สวัสดีค่ะ หายหน้าหายตาไปนาน ไม่ได้หนีไปไหน เพียงแต่ว่ายุ่งกับ โปรเจ็คใหม่อยู่ค่ะ ตอนแรกกำลังคิดว่าจะเล่าเรื่องอะไรให้ฟังดีหนอ เพราะมีเยอะมากค่ะ แต่เอาเรื่องนี้ก็แล้วกัน เพราะเพิ่งจะเกิดขึ้นสดๆร้อนๆ เรื่องก็คือ เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ได้ไปล่องเรือสำราญมาค่ะ คราวนี้เป็นครั้งที่สองแล้วที่ไป กับเรือลำนี้ และประทับใจกับเรือลำนี้ และการบริการของพนักงานทุกคนในเรือลำนี้มากค่ะ
เมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว เราตัดสินใจลองไปล่องเรือสำราญกับ Royal Caribbean ด้วยเรือ Liberty of the Sea แล้วติดใจกับการบริการ และ รู้สึกได้ว่าเราได้พักผ่อนอย่างจริงจัง ปีนี้คุณสามีเลยอยากไปอีก แต่จะไปในเส้นทางใหม่ ก็คือ Galveston, TX., Roatan-Hondurus, Baliz, และ Cozumel-Mexico. ด้วยความที่เส้นทางสายนี้ เราอยากไปเมื่อปีที่แล้ว แต่วันเวลาและกำหนดการมันไม่ตรงกัน เลยต้องไปสายอื่นก่อนก็คือ Galveston, TX., Cozumel-Mexico, Fountmont -Jamaica, และ Grand Cayman ซึ่งฉันจะย้อนมาเล่ารายละอียด ของแต่ละเมืองในเส้นทางนี้อีกครั้ง ในตอนท้ายนะคะ
ด้วยความที่เราอยากไป Baliz มากๆ เพราะใครๆก็ว่าเป็นเมืองที่สวยงาม เราเลยต้องพยายามทำให้การเดินทางนี้เป็นความจริง แม้ว่ามันจะยุ่งยาก ลำบากนิดนึงเราก็อยากจะไปอยู่ดี
เรื่องมันมีอยู่ว่าเรือเขาออกเดินทางระหว่างวันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม ถึงวันที่เสาร์ ที่ 13 มกราคม คุณลูกสาวที่ปิดเทอมอยู่ในช่วงภาคฤดูหนาว โรงเรียนก็ดันจะมาเปิดเอาวันที่ 7 มกราคม ฉันก็ต้องเขียนจดหมาย ไปขอลูกสาวลาหยุดหนึ่งอาทิตย์ ที่เป็นอาทิตย์แรกของเทอมใหม่ ฉันต้องเอาไปยื่นให้ที่ออฟฟิต ในวันสุดท้ายก่อนปิดเทอม โดนคุณครูดุนิดๆว่า การลาหยุดเพื่อไปเที่ยวนี่มันยกเว้นไม่ได้นะคะ การลาหยุดแบบยกเว้น ที่เขาเรียกกันว่า Excuse Absent คือการลาป่วย การลาไปหาหมอ หรือการลา ไปงานศพ วันลาเหล่านี้จะไม่นับเป็นขาดเรียน ส่วนการลา ในกรณีอื่นๆ คือการขาดเรียน ที่หากขาดเรียนบ่อยๆ หรือเรียนไม่ครบจำนวนวันที่เขากำหนด เขาอาจจะพิจารณาเอาเด็กออกจากโรงเรียนได้ ซึ่งโรงเรียนที่ลูกสาวเรียนอยู่นี้ แม้ว่าจะเป็นโรงเรียนของรัฐ ที่เรียนฟรี แต่เป็นโรงเรียนพิเศษ ที่เรียกว่า Charter School เป็นระบบปิด จะรับแต่นักเรียนที่เรียนดี มีระบบการเรียนการสอนที่เข้มงวด มากกว่าโรงเรียนของรัฐอีกแบบหนึ่ง ที่เรียกว่า Public School โรงเรียนนี้จะเรียนฟรี และรับเด็กทุกคน จะเรียนเก่งเรียนอ่อน ก็รับหมด จะไม่มีการไล่เด็กออก นอกจากการทำโทษ หรือพักการเรียน
