“เซาธ์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์”สื่อในฮ่องกงแฉกระบวนการซื้อขายพาสปอร์ต ช่องทางที่ทำให้เศรษฐีคนมีเงินที่ต้องการหลบหนีคดีหรือหลีกเลี่ยงภาษี สามารถเดินทางไปประเทศต่างๆ ได้ พร้อมยกตัวอย่าง กรณียิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือพาสปอร์ตกัมพูชา และ “โจ โลว์” ผู้ต้องหาหลบหนีคดี 1MDB ชาวมาเลย์ที่ถือพาสปอร์ตเซนต์คิตส์แอนด์เนวิส
วันนี้ (26 ม.ค.) เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ เซาธ์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ได้เผยแพร่รายงานพิเศษเปิดเผยกระบวนการซื้อขายหนังสือเดินทางในประเทศต่างๆ โดยนำกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ที่ถือพาสปอร์ตของกัมพูชา และนายโจ โลว์(Jho Low) ผู้ต้องหาหนีคดีทุจริตกองทุน 1MDB ในมาเลเซียที่ถือพาสปอร์ตของเซนต์คิตส์แอนด์เนวิส ประเทศเล็กๆ ในทะเลแคริบเบียน มาเป็นตัวอย่างขึ้นพาดหัวข่าว พร้อมระบุว่า การจะมีพาสปอร์ตของบางประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกในหารหลบหนีคดีหรือหลีกเลี่ยงภาษีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ขอให้มีเงินสัก 1 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไป และสามารถเลือกได้ว่าจะซื้อพาสปอร์ตของประเทศไหนจึงจคุ้มเงินที่สุด
เซาธ์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ รายงานว่า ไม่มีใครคาดคิดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย จะใช้พาสปอร์ตของราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นเอกสารที่แสดงต่อเจ้าหน้าที่ ตม.เวลาเดินทางไปประเทศต่างๆ นั่นเพราะหนังสือเดินทางกัมพูชานั้นถูกจัดอยู่ในกลุ่มหนังสือเดินทางที่ทรงพลังน้อยที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของ Henley Passport Index โดยอยู่ในลำดับที่ 84 จาก 104 ประเทศ

อย่างไรก็ตาม คนที่มีเงินสัก 300,000 ดอลลาร์สหรัฐก็สามารถถือหนังสือเดินทางอย่างเป็นทางการของกัมพูชาได้ ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ว่าจะต้องลงทุนในประเทศตามจำนวนดังกล่าว
น.ส.ยิ่งลักษณ์ซึ่งหลบหนีออกนอกประเทศตั้งแต่ปี 2560 ก่อนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะอ่านคำพิพากษาให้จำคุก 5 ปี ฐานปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ได้ใช้หนังสือเดินทางกัมพูชาขอจดทะเบียนเป็นกรรมการเพียงคนเดียวของบริษัทในฮ่องกง ในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ตามที่เอกสารจดทะเบียนบริษัทระบุ ซึ่ง “เซาธ์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์”นำมาเปิดเผยเมื่อต้นเดือนนี้ และช่วยตอกย้ำข้อสันนิษฐานที่ว่าเธอหลบหนีออกจากประเทศไทยโดยผ่านกัมพูชา
ขณะเดียวกัน กรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช้หนังสือเดินทางกัมพูชา ทำให้ประเด็นการซื้อขายพาสปอร์ตเป็นที่สนใจขึ้นมาทันที เพราะเดี๋ยวนี้เป็นเรื่องง่ายที่พวกเศรษฐีที่ไม่อยากอยู่ในประเทศของตัวเองจะได้พาสปอร์ตหรือที่พำนักอาศัยในประเทศใหม่ ขอแค่เพียงจ่ายเงินซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1 แสน - 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยบางกรณีการหาพาสปอร์ตง่ายพอๆ กับการซื้อของออนไลน์ด้วยซ้ำ โดยผู้ที่ยื่นขอไม่ได้ต้องแสดงตัวเลย ขณะที่บางคนก็ได้พาสปอร์ตโดยการติดสินบนเจ้าหน้าที่
นิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ รายงานเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ระบุถึงตัวเลขการซื้อขายพาสปอร์ตว่ามีหลายพันเล่มต่อปี และการจ่ายเงินเพื่อให้ได้รับการอนุญาตให้คนต่างชาติอยู่อาศัยถาวรในประเทศต่างๆ มีหลายแสนราย
พาสปอร์ตที่ขายถูกที่สุดในโลก ซึ่งมีราคาอยู่ที่เล่มละ 1 แสนดอลลาร์นั้น จะอยู่ในประเทศแถบแคริบเบียน ได้แก่ สาธารณรัฐโดมินิกัน แอนติกัวแอนด์บาร์บูดา และเกรนาดา
ส่วนที่ราคาสูงขึ้นมาอีกหน่อยคือ 150,000 ดอลลาร์และต้องตอบคำถามไม่กี่คำถาม ได้แก่ ประเทศเซนต์คิตส์แอนด์เนวิส ซึ่งอยู่ในแคริบเบียนเหมือนกัน โดยจะใช้เวลาออกให้ภายใน 90 วัน
ทั้งนี้ นโยบายด้านพาสปอร์ตซึ่งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้เป็นที่นิยมของเศรษฐีคนมีเงินจากทั่วโลก ยกตัวอย่าง นักธุรกิจชาวมาเลย์ ที่ชื่อ โลว์ เต็ก โจ (Low Taek Jho) หรือที่รู้จักกันในชื่อ โจ โลว์ (Jho Low) ซึ่งถูกทางการมาเลเซียตามล่าตัวเนื่องจากเกี่ยวพันกับคดีทุจริตกองทุน 1MDB และถูกยกเลิกพาสปอร์ตมาเลย์ไปแล้ว แต่ยังสามารถเดินทางไปไหนต่อไหนได้ด้วยพาสปอร์ตของประเทศเซนต์คิตส์แอนด์เนวิส

นายโจ โลว์ ผู้ต้องหาหลบหนีคดีทุจริตกองทุน 1MDB ของมาเลเซีย ซึ่งหันไปถือหนังสือเดินทางของเซนต์คิตส์แอนด์เนวิส หลังจากหนังสือเดินทางมาเลย์ถูกยกเลิก
ขณะที่ในกลุ่มสหภาพยุโรป 28 ประเทศนั้น ก็มีประมาณ 20 ประเทศ ที่มีนโยบายจะให้ถิ่นพำนักหรือความเป็นพลเมืองแก่ชาวต่างชาติเพื่อแลกกับเงินลงทุนจำนวนมาก
อย่างมอลตา ถ้าบริจาคเงิน 850,000 ดอลลาร์ ก็สามารถถือพาสปอร์ตของประเทศนี้ได้ ส่วนไซปรัสนั้น ต้องลงทุน 2.26 ล้านดอลลาร์ และไม่มีเงื่อนไขว่าต้องพำนักอาศัยในประเทศนี้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการมีพาสปอร์ตจึงทำให้สถานะพลเมืองของหลายประเทศกลายเป็นของมีค่า รวมทั้งเป็นสินค้าที่ถูกเสาะแสวงหาโดยคนกระเป๋าหนักแต่ต้องเร่ร่อนด้วยเหตุผลต่างๆ และพวกเขาก็มีกองทัพผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย การเงิน และการบัญชี คอยให้คำปรึกษา
แอนดรูว์ เฮนเดอร์สัน ผู้ก่อตั้ง Nomad Capitalist ซึ่งอดีตเคยเป็นคนสัญชาติอเมริกัน ได้ให้คำแนะนำแก่บรรดาเศรษฐีทั้งหลายว่า ควรจะหาประเทศอยู่ใหม่ เพื่อจ่ายภาษีน้อยลง รวมทั้งแนะนำให้ถือพาสปอร์ตหลายประเทศ และตัวเขาเองก็มีถึง 4 เล่ม
ทั้งนี้ แอนดรูว์ ได้ขอยกเลิกพาสปอร์ตอเมริกันของเขาเอง เพื่อเขาจะได้ไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงินของเขาต่อรัฐบาลสหรัฐ และบอกว่าในแต่ละปีเขาใช้ชีวิตอยู่ใน 15-20 ประเทศ
เขาไม่ยอมเปิดเผยว่า เขาถือพาสปอร์ตประเทศไหนบ้าง โดยบอกว่า แต่ละประเทศคงไม่อยากให้พลเมืองของตัวเองไปถือพาสปอร์ตของประเทศอื่น
“ประโยชน์ของการถือพาสปอร์ตหลายประเทศ คือมันทำให้เราเดินทางสะดวก ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น และสามารถเลือกใช้พาสปอร์ตที่เหมาะกับแต่ละสถานการณ์
“สำหรับเพื่อนผมที่เป็นลูกครึ่งอิสราเอล-โปแลนด์ การถือพาสปอร์ตหลายประเทศทำให้เขาสามารถเข้าไปทำธุรกิจในอ่าวอาหรับได้ และสำหรับผม มันก็ทำให้ผมได้มีมุมสงบๆ ในประเทศเล็กๆ ที่ไม่มีใครมารบกวน”
