เมื่อความล้มเหลวของ ‘คาซุโยชิ มิอุระ’ นำมาสู่ความกล้าของแข้งซามูไรรุ่นหลัง

สมาคมฟุตบอลของประเทศญี่ปุ่น หรือ JFA เกิดขึ้นครั้งแรกในปี 1921 จนถึงตอนนี้ผ่านมาเกือบ 100 ปีแล้ว พวกเขาพัฒนาไปเรื่อยๆ ทีละนิด ทีละนิด จนกระทั่งกลายเป็นชาติในเอเชียที่แข็งแกร่งและส่งออกนักเตะชั้นดีสู่ลีกที่โลกยอมรับมากที่สุด

สิ่งหนึ่งที่คุณรู้เกี่ยวกับผู้เล่นของทีมชาติญี่ปุ่นที่เก่งกาจจนใครก็ยอมรับ นักเตะอย่าง ชินจิ โอกาซากิ เจ้าของแชมป์พรีเมียร์ลีก เช่นเดียวกับ ชินจิ คางาวะ หรือแม้กระทั่งฝั่งอิตาลีพวกเขาก็มีแชมเปี้ยนอย่าง ฮิเดโตชิ นากาตะ  สิ่งที่พวกเขาเหล่านี้มีคือความฝันและมุ่งมั่นเกินขีดจำกัดของผู้เล่นทั่วไปในทวีปเอเชีย

และเหนือสิ่งอื่นใดพวกเขามีผู้กรุยทางที่ยอดเยี่ยม พวกเขามีไอค่อนที่เป็นฮีโร่ของคนทั้งชาติ คนที่พร้อมจะออกจากบ้านเกิดด้วยเหตุผลของฟุตบอล และคนๆนั้นคือ คาซุโยชิ มิอุระ หรือที่เรารู้จักกันในนาม "คิงคาซู" บุรุษผู้เสพฟุตบอลเข้าเส้นจนถึงวัย 51 ปี และทุกวันนี้

ไม่เสียสละ ... ชัยชนะไม่เกิด คาซู อาจจะไม่ได้คิดเช่นนั้นเพราะในวันที่เขาออกจากบ้านเกิดและพร้อมเจอกับความลำบากในต่างเเดนนั้นเกิดจากเเรงถีบภายในใจของตัวเขาเอง แต่หารู้ไม่ว่าวงการฟุตบอลของญี่ปุ่นตื่นตัวอย่างมาก และสิ่งที่เขาทำมันเขย่าทั้งประเทศจนที่สุดเเล้ว ญี่ปุ่น กลายเป็นมหาอำนาจลูกหนังที่กล้ามองไปถึงแชมป์ฟุตบอลโลกในเวลานี้


ไม่ใช่นักฟุตบอลคนแรก แต่เป็นนักสู้คนแรก

หลายสิ่งที่คุณคิดผิดไปคือ "คาซู" ไม่ใช่นักเตะคนแรกในต่างเเดน เพราะคนๆนั้นคือ  ยาซุฮิโก โอคุเดระ ... หาก คาซู คือลมหายใจ โอคุเดระ ก็คงเป็นเหมือนจิตวิญญาณ เพราะหลังจากก่อตั้ง JFA ได้ 56 ปี ในปี 1977 โอคุเดระ ก็ย้ายไปประสบความสำเร็จกับทีมเยอรมันอย่าง เอฟซี โคโลญจน์,แฮร์ธ่า เบอร์ลิน และ แวร์เดอร์ เบรเมน ในยุคนั้นยากที่ชาวญี่ปุ่นจะได้ดูการเล่นของเขาสดๆเพราะเทคโนโลยี ยังไม่ก้าวหน้า ดังนั้นสิ่งที่เขาเล่าผ่านเสียงหรือตัวหนังสือคือแรงบันดาลใจให้คนญี่ปุ่นคิดภาพตามว่า "ยุโรปเป็นยังไงบ้างนะ?"

