กับความเหนื่อย จากการทำงาน แล้วยังต้องมานั่งงกๆวาดการ์ตูนอีก วันไหนเหนื่อยก็พัก มีแรงพอก็วาด ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ จนมันเสร็จสักตอนนึง (ของผม 1 ตอนมีราวๆ 23 หน้า อันนี้บวกลบได้ ตามแต่สะดวกครับ) ก็เอามาลงสู่สาธารณะ ต้องมั่นใจก่อนว่างานเราโอเคในระดับนึงนะ แต่ไม่จำเป็นต้องรอจนโคตรเทพ เพราะนักวาดการ์ตูนทุกคนบนโลก ยังไงยิ่งวาดก็ยิ่งเก่ง มันไม่มีวันที่เก่งที่สุด ภาพจาก ตอนที่ 100 ของใครก็ตาม จะดูดีกว่า ตอนที่ 1 เสมอ เพราะงั้นไม่ต้องรอ ลงมือเลย จึงจะมีประสบการณ์ ส่วนพื้นที่สาธารณะที่ผมแนะนำ ให้เอางานไปลงก็คือ
https://www.nekopost.net/
http://www.ookbeecomics.com/
ที่เป็นสองที่นี้ เพราะเป็นเว็บของคนไทยที่สนับสนุนการ์ตูนไทยอยู่แล้ว ที่สำคัญคือ ไม่มีโฆษณาแปะเต็มไปหมดด้วย หรือถ้าเอาแบบ สบายๆเลย ก็แปะมันบนเฟสบุ๊กของตัวเองทีละตอนๆไปเลยก็ได้ครับ

ตรวจสอบผลจากด่านที่ 1
ถ้างานประจำที่คุณทำอยู่มันหนักหนาสาหัสมาก มันจะมีผลกระทบต่อวิธีในข้อหนึ่ง ไม่ใช่แค่ไม่มีแรงวาด ถ้าร่างกายเราเหนื่อย สมองจะคิดพล็อตเรื่องและบทพูดที่ดีไม่ได้ด้วย เผลอๆ 1 ปี ผลงานที่ออกมาอาจได้แค่ไม่กี่ตอน นั่นทำให้ ความตั้งใจเราเสียเอาง่ายๆ แต่ให้คิดครับว่า การได้มีโอกาสสร้างผลงานเป็นของตัวเอง ย่อมดีกว่าไม่ได้ทำอะไรเลย

2.ช่วงสร้างชื่อ: ลงผลงานไปเรื่อยๆ อย่างน้อย เดือนถึงสองเดือนต่อหนึ่งตอน ต่อเนื่องได้มากเท่าไหร่ยิ่งดี ถ้าถามว่า ต้องนานแค่ไหน ลองดูจากจำนวนที่ผมเคยทำมาแล้วก็ได้ จะได้สบายใจครับ จำนวนที่ผมลงให้อ่านฟรี คือ 46 ตอน (1,039 หน้า) กินเวลาประมาณ 2 ปี และบอกก่อนนะครับว่า ทุกหน้า ผมลงเส้นหมึก ถมดำ ติดสกรีนโทน ลงฟ้อนและเอ็ฝเฝ็ก ครบถ้วนตามกระบวนการทำการ์ตูนสายมังกะ ไม่ใช่วาดเขี่ยๆมาด้วยดินสอแล้วมาปรับเส้นเข้มในคอมอะไรแบบนั้นนะครับ ที่ยกตัวอย่างนี้ ไม่ได้หมายความว่า ต้องคุณภาพงานแบบนี้ ปริมาณเท่านี้ จึงจะขายได้ ไม่ตายตัวนะครับ ถ้าผลงานคุณดี สนุก คนอ่านชอบเยอะ ขยายตัวอย่างรวดเร็ว คุณก็เริ่มตัดขายได้เร็วกว่าที่ผมทำ ตอนผมทำ ผมตัดสินใจขายตอนที่ 47 ขึ้นไป เพราะคิดว่า มีฐานลูกค้าที่ชอบผลงานเรามากพอแล้ว

ตรวจสอบผลจากด่านที่ 2
ถ้างานเราถูกวิจารณ์ในเชิงลบเยอะ ไม่ว่าจะในแง่เนื้อเรื่อง หรือลายเส้น อาจต้องกลับมาฝึกฝนปรับปรุง และพัฒนาต่อ แล้วจึงเอาเรื่องเดิม (วาดใหม่) หรือจะวาดเรื่องใหม่ ก็ได้ ไปลงใหม่ ตามกระบวนการเดิมในข้อ 1 เพิ่มเติมคือ เวลาเราอ่านคอมเม้นงานจากผู้อ่าน ต้องคัดกรองให้ดี ว่าคอมเม้นไหน เขามาด้วยความจริงใจ “ติ” เพื่อให้เราสร้างผลงานที่ดีขึ้น คอมเม้นไหน “ติ” ด้วยอัคติ ล้วนๆ อันนี้ผมเจอมาเยอะครับ พวกที่พอเป็นมังกะญี่ปุ่น ภาพดีภาพเหียกไม่รู้ อ่านได้หมด แต่พอรู้ว่าคนไทยวาดเท่านั้นล่ะ ติกันทีละช่อง ช่องนี้โอเค ช่องนี้ไม่เวิร์ค ฯลฯ ถ้าเจอคอมเม้นสายนี้ ให้มองข้ามไปได้เลยครับ