ทั้งนี้จากการจัดอันดับพาสปอร์ตที่ทรงพลังที่สุดของ Henley Passport Index ซึ่งวัดจากจากการได้ฟรีวีซ่าในการผ่านแดน พบว่า พาสปอร์ตญี่ปุ่นอยู่อันดับ 1 เนื่องจากสามารถใช้ผ่านแดนโดยไม่ต้องขอวีซ่าใน 190 ประเทศ อันดับ 2 คือ สิงคโปร์และเกาหลีใต้ ใช้ผ่านแดนโดยไม่ต้องขอวีซ่าใน 189 ประเทศ โดย 10 อันดับพาสปอร์ตที่ทรงพลังส่วนใหญ่เป็นของประเทศในยุโรป ส่วนฮ่องกงอยู่อันดับ 19 จีน 69 และประเทศที่รั้งท้ายสุดคืออัฟกานิสถานและอิรัก
อย่างไรก็ตาม บรรดาคนมีเงินที่ต้องการได้พาสปอร์ตของประเทศใหม่นั้น เขาต้องการอย่างอื่นมากกว่าการได้ฟรีวีซ่า เขาอาจจะต้องการจ่ายภาษีน้อยลง และสนุกกับการได้เสรีภาพที่จะไปที่ไหนก็ได้
เช่นเดียวกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ โจ โลว์ ซึ่งต้องการจะหลบเลี่ยงกฎหมาย รวมทั้ง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มหาเศรษฐีพี่ชายของเธอที่หนีออกจากประเทศ ว่ากันกันว่าเขาได้ถือพาสปอร์ตของหลายประเทศ
เซี่ยว เจียนหวา (Xiao Jianhua) เศรษฐีชาวจีนซึ่งหายตัวออกไปจากฮ่องกงตั้งแต่ปี 2560 และเชื่อกันว่าถูกหมายจับจากทางการจีนฐานต้องสงสัยปั่นหุ้นและติดสินบนเจ้าหน้าที่ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถือพาสปอร์ตแคนาดา และพาสปอร์ตทูตของแอนติกัวแอนด์บาร์บูดาด้วย

นายเซี่ยว เจียนหวา นักธุรกิจชาวจีน ซึ่งอยู่ระหว่างหลบหยีคดีปั่นหุ้นและติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐ โดยใช้หนังสือเดินทางของแอนติกัวแอนด์บาร์บูดา ในการเดินทางไปประเทศต่างๆ
เฮนเดอร์สัน แห่ง Nomad Capitalist เชื่อว่าพาสปอร์ตสิงคโปร์ซึ่งได้คะแนนสูงจาก Henley index นั้น อาจไม่คุ้มกับความยุ่งยากในการได้มา เนื่องจากนโยบายการให้สัญชาติโดยแลกกับเงินลงทุนนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมาก และในการยื่นขอนั้นเจ้าหน้าที่ก็ยึดกฎระเบียบทุกตัวอักษร
“การขอพาสปอร์ตในเอเชียนั้นยุ่งยาก เราอาจจะมีพาสปอร์ตสิงคโปร์ได้ แต่ต้องทำตามกฎทุกตัวอักษร และพวกเขาต้องการจะให้เป็นครอบครัวที่มีเด็กอยู่กับผู้ใหญ่มากกว่า เอเชียจึงเป็นภูมิภาคที่ไม่เหมาะกับการหาพาสปอร์ตใหม่จริงๆ”
สิงคโปร์มีนโยบายการดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลกโดยชาวต่างชาติมีสิทธิที่จะอยู่อาศัยอย่างถาวรหากลงทุนอย่างน้อย 2.5 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์(1.8ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในการเริ่มธุรกิจใหม่หรือขยายการลงทุนจากธุรกิจเดิมที่มีอยู่แล้วในสิงคโปร์
เฮนเดอร์สัน ยังบอกอีกว่า สำหรับเกาหลีใต้ที่มีเงื่อนไขว่าต้องลงทุน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จึงจะได้สิทธิอยู่อาศัยถาวรนั้น ไม่เพียงแต่มีเงื่อนไขว่าคุณต้องใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเท่านั้น แต่ภาษีก็ยังสูงอีกด้วย
เขาจึงจัดอันดับประเทศที่เหมาะแก่การมีพาสปอร์ตขึ้นมาเอง โดยดูทั้งความสะดวก ภาษี ชื่อเสียงของประเทศ อิสระภาพในการถือพาสปอร์ตได้หลายเล่ม และเสรีภาพส่วนบุคคลด้วย ซึ่งในปี 2018 อันดับ 1 คือ สวีเดน และใน 10 อันดับแรก เป็นยุโรปทั้งหมด ส่วนสหรัฐฯ ไม่ติดอยู่ใน 30 อันดับแรก นั่นเพราะภาษีสูง และกฎระเบียบต่างๆ ก็ผลักไสให้คนอเมริกันสละความเป็นพลเมืองของตนเอง