ตลอด 9 ฤดูกาลในเมืองเบียร์ เขาลงเล่นไปทั้งสิ้นถึง 259 นัด ยิงไป 34 ก่อนจะกลับไปแขวนสตั๊ดในบ้านเกิด พร้อมกับจุดประกายความหวังให้กับนักเตะรุ่นหลังว่า "ยุโรปไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป"

หลังจากนั้นอีก 17 ปีเด็กที่โตมากับคำๆนั้นกำลังจะเดินตามรอยเพื่อพิสูจน์ด้วยตัวเองว่า ไอ้ที่ว่าไม่น่ากลัวมันเป็นอย่างไรกันแน่ ด้วยตัวของเขาเอง


ย้อนไปร่วม 40 ปีก่อนที่เมือง ชิซุโอกะ ณ โรงเรียนมัธยมประจำจังหวัด หัวข้อประจำวันนี้ที่คุณครูจะนำมาถามนักเรียนชั้น ม.3 ซึ่งถือว่าเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อว่าจะเรียนต่อหรือทำงานคือ "จากนี้ไปพวกเธอจะเอาอย่างไรกับชีวิต"

มิอุระคุง ในวัย 15 ปี บอกว่า "จะเป็นนักฟุตบอล" ... เอาล่ะถ้าเป็นยุคปัจจุบันจนหากเด็กบอกว่าจะเป็นนักฟุตบอลถือว่าไม่แปลกแต่อย่างใด แต่สำหรับ 40 ปีที่เเล้ว ญี่ปุ่น ยังไม่มีลีกฟุตบอลอาชีพ ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องที่ชวนประหลาดใจ เขาจะเตะฟุตบอลแล้วได้เงินที่ไหนกันล่ะ? ในเมื่อ ณ ตอนนั้นระบบในประเทศยังไม่พร้อมพอที่จะให้ค่าตอบแทนที่เทียบเท่ากับสายงานอื่นที่แลกมากับความขยันเรียนได้

คุณครูถาม มิอุระคุง ต่อว่า … แล้วเธอจะไปเล่นฟุตบอลที่ไหน

เขาตอบกลับอย่างไม่ลังเล "ผมจะไปบราซิล"

สื่ออย่าง When Sunday come เปิดเผยว่าสมัยยังเด็ก คาซู ไม่ใช่นักเตะที่เก่งกาจอะไร นั่นคือเหตุผลที่เขาอยากจะฝึกฝีมือที่บราซิลดินแดนแห่งฟุตบอล เพราะถ้าอยู่ในญี่ปุ่นต่อไปเขาคงพัฒนาไม่ถึงไหนแน่

"คาซู" ไม่ได้พูดให้คนอื่นขำเล่นๆ แม้จะเพียงสีหน้าที่ดูแปลกประหลาดใจจากคนรอบข้างเมื่อเขาพูดแล้วเขาเอาจริง เขาก็ซื่อตรงกับสิ่งที่พูดไว้มากพอ

“คาซู” อาจจะไม่ได้เริ่มนับหนึ่งด้วยการเป็นนักฟุตบอลของทีมชาติเหมือน โอคุเดระ แต่ เขาคือเด็กน้อยที่ไม่เคยผ่าระบบการเล่นให้สโมสรไหนเลย ดังนั้นคงต้องพูดได้เต็มปากว่า แต้มต่อของเขาคือ 0 ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้นการไปบราซิลนอกจากจะยากเรื่องการปรับตัวแล้ว เรื่องฟุตบอลคงยากยิ่งกว่าชาวญี่ปุ่นที่ยังไม่ได้เป็นที่ยอมรับในด้านฟุตบอล ณ เวลานั้น


ที่นี่...บราซิล

ปี 1982 คาซูโยชิ มิอุระ ในวัยย่าง 16 ปี ทำสิ่งที่ใหญ่โตเกินอายุ เขาแลกเงินมาทั้งหมด 700 ดอลล่าร์สหรัฐ เพื่อเดินทางมายังสรวงสวรรค์ของฟุตบอลด้วยตัวคนเดียว ไม่ข้อมูลใดที่ชัดเจนในยุคที่ไร้อินเตอร์เน็ต เขาค้นทุกอย่างด้วยตัวเองจนกระทั่งพบกับทีมฟุตบอลเยาวชนที่ชื่อว่า คลับ แอตเลติโก ยูเวนตุส ซึ่งเป็นทีมในระบบเยาวชนของทีมดังอย่าง เซา เปาโล