คุณคงจะมีคำถามใช่ไหมคะว่า แล้วเราเลือกไปช่วงที่ลูกเปิดเทอมทำไม คำตอบก็คือ ด้วยงานเคเทอริ่งของเรา ช่วงวันหยุดเทศกาล Thankgiving Day, Christmast, และปีใหม่ คือช่วงที่ทำเงินที่สุดในรอบปีค่ะ อีกอย่างทุกๆต้นปี ในวันเสาร์แรกของเดือนมกราคม (ปีนี้ งานเขามีวันที่เสาร์ที่ 5 มกราคม) ทางบริษัทเคเทอริ่งของเรา ต้องเข้าร่วมงาน Wedding Show ค่ะ ถ้าใครได้อ่านเรื่องเล่า ตอนเคเทอริ่งที่รัก คงจะทราบว่า เราได้เข้าร่วมงาน Wedding Show นี้มาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้วค่ะ และงานนี้เป็นงานที่เราขาดไม่ได้ นอกจากทุกๆคน จะรู้จักเรา และตั้งหน้าตั้งตารอ ให้เราไปเปิดบู้ทที่งานนี้แล้ว การเข้าร่วมงาน Wedding Show เพียงแค่งานเดียว สามารถทำให้เรามีลูกค้า บุ๊คงานเราไปตลอดปีค่ะ
ดังนั้นเราจึงไม่สามารถพลาดงาน Wedding Show ได้เลยค่ะ จึงทำให้เราเลือกที่จะให้ลูกสาวลาหยุดโรงเรียน หนึ่งอาทิตย์ ก็ไม่ใช่ว่าเห็นแก่เงิน ไม่เห็นแก่ลูก แต่ใครๆ เขาก็เข้าใจความจำเป็นค่ะ ถึงแม้ทาง คุณครูจะไม่เห็นด้วยกับการที่ลูกสาวต้องขาดเรียน แต่เขาสนับสนุนว่าให้เด็กไปค่ะ เพราะการเรียนที่ไหน ก็ไม่สามารถทดแทน การเรียนในชีวิตจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้เดินทางไปยังประเทศต่างๆของลูกสาวในครั้งนี้ค่ะ
โอเค เรื่องลูกสาวเป็นอันโอเค ทีนี้เรื่องเวลาและการเดินทาง ด้วยว่าไอ้งาน Wedding Show มันมีวันเสาร์ที่ 5 มกราคม ตั้งแต่ เวลา 7 โมงเช้า ถึง 6โมงเย็น แต่เราต้องไปขึ้นเรือที่ท่าเรือเมือง Galveston รัฐ Texas ที่อยู่ห่างจากบ้านไปประมาณ 10 ชั่วโมงรถขับ ในวันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม เออเนาะ จะทำยังไงดี แต่ด้วยความที่ว่าอยากไปเส้นทางนี้มาก เราเลยต้องวางแผนการเดินทางไปเป็นอย่างดี
หลังจากวันคริสต์มาสต์ งานที่บริษัทเคเทอริ่งก็เริ่มเพลาๆลง คุณสามีที่เคยทำงานแบบ One Man Show ทำอาหารเอง ช่วงหลังๆ เขาก็เริ่มที่จะไว้ใจ ให้ลูกน้องมาทำอาหารมากขึ้น และเขาเป็นคนชิม คนสอน และคนควบคุมการผลิต ดังนั้น การที่จะทิ้งบริษัทไปเที่ยว 10 วัน จึงเป็นอะไรที่คุณสามีเครียดมาก แต่ก็อย่างว่านะคะ ถ้าเราไม่ทำใจปล่อยวางบ้าง เราก็จะติดอยู่กับที่ ไปไหนไม่ได้เลย แต่ด้วยว่าเรามีลูกน้องที่ดี และเขารับปากว่าจะดูแลงานที่บริษัทให้เป็นอย่างดีที่สุด คุณสามีเลยค่อยวางใจได้ ส่วนฉัน ที่เมื่อเดือนตุลาคม คุณสามีและฉันเปิดร้านอาหารฝรั่ง ในสไตล์คาเฟทีเรีย (ขอติดไว้ก่อนนะคะ แล้วจะมาเล่าให้ฟังวันหลัง) ซึ่งเราก็วางตัวคนงานไว้ว่า ใครทำอะไร คุณสามีให้ฉันเทรนคนงานทั้งหมด ซึ่งฉันก็รู้อยู่แล้วหล่ะว่า จะไปเที่ยววันนี้ๆนะ ก็บอกเขาล่วงหน้า และก็ผลักดัน เทรนงานกันสุดๆ ซึ่งลูกน้องก็ทำออกมาได้อย่างน่าพอใจในส่วนหนึ่ง (แต่ปัญหามันก็มีค่ะ แต่ไม่อยากคิดมาก เพราะเดี๋ยวจะไม่ได้ไปเที่ยว 555)
เอาหล่ะ พอหลังวันปีใหม่ เราก็มาเตรียมเรื่องงาน Wedding Show ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ อัพเดทข้อมูล ในโบชัวร์ และดูว่า โบชัวร์ และนามบัตร มีมากพอไหม การไปงานออกบู้ท เราก็มีกิมมิคที่เรียกลูกค้าเข้าบูท ส่วนกิมมิคของเราก็คือ การแจกอาหาร อย่างที่เคยเล่าให้ฟังในเรื่องเล่า ตอนเคเทอริ่งที่รัก ที่เราเอาซูชิ ไปแจกทุกปี ปีนี้เราก็มีซูชิ และอาหาร Appitizer อีกสองอย่าง แต่กิมมิคสำคัญ คือการทำอย่างไร