พาสปอร์ตของนาย เซี่ยว เจียนหวา นักธุรกิจชาวจีนที่หันไปถือสัญชาติแอนติกัวแอนด์บาร์บูดา เพื่อหลบหนีคดีปั่นหุ้น
อย่างไรก็ตาม Cheung แห่งบริษัทที่ปรึกษาด้านการเข้าเมือง โกลด์แม็กซ์ (Goldmax Immigration Consulting) ในฮ่องกงกล่าวว่า ขณะนี้ ประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้เข้มงวดนโยบายการให้สิทธิเข้าเมืองเพื่อแลกกับการลงทุนมากขึ้น
“ทุกวันนี้ หลายประเทศเขาไม่ได้มองหาแต่เงินอย่างเดียว ตัวเงินมันส่งผลต่อเศรษฐกิจน้อยมาก แต่ละประเทศเขาต้องการคนที่มีการศึกษาดี มีอายุการทำงาน เขาต้องการนักลงทุนที่สามารถลงทุนในท้องถิ่นและจ้างคนงานในท้องถิ่น”
แม้แต่ฮ่องกงก็ได้ยกเลิกนโยบายการดึงเงินลงทุนแบบนี้ไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน เมื่อระบบเศรษฐกิจเราต้องการมากกว่าแค่ตัวเงิน ซึ่งพวกเศรษฐีเหล่านั้นต้องการจะได้พาสปอร์ตยุโรปมากกว่าเอเชีย เนื่องจากประเทศเหล่านั้นให้ถือสองสัญชาติได้
ขณะที่ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ และ โกลบอล วิทเนส (Transparency International and Global Witness) คาดหมายว่า ประเทศในยุโรป เช่น สเปน ฮังการี ลัตเวีย โปรตุเกส และอังกฤษ แต่ละประเทศได้ให้ “วีซ่าทอง” หรือสิทธิการอยู่อาศัยถาวรแลกกับเงินลงทุนจากชาวต่างชาติปีละมากกว่า 10,000 ราย ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
โดยมอลต้า ไซปรัส และบัลแกเรีย เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป(อียู)ที่ขายสิทธิการได้เป็นพลเมืองในราคาระหว่าง 1.1-2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง 3 ประเทศนี้ และอีก 20 ประเทศสมาชิกอียู ได้ขายสิทธิการอยู่อาศัยถาวรด้วย
ขณะที่มีรายงานอีกด้านว่า ด้วยนโยบายเหล่านี้ สมาชิกอียูสามารถดึงเงินลงทุนเข้าประเทศได้ประมาณ 28,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม มีรายงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า สหภาพยุโรปเริ่มส่งสัญญาณเตือนว่านโยบายการให้สถานะพลเมืองแลกกับเงินลงทุนนั้น ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่อียูจะเป็นที่แทรกซึมของกลุ่มอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ฟอกเงิน พวกคอร์รัปชั่นและหลบเลี่ยงภาษี
ความเสี่ยงดังกล่าวเนื่องจากประเทศเหล่านั้นไม่ได้ตรวจสอบที่มาของความร่ำรวยของผู้ที่มาขอสถานะพลเมืองและสิทธิอยู่อาศัยถาวร และด้วยพาสปอร์ตของประเทศเดียวผู้ถือก็สามารถเดินทางไปได้ทั้ง 28 ประเทศสมาชิก
ทั้งนี้ รัฐบาลบัลแกเรีย เพิ่งประกาศหยุดนโยบายการขายพาสปอร์ต โดยรัฐมนตรียุติธรรมบอกว่า ตั้งแต่ปี 2556 มีชาวต่างชาติเพียง 50 คนจากรัสเซีย อียิปต์ อิสราเอล และปากีสถาน ที่ได้พาสปอร์ตแลกกับการนำเงินมาลงทุน
อย่างไรก็ตาม เฮนเดอร์สัน แห่ง Nomad Capitalist กล่าวว่า บางประเทศก็กังวลกับเรื่องเหล่านี้เกินจริง เพราะประเทศส่วนใหญ่ก็มีการคัดกรองคำขอในระดับเดียวกับที่อังกฤษและสหรัฐฯ ทำ และหลายคำขอก็ถูกปฏิเสธ
ข่าว ดี้ดี 4.0 จาก manager งามหน้า! สื่อฮ่องกงตีแผ่ซื้อขายพาสปอร์ต ช่องทางเศรษฐีหนีคดี ยกตัวอย่าง“ยิ่งลักษณ์”สาวแขมร์!