ไม่มีข้อมูลที่ระบุชัดเจนว่า ณ ตอนนั้น "คาซู" เข้าไปอยู่ในทีมได้อย่างไร มีการระบุเพียงว่า เขาไม่ใช่นักเตะกองหน้าที่เก่งกาจและคนดังของทีม แต่เขาเป็นพวกใช้ความขยันและการทำงานหนักเข้าแลก ซึ่งโชคไม่ดีนักเพราะสำหรับประเทศที่ผลิตนักฟุตบอลป้อนระบบอาชีพปีละเป็นร้อยๆพันๆคนอย่างบราซิล ฝีเท้าระดับนักเตะญี่ปุ่นอย่าง คาซู ถือว่าธรรมดามาก หากจัดเกรดคงอยู่ในระดับกลางค่อนล่างดีๆนี่เอง

และเมื่อเขาเป็นคนเอเชียด้วยเเล้ว การได้รับการยอมรับจากเพื่อนร่วมทีมยิ่งยากระดับคูณสองคูณสาม คาซู แทบจะไร้ตัวตัวในทีม แอตเลติโกฯ เขาถูกจัดให้นอนในห้องพักที่เตียงเต็มไปด้วยไรฝุ่น แถมยังไม่มีเพื่อนและโดนเหยียดเชื้อชาติ สารพันปัญหาที่ได้เจอพาลจะเยอะเกินไปสำหรับเด็กอายุแค่นี้หากมองในแง่ลบ แต่ถ้ามองในแง่บวกมันคือแรงผลักดันชั้นดียิ่งกว่าคำชมเสียอีก

คาซู เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วกับสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้น ทีมเยาวชนของ เซา เปาโล ใหญ่เกินไป เขายอมถอยหนึ่งก้าวเพื่อออกมาเล่นให้กับ ซานโต้ส ได้สัญญาระยะสั้นๆกับ ซานโต้ส แต่ได้เล่นแค่ 2 เกมก็ไม่ได้รับสัญญาโดนปล่อยออกจากทีม

"คาซู" ไม่ได้ขึ้นชื่อในฐานะเเข้งที่ยิงประตูมากมายแต่เขาเป็นที่รู้จักกันในนามนักเตะพเนจรมากกว่า เขาได้เล่นให้กับทั้ง พัลไมรัส,ทีม มัตซึบาระ หรือทีมผู้อพยพชาวญี่ปุ่นในบราซิล รวมถึง  XV de Jau,กอริติบ้า ก่อนจะปิดท้ายด้วยการกลับมาเล่นให้ ซานโต้ส อีกครั้งในปี 1990 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาอายุครบ 25 ปีพอดี

ตอนที่เล่นกับ ซานโต้ส รอบที่ 2 คาซู ได้มีโอกาสดวลกับทีม ฟลาเมงโก้ ทีมที่มีไอดอลของเขาอย่าง ซิโก้ ตำนานทีมชาติบราซิลชุดเเชมป์โลก ระหว่างพักครึ่ง ซิโก้ เดินมาหา คาซู และบอกว่า "นายได้สร้างมันขึ้นมาเเล้วน้องชาย" ... คำพูดสั้นๆ ทำให้ คาซู น้ำตาไหลเพราะได้รู้แล้วว่าการตัดสินใจมาบราซิลเเบบตัวคนเดียวเพื่อแสวงโชคไม่ได้เป็นสิ่งไร้สาระอย่างที่ใครเคยบอก


แข้งประวัติศาสตร์

แม้จะอยู่ตอนที่ไม่มีใครรู้จัก แต่ตอนกลับมาเขาคือผู้ที่ทำให้นักเตะญี่ปุ่นตื่นตัว ในปี 1990 ที่ "คาซู" กลับมาฟุตบอลลีกญี่ปุ่นยังคงเป็นลีกกึ่งอาชีพที่ใช้ชื่อว่า Japan Soccer League โดยเขากลับมาเล่นให้กับ เวอร์ดี้ คาวาซากิ หรือ โตเกียว เวอร์ดี้ ในปัจจุบันนี้นี่เอง

คาซู นำเอาวัฒนธรรมฟุตบอลที่แตกต่างจากบราซิล มาทำให้ฟุตบอลญี่ปุ่นได้ตื่นตะลึง ไม่มีนักเตะคนไหนในประเทศอีกเเล้วที่เก่งกว่าเขา