จะได้ข้อมูลส่วนตัวลูกค้า แต่ละบูทก็มีแผนการทำต่างๆกันไป ส่วนของเรา เราเอารางวัลมาล่อ คือ การให้เขียนชื่อใส่บัตร ใส่โหล ชิงโชคจับรางวัล ที่ผู้ชนะจะได้รับรางวัลเป็น Premium Cheese Display สำหรับงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสของผู้ชนะ มูลค่า 500 เหรียญ ซึ่งปีนี้ ก็ได้การตอบรับอย่างดี และได้ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ซึ่งจะเอามาติดต่อ เสนองานหลังจากกลับมาจากไปเที่ยว

งานออกบู้ท Wedding Show ของบริษัทเคเทอริ่งของเราค่ะ คุณสามารถเข้าไปเยี่ยมชม เฟสบุ๊คของเราได้นะคะ ที่
https://www.facebook.com/vitterscateringtulsa/
เมื่อทุกคนพร้อมออกเดินทางเราก็มุ่งหน้าขับรถลงใต้ แต่ถ้าจะให้ขับไปถึง Galveston เลยคงต้องขับรถกันทั้งคืน ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเราสองคน ก็ตื่นกันตั้งแต่ตีห้า มาจัดงาน Wedding Show พูดคุยกับลูกค้า จนคอหอยแห้ง มาทั้งวัน ถ้าจะขับรถสิบกว่าชั่วโมงอีก คงจะไม่ดี แต่เราก็วางแผนกันแล้วหล่ะว่า เราจะขับไปหยุด นอนพักที่บ้านเพื่อนที่เมือง Grapevine รัฐ Texas ที่ห่างจากบ้านเรา ประมาณ 4-5 ชั่วโมงรถขับ
Grapevine เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่าง เมืองใหญ่ที่คนไทยเราๆรู้จักกันคือ เมือง Dallas และ เมือง Forth Worth เพราะสองเมืองใหญ่นี้มี คนไทยอยู่มากๆเลย แต่ Grapvine จะเป็นเมืองเล็กๆ ของรัฐเท็กซัส มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มาตั้งแต่ปี 1843 เมื่อนายพลแซม อุสตั้น หรือ General Sam Houston และตัวแทนของรัฐเท็กซัส ได้พบปะเจรจาต่อรอง กับหัวหน้า และตัวแทนชาวอินเดียนแดง สิบคน ในเรื่องการขอร่วมอยู่อาศัย และใช้สอยพื้นที่ใน Grape Vine Springs ซึ่งเป็นดินแดนของชาวอินเดีนแดง ที่เขาเรียกว่า Tah-Wah-Karro Creek ซึ่งการเจรจานี้ก็เป็นไปอย่างสันติ เพราะนายพลแซม ฮุสตั้น สัญญาว่าจะไม่ล่วงเกิน และกดขี่ข่มเหง ชาวอินเดียนแดง และจะช่วยป้องกันไม่ให้ชาวต่างชาติตะวันตก อย่างประเทศสเปน มาทำศึก ช่วงชิงดินแดนของชาวอินเดียนแดง ในเขตรัฐเท็กซัส (ซึ่งที่จริง นายพลแซม ฮุสตั้น อยากจะให้รัฐเท็กซัส เป็นประเทศอิสระ มากกว่าที่จะขึ้นกับประเทศอเมริกา) ซึ่งชาวอินเดียนแดงก็ยินดี และเปิดโอกาสให้คนมาตั้งรกรากทำมาหากิน ในพื้นที่เขตนี้ได้ ซึ่งรายละเอียดการเจรจานี้ มีบันทึกไว้ในบัญญัติ Treaty of Birds Fort ซึ่งภายในหนึ่งปี หลังจากการเจรจาก็ทำให้ ผู้คนหลั่งไหลมาตั้งรกราก สร้างบ้าน สร้างเมืองกันมากมาย และผู้คนพากันตั้งชื่อหมู่บ้านนี้ว่า Grapevine