วันนี้ (26 ม.ค.) เว็บไซต์หนังสือพิมพ์ เซาธ์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ได้เผยแพร่รายงานพิเศษเปิดเผยกระบวนการซื้อขายหนังสือเดินทางในประเทศต่างๆ โดยนำกรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย ที่ถือพาสปอร์ตของกัมพูชา และนายโจ โลว์(Jho Low) ผู้ต้องหาหนีคดีทุจริตกองทุน 1MDB ในมาเลเซียที่ถือพาสปอร์ตของเซนต์คิตส์แอนด์เนวิส ประเทศเล็กๆ ในทะเลแคริบเบียน มาเป็นตัวอย่างขึ้นพาดหัวข่าว พร้อมระบุว่า การจะมีพาสปอร์ตของบางประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกในหารหลบหนีคดีหรือหลีกเลี่ยงภาษีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก ขอให้มีเงินสัก 1 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไป และสามารถเลือกได้ว่าจะซื้อพาสปอร์ตของประเทศไหนจึงจคุ้มเงินที่สุด
เซาธ์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ รายงานว่า ไม่มีใครคาดคิดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย จะใช้พาสปอร์ตของราชอาณาจักรกัมพูชา เป็นเอกสารที่แสดงต่อเจ้าหน้าที่ ตม.เวลาเดินทางไปประเทศต่างๆ นั่นเพราะหนังสือเดินทางกัมพูชานั้นถูกจัดอยู่ในกลุ่มหนังสือเดินทางที่ทรงพลังน้อยที่สุดในโลก จากการจัดอันดับของ Henley Passport Index โดยอยู่ในลำดับที่ 84 จาก 104 ประเทศ
อย่างไรก็ตาม คนที่มีเงินสัก 300,000 ดอลลาร์สหรัฐก็สามารถถือหนังสือเดินทางอย่างเป็นทางการของกัมพูชาได้ ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลได้กำหนดไว้ว่าจะต้องลงทุนในประเทศตามจำนวนดังกล่าว
น.ส.ยิ่งลักษณ์ซึ่งหลบหนีออกนอกประเทศตั้งแต่ปี 2560 ก่อนที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะอ่านคำพิพากษาให้จำคุก 5 ปี ฐานปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตในโครงการรับจำนำข้าว ได้ใช้หนังสือเดินทางกัมพูชาขอจดทะเบียนเป็นกรรมการเพียงคนเดียวของบริษัทในฮ่องกง ในเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว ตามที่เอกสารจดทะเบียนบริษัทระบุ ซึ่ง “เซาธ์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์”นำมาเปิดเผยเมื่อต้นเดือนนี้ และช่วยตอกย้ำข้อสันนิษฐานที่ว่าเธอหลบหนีออกจากประเทศไทยโดยผ่านกัมพูชา
ขณะเดียวกัน กรณี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ใช้หนังสือเดินทางกัมพูชา ทำให้ประเด็นการซื้อขายพาสปอร์ตเป็นที่สนใจขึ้นมาทันที เพราะเดี๋ยวนี้เป็นเรื่องง่ายที่พวกเศรษฐีที่ไม่อยากอยู่ในประเทศของตัวเองจะได้พาสปอร์ตหรือที่พำนักอาศัยในประเทศใหม่ ขอแค่เพียงจ่ายเงินซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1 แสน - 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยบางกรณีการหาพาสปอร์ตง่ายพอๆ กับการซื้อของออนไลน์ด้วยซ้ำ โดยผู้ที่ยื่นขอไม่ได้ต้องแสดงตัวเลย ขณะที่บางคนก็ได้พาสปอร์ตโดยการติดสินบนเจ้าหน้าที่
นิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ รายงานเมื่อเดือนกันยายนปีที่แล้ว ระบุถึงตัวเลขการซื้อขายพาสปอร์ตว่ามีหลายพันเล่มต่อปี และการจ่ายเงินเพื่อให้ได้รับการอนุญาตให้คนต่างชาติอยู่อาศัยถาวรในประเทศต่างๆ มีหลายแสนราย
พาสปอร์ตที่ขายถูกที่สุดในโลก ซึ่งมีราคาอยู่ที่เล่มละ 1 แสนดอลลาร์นั้น จะอยู่ในประเทศแถบแคริบเบียน ได้แก่ สาธารณรัฐโดมินิกัน แอนติกัวแอนด์บาร์บูดา และเกรนาดา
ส่วนที่ราคาสูงขึ้นมาอีกหน่อยคือ 150,000 ดอลลาร์และต้องตอบคำถามไม่กี่คำถาม ได้แก่ ประเทศเซนต์คิตส์แอนด์เนวิส ซึ่งอยู่ในแคริบเบียนเหมือนกัน โดยจะใช้เวลาออกให้ภายใน 90 วัน
ทั้งนี้ นโยบายด้านพาสปอร์ตซึ่งมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศเหล่านี้เป็นที่นิยมของเศรษฐีคนมีเงินจากทั่วโลก ยกตัวอย่าง นักธุรกิจชาวมาเลย์ ที่ชื่อ โลว์ เต็ก โจ (Low Taek Jho) หรือที่รู้จักกันในชื่อ โจ โลว์ (Jho Low) ซึ่งถูกทางการมาเลเซียตามล่าตัวเนื่องจากเกี่ยวพันกับคดีทุจริตกองทุน 1MDB และถูกยกเลิกพาสปอร์ตมาเลย์ไปแล้ว แต่ยังสามารถเดินทางไปไหนต่อไหนได้ด้วยพาสปอร์ตของประเทศเซนต์คิตส์แอนด์เนวิส
นายโจ โลว์ ผู้ต้องหาหลบหนีคดีทุจริตกองทุน 1MDB ของมาเลเซีย ซึ่งหันไปถือหนังสือเดินทางของเซนต์คิตส์แอนด์เนวิส หลังจากหนังสือเดินทางมาเลย์ถูกยกเลิก
ขณะที่ในกลุ่มสหภาพยุโรป 28 ประเทศนั้น ก็มีประมาณ 20 ประเทศ ที่มีนโยบายจะให้ถิ่นพำนักหรือความเป็นพลเมืองแก่ชาวต่างชาติเพื่อแลกกับเงินลงทุนจำนวนมาก
อย่างมอลตา ถ้าบริจาคเงิน 850,000 ดอลลาร์ ก็สามารถถือพาสปอร์ตของประเทศนี้ได้ ส่วนไซปรัสนั้น ต้องลงทุน 2.26 ล้านดอลลาร์ และไม่มีเงื่อนไขว่าต้องพำนักอาศัยในประเทศนี้
นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมการมีพาสปอร์ตจึงทำให้สถานะพลเมืองของหลายประเทศกลายเป็นของมีค่า รวมทั้งเป็นสินค้าที่ถูกเสาะแสวงหาโดยคนกระเป๋าหนักแต่ต้องเร่ร่อนด้วยเหตุผลต่างๆ และพวกเขาก็มีกองทัพผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย การเงิน และการบัญชี คอยให้คำปรึกษา
แอนดรูว์ เฮนเดอร์สัน ผู้ก่อตั้ง Nomad Capitalist ซึ่งอดีตเคยเป็นคนสัญชาติอเมริกัน ได้ให้คำแนะนำแก่บรรดาเศรษฐีทั้งหลายว่า ควรจะหาประเทศอยู่ใหม่ เพื่อจ่ายภาษีน้อยลง รวมทั้งแนะนำให้ถือพาสปอร์ตหลายประเทศ และตัวเขาเองก็มีถึง 4 เล่ม
ทั้งนี้ แอนดรูว์ ได้ขอยกเลิกพาสปอร์ตอเมริกันของเขาเอง เพื่อเขาจะได้ไม่ต้องเปิดเผยข้อมูลทางการเงินของเขาต่อรัฐบาลสหรัฐ และบอกว่าในแต่ละปีเขาใช้ชีวิตอยู่ใน 15-20 ประเทศ
เขาไม่ยอมเปิดเผยว่า เขาถือพาสปอร์ตประเทศไหนบ้าง โดยบอกว่า แต่ละประเทศคงไม่อยากให้พลเมืองของตัวเองไปถือพาสปอร์ตของประเทศอื่น
“ประโยชน์ของการถือพาสปอร์ตหลายประเทศ คือมันทำให้เราเดินทางสะดวก ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่น และสามารถเลือกใช้พาสปอร์ตที่เหมาะกับแต่ละสถานการณ์
“สำหรับเพื่อนผมที่เป็นลูกครึ่งอิสราเอล-โปแลนด์ การถือพาสปอร์ตหลายประเทศทำให้เขาสามารถเข้าไปทำธุรกิจในอ่าวอาหรับได้ และสำหรับผม มันก็ทำให้ผมได้มีมุมสงบๆ ในประเทศเล็กๆ ที่ไม่มีใครมารบกวน”