"ส่วนสำคัญคงเป็นเพราะเขาเริ่มต้นอาชีพค้าแข้งที่เหลือเชื่อ เขาไปบราซิลคนเดียวตั้งแต่ยังวัยรุ่น สู้ชีวิตในต่างเเดน และเมื่อบวกกับคนญี่ปุ่นที่ทำงานหนักชอบเอาชนะความลำบากเพื่อปรับปรุงตัวเองให้ดีขึ้น และมันเป็นช่วงสำคัญมากเพราะตอนนี้ เจ ลีก ลีกอาชีพกำลังจะก่อตัวขึ้นพอดี" ฌอน แคร์โรลล์ ผู้สื่อข่าวต่างประเทศที่เข้ามาทำงานในญี่ปุ่นกล่าวถึง คาซู ในปี 1990

คาซู เองก็เป็นไฮไลต์ของการเเข่งขันทุกๆนัด ผู้ชมชอบคนเก่งอย่างเขา เพราะในช่วงเวลาที่เขาไปเล่นใน บราซิล ลีกญีปุ่นยังถือว่าไม่ได้รับความนิยมมากนัก เพราะประชาชนในประเทศชอบดู เบสบอล กันมากกว่า

การได้ฝึกสไตล์แซมบ้าต้นตำรับห่างชั้นกับนักเตะกึ่งอาชีพในบ้านเกิดหลายเท่านั้น ณ ช่วงนี้หากเปรียบเทียบให้เห็นภาพง่ายๆ คาซู ก็คือ ดิเอโก้ มาราโดน่า ของญี่ปุ่นดีๆ นี่เอง

"ผมไม่ได้พูดเกินจริงนะ สถานะของเขาในเวลานั้นยิ่งใหญ่กว่านักบอลไปอีกหนึ่งระดับ ยังไงดีล่ะผมว่าเขาเหมือนร่างทรงของ มาราโดน่า น่ะ ใครที่พูดถึงเขาก็จะพูดเหมือนกับว่าเขาคือคนที่หลุดมาจากเทพนิยาม แม้ไม่ใช่เทพก็ถูกยกย่องเหมือนเป็นเทพดีๆนี่เอง" แคร์โรลล์ กล่าวเสริม

ปี 1993 เจลีก เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ประชากรในประเทศหันมาสนใจฟุตบอลกันมากขึ้น ซึ่ง คาซู นี่เองคือไอค่อนคนแรกของลีก ขณะที่บ้านเกิดของเขาอย่างเมือง ชิสึโอกะ ก็ได้รับแรงบันดาลใจจาก คาซู จนมีทีมเยาวชนของตัวเอง และได้สร้างแข้งท้องถิ่นป้อนสู่เจลีกคิดเป็นร้อยละ 15 ของจำนวนนักเตะอาชีพในลีก ณ เวลานั้นอีกด้วย  นี่คือเหตุผลที่ว่าเขาได้รับฉายาที่คงอยู่มาจนปัจจุบันอย่าง "คิง คาซู"

ความเป็นคิงส่องแสงไปไกลถึง ยุโรป เพราะ เจนัว ทีมจากลีกสูงสุดของอิตาลี ได้ทาบทาม คาซู ไปร่วมท้พในปี 1994 ด้วยสัญญายืมตัว 1 ฤดูกาล แน่นอนว่าการไปครั้งนี้ฝีเท้าของ คาซู เกี่ยวข้องด้วย แต่ก็ต้องยอมรับว่าเรื่องของการตลาดก็มีผลไม่น้อยเลยทีเดียวโดยการย้ายทีมในครั้งนี้มีหนึ่งในผู้ผลักดันและเป็นสปอนเซอร์นั่นคือบริษัทเครื่องเสียง Kenwood


คาซู กลายเป็นนักเตะญีปุ่นคนแรกในอิตาลี ลีกของแชมป์โลก 3 สมัย ณ เวลานั้น และถ้าหากนึกภาพไม่ออกมันคือปรากฎการณ์คล้ายกับที่ ชนาธิป สรงกระสินธ์ ย้ายไปเล่นในญี่ปุ่นกับ คอนซาโดเล ซัปโปโร จนทำให้ทีมนี้กลายเป็นทีมที่คนไทยทั้งประเทศส่งใจเชียร์ทุกนัดที่ลงสนาม  