ซึ่งเมือง Grapevine ถือว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของเขต Tarrant County ที่ถือว่าเป็นเมื่อเก่าแก่ ดั้งเดิมภายใต้ ธงของรัฐเท็กซัส ที่เรียกว่า the Lone Star flag of the Republic of Texas ในปี 1844 ที่เป็นปีที่รัฐเท็กซัส ยอมเข้าร่วมเป็นรัฐหนึ่งของประเทศอเมริกา ซึ่งในปัจจุบัน เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ที่ควบคู่ไปกับความเจริญทางการค้า และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งเป็นเมืองที่น่าอยู่อีกเมืองหนึ่งของรัฐเท็กซัส และเพื่อนของเราเป็นนักบินของสายการบิน อเมริกันแอร์ไลน์ เลือกที่จะอยู่ที่เมืองนี้ เพราะว่าเป็นเมืองเล็กๆ ที่น่าอยู่ และไม่ไกลจากสนามบิน Dallas/Forth Worth International Airport เท่าไหร่นัก
ซึ่งการเดินทางของเราในคืนวันนั้น กว่าจะขับรถจากบ้านถึงบ้านเพื่อนของเรานั้น ก็ปาไปเกือบจะเที่ยงคืน เพื่อนเขาก็ดีมากๆ อุตส่าห์อดหลับ อดนอน อยู่รอเราจนเราไปถึง ซึ่งเมียเขาและลูกๆก็นอนกันหมดแล้วหล่ะ ตอนที่เราไปถึง เมื่อไปถึง ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ฉันกับลูกสาวก็ขอตัวนอนกันก่อนเลยค่ะ เพราะง่วงมาก ส่วนคุณสามีกับเพื่อน ก็คุยกันไป ประสาที่ไม่ได้เจอกันนาน
ฉันนอนสักพักก็สะดุ้งตื่น เพราะตอนเช้านอกจาก เราจะไว้ว่าจะออกบ้านไม่เกิน 7 โมงเช้า เพื่อที่จะขับรถต่อไปยังท่าเรือ ไปเช็คอิน ขึ้นเรือไม่เกินบ่ายโมง แต่ว่าฉันมีภาระกิจเรื่องการจ่ายเงินเดือนพนักงาน ที่จะต้องทำก่อนจะขึ้นเรือ เพราะพอขึ้นไปแล้ว อินเตอร์เน็ทในเรืออาจจะใช้ไม่ได้ ก็ได้ ใครจะไปรู้ นอนดิ้นไปดิ้นมาสักพัก ในหัวมีคำคุณสามีบอกว่า เขาตั้งนาฬิกาปลุกตอน หกโมงเช้า เอ่อ ตื่นหกโมงเช้า สามคนพ่อแม่ลูก อาบน้ำแต่งตัว และอีฉันต้องมานั่งทำ Payroll จ่ายเงินเดือนพนักงาน จะมีเวลาพอทำอะไร ที่จะออกเดินทางเจ็ดโมง นี่มันจะทันไหมหนอ ฉันเลยตัดสินใจลุกขึ้น พอคว้านาฬิกามาดู คือ ตีห้า ห้าสิบห้า 5555 โถ่คิดว่าจะตื่นเช้ามาก ที่ไหนได้ ตื่นก่อนนาฬิกาปลุก ห้านาที
ฉันนี่รีบเลย อาบน้ำอาบท่า แล้วปลุกลูกสาว และพ่อเขาให้อาบน้ำ ส่วนตัวฉันคว้า แล็บท๊อป มาทำงาน จ่ายเงินเดือนคนงานทางอินเตอร์เน็ท ซึ่งการจ่ายเงินเดือน คนงานนั้น ทางบริษัทของเรา ได้จ้างบริษัท Payroll ออนไลน์ ที่เขาทำหน้าที่จัดการเรื่อง คำนวนเงินค่าจ้างรายชั่วโมง อย่างเช่น ถ้าพนักงานคนนี้ มีเรท ค่าจ้าง 10 เหรียญต่อชัวโมง เขาทำงาน 40 ชั่วโมง ต่ออาทิตย์ และบริษัทเราจ่ายเงินทุกๆสองอาทิตย์ เขาทำงานสองอาทิตย์ เป็นเวลา 80 ชั่วโมง ได้เงินเท่าไหร่ หักเงินค่าภาษีประเทศ (Federal) ภาษีรัฐ (State) หักเงินค่าประกันสังคม หักเงินค่าประกันสุขภาพ สุดท้ายเหลือเงินเท่าไหร่ เมื่อคำนวนเสร็จ ก็จัดการส่งเงินเดือนของพนักงาน เข้าบัญชีของพนักงานแต่ละคน จากนั้นเงินที่เขาหักค่าภาษีต่างๆ และเงินค่าประกันสังคม และสุขภาพ เขาก็จัดส่งสำนักงานต่างๆ โดยที่ฉันมีหน้าที่ เข้าออนไลน์ แจ้งให้เขาทราบว่า ลูกจ้างแต่ละคน ภายในสองอาทิตย์ มีเวลาทำงานคนละเท่าไหร่ ง่ายๆแค่นั้นเองหล่ะ แต่คราวนี้ฉันต้องทำล่วงหน้าถึงหก เจ็ดวัน ก่อนที่จะถึงวันจ่ายเงินจริง แต่ถึงแม้จะทำเรื่องจ่ายเงินล่วงหน้า แต่ทางเขาก็จะกักไว้ ไม่จ่ายเงินเข้าบัญชีพนักงาน จนกระทั่งเช้าวันศุกร์ ซึ่งก็ถือว่าสะดวกสบาย ไปในขั้นหนึ่ง ของคนที่มีธุรกิจ
และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ฉันและคณะ ก็ออกเดินทางกันตอนเจ็ดโมงเช้า ซึ่งออกเช้ามากๆ คนในบ้านยังหลับกันอยู่เลย ก็ถือว่าต้องขอบคุณ ครอบครัวนี้จริงๆ ที่ให้เรามาอาศัยนอนเอาแรง

ภาพเมือง Grapevine ค่ะ
เล่าได้เล่าดี ตอนติดเกาะเคลื่อนที่ (เรือสำราญ) กลาง Caribbean Sea ตอนที่ 1
เมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว เราตัดสินใจลองไปล่องเรือสำราญกับ Royal Caribbean ด้วยเรือ Liberty of the Sea แล้วติดใจกับการบริการ และ รู้สึกได้ว่าเราได้พักผ่อนอย่างจริงจัง ปีนี้คุณสามีเลยอยากไปอีก แต่จะไปในเส้นทางใหม่ ก็คือ Galveston, TX., Roatan-Hondurus, Baliz, และ Cozumel-Mexico. ด้วยความที่เส้นทางสายนี้ เราอยากไปเมื่อปีที่แล้ว แต่วันเวลาและกำหนดการมันไม่ตรงกัน เลยต้องไปสายอื่นก่อนก็คือ Galveston, TX., Cozumel-Mexico, Fountmont -Jamaica, และ Grand Cayman ซึ่งฉันจะย้อนมาเล่ารายละอียด ของแต่ละเมืองในเส้นทางนี้อีกครั้ง ในตอนท้ายนะคะ
ด้วยความที่เราอยากไป Baliz มากๆ เพราะใครๆก็ว่าเป็นเมืองที่สวยงาม เราเลยต้องพยายามทำให้การเดินทางนี้เป็นความจริง แม้ว่ามันจะยุ่งยาก ลำบากนิดนึงเราก็อยากจะไปอยู่ดี
เรื่องมันมีอยู่ว่าเรือเขาออกเดินทางระหว่างวันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม ถึงวันที่เสาร์ ที่ 13 มกราคม คุณลูกสาวที่ปิดเทอมอยู่ในช่วงภาคฤดูหนาว โรงเรียนก็ดันจะมาเปิดเอาวันที่ 7 มกราคม ฉันก็ต้องเขียนจดหมาย ไปขอลูกสาวลาหยุดหนึ่งอาทิตย์ ที่เป็นอาทิตย์แรกของเทอมใหม่ ฉันต้องเอาไปยื่นให้ที่ออฟฟิต ในวันสุดท้ายก่อนปิดเทอม โดนคุณครูดุนิดๆว่า การลาหยุดเพื่อไปเที่ยวนี่มันยกเว้นไม่ได้นะคะ การลาหยุดแบบยกเว้น ที่เขาเรียกกันว่า Excuse Absent คือการลาป่วย การลาไปหาหมอ หรือการลา ไปงานศพ วันลาเหล่านี้จะไม่นับเป็นขาดเรียน ส่วนการลา ในกรณีอื่นๆ คือการขาดเรียน ที่หากขาดเรียนบ่อยๆ หรือเรียนไม่ครบจำนวนวันที่เขากำหนด เขาอาจจะพิจารณาเอาเด็กออกจากโรงเรียนได้ ซึ่งโรงเรียนที่ลูกสาวเรียนอยู่นี้ แม้ว่าจะเป็นโรงเรียนของรัฐ ที่เรียนฟรี แต่เป็นโรงเรียนพิเศษ ที่เรียกว่า Charter School เป็นระบบปิด จะรับแต่นักเรียนที่เรียนดี มีระบบการเรียนการสอนที่เข้มงวด มากกว่าโรงเรียนของรัฐอีกแบบหนึ่ง ที่เรียกว่า Public School โรงเรียนนี้จะเรียนฟรี และรับเด็กทุกคน จะเรียนเก่งเรียนอ่อน ก็รับหมด จะไม่มีการไล่เด็กออก นอกจากการทำโทษ หรือพักการเรียน
คุณคงจะมีคำถามใช่ไหมคะว่า แล้วเราเลือกไปช่วงที่ลูกเปิดเทอมทำไม คำตอบก็คือ ด้วยงานเคเทอริ่งของเรา ช่วงวันหยุดเทศกาล Thankgiving Day, Christmast, และปีใหม่ คือช่วงที่ทำเงินที่สุดในรอบปีค่ะ อีกอย่างทุกๆต้นปี ในวันเสาร์แรกของเดือนมกราคม (ปีนี้ งานเขามีวันที่เสาร์ที่ 5 มกราคม) ทางบริษัทเคเทอริ่งของเรา ต้องเข้าร่วมงาน Wedding Show ค่ะ ถ้าใครได้อ่านเรื่องเล่า ตอนเคเทอริ่งที่รัก คงจะทราบว่า เราได้เข้าร่วมงาน Wedding Show นี้มาเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้วค่ะ และงานนี้เป็นงานที่เราขาดไม่ได้ นอกจากทุกๆคน จะรู้จักเรา และตั้งหน้าตั้งตารอ ให้เราไปเปิดบู้ทที่งานนี้แล้ว การเข้าร่วมงาน Wedding Show เพียงแค่งานเดียว สามารถทำให้เรามีลูกค้า บุ๊คงานเราไปตลอดปีค่ะ