ทั้งนี้จากการจัดอันดับพาสปอร์ตที่ทรงพลังที่สุดของ Henley Passport Index ซึ่งวัดจากจากการได้ฟรีวีซ่าในการผ่านแดน พบว่า พาสปอร์ตญี่ปุ่นอยู่อันดับ 1 เนื่องจากสามารถใช้ผ่านแดนโดยไม่ต้องขอวีซ่าใน 190 ประเทศ อันดับ 2 คือ สิงคโปร์และเกาหลีใต้ ใช้ผ่านแดนโดยไม่ต้องขอวีซ่าใน 189 ประเทศ โดย 10 อันดับพาสปอร์ตที่ทรงพลังส่วนใหญ่เป็นของประเทศในยุโรป ส่วนฮ่องกงอยู่อันดับ 19 จีน 69 และประเทศที่รั้งท้ายสุดคืออัฟกานิสถานและอิรัก
อย่างไรก็ตาม บรรดาคนมีเงินที่ต้องการได้พาสปอร์ตของประเทศใหม่นั้น เขาต้องการอย่างอื่นมากกว่าการได้ฟรีวีซ่า เขาอาจจะต้องการจ่ายภาษีน้อยลง และสนุกกับการได้เสรีภาพที่จะไปที่ไหนก็ได้
เช่นเดียวกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ โจ โลว์ ซึ่งต้องการจะหลบเลี่ยงกฎหมาย รวมทั้ง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มหาเศรษฐีพี่ชายของเธอที่หนีออกจากประเทศ ว่ากันกันว่าเขาได้ถือพาสปอร์ตของหลายประเทศ
เซี่ยว เจียนหวา (Xiao Jianhua) เศรษฐีชาวจีนซึ่งหายตัวออกไปจากฮ่องกงตั้งแต่ปี 2560 และเชื่อกันว่าถูกหมายจับจากทางการจีนฐานต้องสงสัยปั่นหุ้นและติดสินบนเจ้าหน้าที่ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ถือพาสปอร์ตแคนาดา และพาสปอร์ตทูตของแอนติกัวแอนด์บาร์บูดาด้วย
นายเซี่ยว เจียนหวา นักธุรกิจชาวจีน ซึ่งอยู่ระหว่างหลบหยีคดีปั่นหุ้นและติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐ โดยใช้หนังสือเดินทางของแอนติกัวแอนด์บาร์บูดา ในการเดินทางไปประเทศต่างๆ
เฮนเดอร์สัน แห่ง Nomad Capitalist เชื่อว่าพาสปอร์ตสิงคโปร์ซึ่งได้คะแนนสูงจาก Henley index นั้น อาจไม่คุ้มกับความยุ่งยากในการได้มา เนื่องจากนโยบายการให้สัญชาติโดยแลกกับเงินลงทุนนั้นมีค่าใช้จ่ายสูงมาก และในการยื่นขอนั้นเจ้าหน้าที่ก็ยึดกฎระเบียบทุกตัวอักษร
“การขอพาสปอร์ตในเอเชียนั้นยุ่งยาก เราอาจจะมีพาสปอร์ตสิงคโปร์ได้ แต่ต้องทำตามกฎทุกตัวอักษร และพวกเขาต้องการจะให้เป็นครอบครัวที่มีเด็กอยู่กับผู้ใหญ่มากกว่า เอเชียจึงเป็นภูมิภาคที่ไม่เหมาะกับการหาพาสปอร์ตใหม่จริงๆ”
สิงคโปร์มีนโยบายการดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลกโดยชาวต่างชาติมีสิทธิที่จะอยู่อาศัยอย่างถาวรหากลงทุนอย่างน้อย 2.5 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์(1.8ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในการเริ่มธุรกิจใหม่หรือขยายการลงทุนจากธุรกิจเดิมที่มีอยู่แล้วในสิงคโปร์
เฮนเดอร์สัน ยังบอกอีกว่า สำหรับเกาหลีใต้ที่มีเงื่อนไขว่าต้องลงทุน 500,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ จึงจะได้สิทธิอยู่อาศัยถาวรนั้น ไม่เพียงแต่มีเงื่อนไขว่าคุณต้องใช้ชีวิตอยู่ในประเทศเท่านั้น แต่ภาษีก็ยังสูงอีกด้วย
เขาจึงจัดอันดับประเทศที่เหมาะแก่การมีพาสปอร์ตขึ้นมาเอง โดยดูทั้งความสะดวก ภาษี ชื่อเสียงของประเทศ อิสระภาพในการถือพาสปอร์ตได้หลายเล่ม และเสรีภาพส่วนบุคคลด้วย ซึ่งในปี 2018 อันดับ 1 คือ สวีเดน และใน 10 อันดับแรก เป็นยุโรปทั้งหมด ส่วนสหรัฐฯ ไม่ติดอยู่ใน 30 อันดับแรก นั่นเพราะภาษีสูง และกฎระเบียบต่างๆ ก็ผลักไสให้คนอเมริกันสละความเป็นพลเมืองของตนเอง