3.ช่วงขาย: มีผู้ให้บริการ E-Book อยู่ไม่น้อยครับ (ผมวางขายอยู่ 6-7 เจ้า แต่ไม่เวิร์คซะเยอะ ถ้าทางผู้ให้บริการอีบุ๊กที่เราไปฝากขาย เขาไม่ค่อยทำตลาด ผู้อ่านจะเข้าไม่ถึงเลยครับ) เพราะงั้น ที่ผมแนะนำจะเป็น สองที่นี้
https://www.mebmarket.com/
http://www.ookbee.com/
ถ้าไม่รู้จะเริ่มลงขายยังไง ก็เข้าไปที่เพจ
https://www.facebook.com/mebmarket/
แล้วแช็ทคุยกับเจ้าหน้าที่ หรือโทรถามเจ้าหน้าที่ให้เขาสอนตั้งแต่เริ่มได้เลยไม่ต้องอาย เขายินดีให้คำปรึกษาครับ ของ MEB ที่เบอร์ 084-090-3148 (ไม่มีวันหยุดครับ) วิธีคิดส่วนแบ่ง จะอยู่ที่ราวๆ 70-30 ของราคาปก, 30% ที่เราต้องจ่ายเมื่อขายได้ (หลังหักภาษี) คือค่าบริการของตัวกลางชำระเงินเช่น apple กับค่าบริการของผู้ให้บริการที่เค้าทำระบบ E-Book ให้เราใช้ ถ้าเห็นยอดที่ถูกหักไปเยอะ ก็อย่าตกใจ ถือว่าเราจำเป็นต้องใช้บริการของเขาครับ (อย่าคิดจะขายงาน ด้วยการ ให้ลูกค้าโอนเงิน แล้วเราส่งให้ แบบแมนนวลนะครับ ไม่งั้นวุ่นแน่ๆ) โดยก่อนที่เราจะลงขาย เราอาจโพสแจ้งล่วงหน้าแก่ฐานคนอ่านของเราก่อนได้ ว่าเราอยากทำมันเต็มตัวนะ จึงจำเป็นต้องขาย และงานที่ออกมาจะไวขึ้นด้วย อะไรทำนองนี้ ซึ่งราคาที่ตั้งได้ต่ำสุดคือ 29 บ ต่อเล่ม ถ้าเราคิดจะขายตอนต่อในราคาตอนละ 29 บ อาจจะแพงไป จากที่ผมทำมาคือ 2 ตอน 29 บ (แล้วจากนั้นค่อยเริ่มจับตั้งแต่ตอนแรกสุด มามัดขายเป็นรวมเล่มอีกที สำหรับผู้อ่านที่อยากสะสม) ตัวอย่างหนังสือของผมก็สามารถเข้าไปดูได้ตามลิงค์นี้ครับ
http://www.mebmarket.com/index.php?action=Publisher&id=325030&name=Asamiya

ตรวจสอบผลจากด่านที่ 3
การสร้างงานให้มีคนติดตามเป็นกลุ่มก้อนได้ เป็นงานยากระดับนึง แต่ด่านที่ยากกว่า คือทำให้คนที่ติดตามงานของเรา ยอมควักเงินออกจากกระเป๋าเพื่อซื้องานของเราต่อครับ จุดนี้นอกจากเราจะต้องแข่งกับตัวเอง ในการสร้างผลงานให้ดีแล้ว คุณยังต้องเจอคู่แข่ง จำนวนมหาศาล นั่นก็คือ การ์ตูนญี่ปุ่น (ที่ในไทย อ่านฟรีเกือบทุกเรื่องเฉย) “ทำไมต้องจ่ายเงินอ่านเรื่องนี้ด้วย ในเมื่อมีการ์ตูนญี่ปุ่นคุณภาพเยอะแยะให้อ่านฟรีอยู่ถมเถื่อน” นี่คือความคิดของผู้อ่านจำนวนไม่น้อยนะครับ ถ้าคนที่ติดตามเราเป็นกลุ่มก้อนอยู่ดีๆ พอเราเริ่มขายแล้วคนซื้อหาย ก็ไม่ต้องแปลกใจ ผมให้ตีไว้เลยว่า ผู้อ่านที่ชอบงานเราทุกๆ 100 คน จะมีคนยอมซื้ออ่านต่อไม่ถึง 3 คน ในช่วงเริ่มต้นขาย ระยะเวลาการขยายตัวจากตรงนี้ มีปัจจัยหลายอย่างที่เราควบคุมยาก ผมจึงบอกไม่ได้ว่า ต้องกินเวลานานแค่ไหน แต่อย่าลืมว่ามาจนถึงขั้นตอนนี้ เราก็ยังทำงานหลักของเราอยู่นะครับ และเราจะลาออกได้ต่อเมื่อ รายรับจากยอดขายของเรา ขึ้นมาเทียบชั้นหรือมากกว่ารายรับที่เราได้จากงานประจำแล้ว

  
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่