ดังนั้นเราจึงไม่สามารถพลาดงาน Wedding Show ได้เลยค่ะ จึงทำให้เราเลือกที่จะให้ลูกสาวลาหยุดโรงเรียน หนึ่งอาทิตย์ ก็ไม่ใช่ว่าเห็นแก่เงิน ไม่เห็นแก่ลูก แต่ใครๆ เขาก็เข้าใจความจำเป็นค่ะ ถึงแม้ทาง คุณครูจะไม่เห็นด้วยกับการที่ลูกสาวต้องขาดเรียน แต่เขาสนับสนุนว่าให้เด็กไปค่ะ เพราะการเรียนที่ไหน ก็ไม่สามารถทดแทน การเรียนในชีวิตจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้เดินทางไปยังประเทศต่างๆของลูกสาวในครั้งนี้ค่ะ
โอเค เรื่องลูกสาวเป็นอันโอเค ทีนี้เรื่องเวลาและการเดินทาง ด้วยว่าไอ้งาน Wedding Show มันมีวันเสาร์ที่ 5 มกราคม ตั้งแต่ เวลา 7 โมงเช้า ถึง 6โมงเย็น แต่เราต้องไปขึ้นเรือที่ท่าเรือเมือง Galveston รัฐ Texas ที่อยู่ห่างจากบ้านไปประมาณ 10 ชั่วโมงรถขับ ในวันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม เออเนาะ จะทำยังไงดี แต่ด้วยความที่ว่าอยากไปเส้นทางนี้มาก เราเลยต้องวางแผนการเดินทางไปเป็นอย่างดี
หลังจากวันคริสต์มาสต์ งานที่บริษัทเคเทอริ่งก็เริ่มเพลาๆลง คุณสามีที่เคยทำงานแบบ One Man Show ทำอาหารเอง ช่วงหลังๆ เขาก็เริ่มที่จะไว้ใจ ให้ลูกน้องมาทำอาหารมากขึ้น และเขาเป็นคนชิม คนสอน และคนควบคุมการผลิต ดังนั้น การที่จะทิ้งบริษัทไปเที่ยว 10 วัน จึงเป็นอะไรที่คุณสามีเครียดมาก แต่ก็อย่างว่านะคะ ถ้าเราไม่ทำใจปล่อยวางบ้าง เราก็จะติดอยู่กับที่ ไปไหนไม่ได้เลย แต่ด้วยว่าเรามีลูกน้องที่ดี และเขารับปากว่าจะดูแลงานที่บริษัทให้เป็นอย่างดีที่สุด คุณสามีเลยค่อยวางใจได้ ส่วนฉัน ที่เมื่อเดือนตุลาคม คุณสามีและฉันเปิดร้านอาหารฝรั่ง ในสไตล์คาเฟทีเรีย (ขอติดไว้ก่อนนะคะ แล้วจะมาเล่าให้ฟังวันหลัง) ซึ่งเราก็วางตัวคนงานไว้ว่า ใครทำอะไร คุณสามีให้ฉันเทรนคนงานทั้งหมด ซึ่งฉันก็รู้อยู่แล้วหล่ะว่า จะไปเที่ยววันนี้ๆนะ ก็บอกเขาล่วงหน้า และก็ผลักดัน เทรนงานกันสุดๆ ซึ่งลูกน้องก็ทำออกมาได้อย่างน่าพอใจในส่วนหนึ่ง (แต่ปัญหามันก็มีค่ะ แต่ไม่อยากคิดมาก เพราะเดี๋ยวจะไม่ได้ไปเที่ยว 555)
เอาหล่ะ พอหลังวันปีใหม่ เราก็มาเตรียมเรื่องงาน Wedding Show ก็ไม่มีอะไรมาก เพียงแค่ อัพเดทข้อมูล ในโบชัวร์ และดูว่า โบชัวร์ และนามบัตร มีมากพอไหม การไปงานออกบู้ท เราก็มีกิมมิคที่เรียกลูกค้าเข้าบูท ส่วนกิมมิคของเราก็คือ การแจกอาหาร อย่างที่เคยเล่าให้ฟังในเรื่องเล่า ตอนเคเทอริ่งที่รัก ที่เราเอาซูชิ ไปแจกทุกปี ปีนี้เราก็มีซูชิ และอาหาร Appitizer อีกสองอย่าง แต่กิมมิคสำคัญ คือการทำอย่างไร จะได้ข้อมูลส่วนตัวลูกค้า แต่ละบูทก็มีแผนการทำต่างๆกันไป ส่วนของเรา เราเอารางวัลมาล่อ คือ การให้เขียนชื่อใส่บัตร ใส่โหล ชิงโชคจับรางวัล ที่ผู้ชนะจะได้รับรางวัลเป็น Premium Cheese Display สำหรับงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสของผู้ชนะ มูลค่า 500 เหรียญ ซึ่งปีนี้ ก็ได้การตอบรับอย่างดี และได้ข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า ซึ่งจะเอามาติดต่อ เสนองานหลังจากกลับมาจากไปเที่ยว