พาสปอร์ตของนาย เซี่ยว เจียนหวา นักธุรกิจชาวจีนที่หันไปถือสัญชาติแอนติกัวแอนด์บาร์บูดา เพื่อหลบหนีคดีปั่นหุ้น
อย่างไรก็ตาม Cheung แห่งบริษัทที่ปรึกษาด้านการเข้าเมือง โกลด์แม็กซ์ (Goldmax Immigration Consulting) ในฮ่องกงกล่าวว่า ขณะนี้ ประเทศต่างๆ ทั่วโลกได้เข้มงวดนโยบายการให้สิทธิเข้าเมืองเพื่อแลกกับการลงทุนมากขึ้น
“ทุกวันนี้ หลายประเทศเขาไม่ได้มองหาแต่เงินอย่างเดียว ตัวเงินมันส่งผลต่อเศรษฐกิจน้อยมาก แต่ละประเทศเขาต้องการคนที่มีการศึกษาดี มีอายุการทำงาน เขาต้องการนักลงทุนที่สามารถลงทุนในท้องถิ่นและจ้างคนงานในท้องถิ่น”
แม้แต่ฮ่องกงก็ได้ยกเลิกนโยบายการดึงเงินลงทุนแบบนี้ไปแล้วเมื่อหลายปีก่อน เมื่อระบบเศรษฐกิจเราต้องการมากกว่าแค่ตัวเงิน ซึ่งพวกเศรษฐีเหล่านั้นต้องการจะได้พาสปอร์ตยุโรปมากกว่าเอเชีย เนื่องจากประเทศเหล่านั้นให้ถือสองสัญชาติได้
ขณะที่ องค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ และ โกลบอล วิทเนส (Transparency International and Global Witness) คาดหมายว่า ประเทศในยุโรป เช่น สเปน ฮังการี ลัตเวีย โปรตุเกส และอังกฤษ แต่ละประเทศได้ให้ “วีซ่าทอง” หรือสิทธิการอยู่อาศัยถาวรแลกกับเงินลงทุนจากชาวต่างชาติปีละมากกว่า 10,000 ราย ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
โดยมอลต้า ไซปรัส และบัลแกเรีย เป็นสมาชิกสหภาพยุโรป(อียู)ที่ขายสิทธิการได้เป็นพลเมืองในราคาระหว่าง 1.1-2.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง 3 ประเทศนี้ และอีก 20 ประเทศสมาชิกอียู ได้ขายสิทธิการอยู่อาศัยถาวรด้วย
ขณะที่มีรายงานอีกด้านว่า ด้วยนโยบายเหล่านี้ สมาชิกอียูสามารถดึงเงินลงทุนเข้าประเทศได้ประมาณ 28,000 ล้านดอลลาร์ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม มีรายงานเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า สหภาพยุโรปเริ่มส่งสัญญาณเตือนว่านโยบายการให้สถานะพลเมืองแลกกับเงินลงทุนนั้น ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่อียูจะเป็นที่แทรกซึมของกลุ่มอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ฟอกเงิน พวกคอร์รัปชั่นและหลบเลี่ยงภาษี
ความเสี่ยงดังกล่าวเนื่องจากประเทศเหล่านั้นไม่ได้ตรวจสอบที่มาของความร่ำรวยของผู้ที่มาขอสถานะพลเมืองและสิทธิอยู่อาศัยถาวร และด้วยพาสปอร์ตของประเทศเดียวผู้ถือก็สามารถเดินทางไปได้ทั้ง 28 ประเทศสมาชิก
ทั้งนี้ รัฐบาลบัลแกเรีย เพิ่งประกาศหยุดนโยบายการขายพาสปอร์ต โดยรัฐมนตรียุติธรรมบอกว่า ตั้งแต่ปี 2556 มีชาวต่างชาติเพียง 50 คนจากรัสเซีย อียิปต์ อิสราเอล และปากีสถาน ที่ได้พาสปอร์ตแลกกับการนำเงินมาลงทุน
อย่างไรก็ตาม เฮนเดอร์สัน แห่ง Nomad Capitalist กล่าวว่า บางประเทศก็กังวลกับเรื่องเหล่านี้เกินจริง เพราะประเทศส่วนใหญ่ก็มีการคัดกรองคำขอในระดับเดียวกับที่อังกฤษและสหรัฐฯ ทำ และหลายคำขอก็ถูกปฏิเสธ