งานออกบู้ท Wedding Show ของบริษัทเคเทอริ่งของเราค่ะ คุณสามารถเข้าไปเยี่ยมชม เฟสบุ๊คของเราได้นะคะ ที่ https://www.facebook.com/vitterscateringtulsa/
เมื่อทุกคนพร้อมออกเดินทางเราก็มุ่งหน้าขับรถลงใต้ แต่ถ้าจะให้ขับไปถึง Galveston เลยคงต้องขับรถกันทั้งคืน ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะเราสองคน ก็ตื่นกันตั้งแต่ตีห้า มาจัดงาน Wedding Show พูดคุยกับลูกค้า จนคอหอยแห้ง มาทั้งวัน ถ้าจะขับรถสิบกว่าชั่วโมงอีก คงจะไม่ดี แต่เราก็วางแผนกันแล้วหล่ะว่า เราจะขับไปหยุด นอนพักที่บ้านเพื่อนที่เมือง Grapevine รัฐ Texas ที่ห่างจากบ้านเรา ประมาณ 4-5 ชั่วโมงรถขับ
Grapevine เป็นเมืองเล็กๆ ที่ตั้งอยู่ระหว่าง เมืองใหญ่ที่คนไทยเราๆรู้จักกันคือ เมือง Dallas และ เมือง Forth Worth เพราะสองเมืองใหญ่นี้มี คนไทยอยู่มากๆเลย แต่ Grapvine จะเป็นเมืองเล็กๆ ของรัฐเท็กซัส มีประวัติศาสตร์ยาวนาน มาตั้งแต่ปี 1843 เมื่อนายพลแซม อุสตั้น หรือ General Sam Houston และตัวแทนของรัฐเท็กซัส ได้พบปะเจรจาต่อรอง กับหัวหน้า และตัวแทนชาวอินเดียนแดง สิบคน ในเรื่องการขอร่วมอยู่อาศัย และใช้สอยพื้นที่ใน Grape Vine Springs ซึ่งเป็นดินแดนของชาวอินเดีนแดง ที่เขาเรียกว่า Tah-Wah-Karro Creek ซึ่งการเจรจานี้ก็เป็นไปอย่างสันติ เพราะนายพลแซม ฮุสตั้น สัญญาว่าจะไม่ล่วงเกิน และกดขี่ข่มเหง ชาวอินเดียนแดง และจะช่วยป้องกันไม่ให้ชาวต่างชาติตะวันตก อย่างประเทศสเปน มาทำศึก ช่วงชิงดินแดนของชาวอินเดียนแดง ในเขตรัฐเท็กซัส (ซึ่งที่จริง นายพลแซม ฮุสตั้น อยากจะให้รัฐเท็กซัส เป็นประเทศอิสระ มากกว่าที่จะขึ้นกับประเทศอเมริกา) ซึ่งชาวอินเดียนแดงก็ยินดี และเปิดโอกาสให้คนมาตั้งรกรากทำมาหากิน ในพื้นที่เขตนี้ได้ ซึ่งรายละเอียดการเจรจานี้ มีบันทึกไว้ในบัญญัติ Treaty of Birds Fort ซึ่งภายในหนึ่งปี หลังจากการเจรจาก็ทำให้ ผู้คนหลั่งไหลมาตั้งรกราก สร้างบ้าน สร้างเมืองกันมากมาย และผู้คนพากันตั้งชื่อหมู่บ้านนี้ว่า Grapevine
ซึ่งเมือง Grapevine ถือว่าเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของเขต Tarrant County ที่ถือว่าเป็นเมื่อเก่าแก่ ดั้งเดิมภายใต้ ธงของรัฐเท็กซัส ที่เรียกว่า the Lone Star flag of the Republic of Texas ในปี 1844 ที่เป็นปีที่รัฐเท็กซัส ยอมเข้าร่วมเป็นรัฐหนึ่งของประเทศอเมริกา ซึ่งในปัจจุบัน เมืองนี้เป็นเมืองเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ ที่ควบคู่ไปกับความเจริญทางการค้า และเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งเป็นเมืองที่น่าอยู่อีกเมืองหนึ่งของรัฐเท็กซัส และเพื่อนของเราเป็นนักบินของสายการบิน อเมริกันแอร์ไลน์ เลือกที่จะอยู่ที่เมืองนี้ เพราะว่าเป็นเมืองเล็กๆ ที่น่าอยู่ และไม่ไกลจากสนามบิน Dallas/Forth Worth International Airport เท่าไหร่นัก
ซึ่งการเดินทางของเราในคืนวันนั้น กว่าจะขับรถจากบ้านถึงบ้านเพื่อนของเรานั้น ก็ปาไปเกือบจะเที่ยงคืน เพื่อนเขาก็ดีมากๆ อุตส่าห์อดหลับ อดนอน อยู่รอเราจนเราไปถึง ซึ่งเมียเขาและลูกๆก็นอนกันหมดแล้วหล่ะ ตอนที่เราไปถึง เมื่อไปถึง ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลง ฉันกับลูกสาวก็ขอตัวนอนกันก่อนเลยค่ะ เพราะง่วงมาก ส่วนคุณสามีกับเพื่อน ก็คุยกันไป ประสาที่ไม่ได้เจอกันนาน
ฉันนอนสักพักก็สะดุ้งตื่น เพราะตอนเช้านอกจาก เราจะไว้ว่าจะออกบ้านไม่เกิน 7 โมงเช้า เพื่อที่จะขับรถต่อไปยังท่าเรือ ไปเช็คอิน ขึ้นเรือไม่เกินบ่ายโมง แต่ว่าฉันมีภาระกิจเรื่องการจ่ายเงินเดือนพนักงาน ที่จะต้องทำก่อนจะขึ้นเรือ เพราะพอขึ้นไปแล้ว อินเตอร์เน็ทในเรืออาจจะใช้ไม่ได้ ก็ได้ ใครจะไปรู้ นอนดิ้นไปดิ้นมาสักพัก ในหัวมีคำคุณสามีบอกว่า เขาตั้งนาฬิกาปลุกตอน หกโมงเช้า เอ่อ ตื่นหกโมงเช้า สามคนพ่อแม่ลูก อาบน้ำแต่งตัว และอีฉันต้องมานั่งทำ Payroll จ่ายเงินเดือนพนักงาน จะมีเวลาพอทำอะไร ที่จะออกเดินทางเจ็ดโมง นี่มันจะทันไหมหนอ ฉันเลยตัดสินใจลุกขึ้น พอคว้านาฬิกามาดู คือ ตีห้า ห้าสิบห้า 5555 โถ่คิดว่าจะตื่นเช้ามาก ที่ไหนได้ ตื่นก่อนนาฬิกาปลุก ห้านาที
ฉันนี่รีบเลย อาบน้ำอาบท่า แล้วปลุกลูกสาว และพ่อเขาให้อาบน้ำ ส่วนตัวฉันคว้า แล็บท๊อป มาทำงาน จ่ายเงินเดือนคนงานทางอินเตอร์เน็ท ซึ่งการจ่ายเงินเดือน คนงานนั้น ทางบริษัทของเรา ได้จ้างบริษัท Payroll ออนไลน์ ที่เขาทำหน้าที่จัดการเรื่อง คำนวนเงินค่าจ้างรายชั่วโมง อย่างเช่น ถ้าพนักงานคนนี้ มีเรท ค่าจ้าง 10 เหรียญต่อชัวโมง เขาทำงาน 40 ชั่วโมง ต่ออาทิตย์ และบริษัทเราจ่ายเงินทุกๆสองอาทิตย์ เขาทำงานสองอาทิตย์ เป็นเวลา 80 ชั่วโมง ได้เงินเท่าไหร่ หักเงินค่าภาษีประเทศ (Federal) ภาษีรัฐ (State) หักเงินค่าประกันสังคม หักเงินค่าประกันสุขภาพ สุดท้ายเหลือเงินเท่าไหร่ เมื่อคำนวนเสร็จ ก็จัดการส่งเงินเดือนของพนักงาน เข้าบัญชีของพนักงานแต่ละคน จากนั้นเงินที่เขาหักค่าภาษีต่างๆ และเงินค่าประกันสังคม และสุขภาพ เขาก็จัดส่งสำนักงานต่างๆ โดยที่ฉันมีหน้าที่ เข้าออนไลน์ แจ้งให้เขาทราบว่า ลูกจ้างแต่ละคน ภายในสองอาทิตย์ มีเวลาทำงานคนละเท่าไหร่ ง่ายๆแค่นั้นเองหล่ะ แต่คราวนี้ฉันต้องทำล่วงหน้าถึงหก เจ็ดวัน ก่อนที่จะถึงวันจ่ายเงินจริง แต่ถึงแม้จะทำเรื่องจ่ายเงินล่วงหน้า แต่ทางเขาก็จะกักไว้ ไม่จ่ายเงินเข้าบัญชีพนักงาน จนกระทั่งเช้าวันศุกร์ ซึ่งก็ถือว่าสะดวกสบาย ไปในขั้นหนึ่ง ของคนที่มีธุรกิจ
และเมื่อทุกอย่างเรียบร้อย ฉันและคณะ ก็ออกเดินทางกันตอนเจ็ดโมงเช้า ซึ่งออกเช้ามากๆ คนในบ้านยังหลับกันอยู่เลย ก็ถือว่าต้องขอบคุณ ครอบครัวนี้จริงๆ ที่ให้เรามาอาศัยนอนเอาแรง
ภาพเมือง Grapevine ค่ะ