เกมแรกที่ คาซู ได้ลงเล่นคือเกมกับ เอซี มิลาน ซึ่งเขาได้ดวลกับตำนานกองหลังอย่าง ฟรังโก บาเรซี่ และหลังจากทำสถิติเป็นผู้เล่นญี่ปุ่น (และเอเชีย) คนแรกที่ได้ลงสนามในเกมอย่างเป็นทางการเเล้ว คาซู ยังยิงประตูแรกซึ่งเป็นประตูประวัติศาสตร์ได้ในเกมที่เอาชนะ ซามพ์โดเรีย อีกด้วย

การมาอิตาลี ของ คาซู อาจจะพูดได้ไม่เต็มปากว่าประสบความสำเร็จเพราะเขายิงได้เพียงประตูเดียวเท่านั้นจากการลงเล่นทั้งหมด 23 เกม แถมเจนัวยังตกชั้นอีกต่างหาก

แต่สำหรับชาวญี่ปุ่นแค่นั้นก็มากพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาชอบดูฟุตบอล อิตาลี มากขึ้น นักเตะญี่ปุ่นยุคหลังจาก คาซู อย่าง ฮิเดโตชิ นากาตะ ที่ย้ายไปเล่นให้กับ เปรูจา ก่อนจะประสบความสำเร็จกับ ปาร์ม่า และคว้าแชมป์สคูเด็ตโต้กับ โรม่า คือหนึ่งในนักเตะที่ได้อิทธิพลจากการกรุยทางของ คาซู อย่างแท้จริง

จากที่เขาเป็นคนเดิมตามและได้แรงบันดาลใจจาก โอคุเดระ เมื่อยังเด็ก ถึงตอนนี้ผ่านเวลาไปทั้งหมด 17 ปี เขาเปลี่ยนจากผุ้รับกลายเป็นผู้ให้แรงบันดาลใจแก่นักเตะรุ่นหลัง ซึ่งนอกจากจะมี นากาตะ แล้ว ยังมี ชุนซุเกะ นากามูระ (เรจจินา), ฮิโรชิ นานามิ (เวเนเซีย), อัตสึชิ ยานางิซาวะ มาจนถึงรุ่นหลังอย่าง เคซุเกะ ฮอนดะ (เอซี มิลาน) และ ยูโตะ นางาโตโมะ (อินเตอร์ มิลาน) อีกด้วย


สร้างตำนานในบ้านเกิด

หลังจากหมดสัญญากับ เจนัว แล้ว คาซู ยังไปต่างเเดนอีกครั้งแบบสั้นๆกับ โครเอเชีย ซาเกร็บ (ดินาโม ซาเกร็บ ในปัจจุบัน) ก่อนที่เขาจะกลับมาเล่นให้กับ เวอร์ดี้ อีกครั้ง สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นถือว่าเป็นเรื่องของการตอบสนองความต้องการของตัวเขาองมากกว่า เพราะก่อนที่จะไปเล่นในยุโรป คาซู คว้าทุกแชมป์ในญี่ปุ่นมาเเล้ว แชมป์เจลีก 4 สมัยกับ เวอร์ดี้ ทั้งในรูปแบบของกึ่งอาชีพและลีกอาชีพเต็มตัว รวมไปถึง เจลีก คัพ และ เอ็มเพอเร่อร์ส คัพ อีกด้วย นอกจากนี้ยังมี่เกียรติยศในนามทีมชาติที่พา ญี่ปุ่น คว้าแชมป์ เอเชี่ยน คัพ ในปี 1992 อีกด้วย

แม้จะเรื่องของการคว้าแชมป์จะลดลงไป แต่ก็ยังมีสถิติอื่นๆมากมายที่เหลือให้เขาทุบ คาซู ใช้ชีวิตโดยมีฟุตบอลเป็นกิจกรรมหลักติดต่อกันมาเเล้วถึง 37 ปี นับตั้งแต่วันที่เขาเลือกเส้นทางตัวเองและไปยัง บราซิล

เขายังค้าแข้งกับสโมสรในญี่ปุ่นอีกหลายทีมและหลายบทบาททั้งกับ เกียวโต ซังกะ,วิสเซล โกเบ จนกระทั่งลงเอยกับ โยโกฮามา เอฟซี ในปี 2005 ณ ตอนนั้นเขามีอายุถึง 36 ปี

โยโกฮาม่า ยื่นสัญญาให้ คาซู แบบปีต่อปี ซึ่งตอนนี้มันผ่านเเล้วถึง 14 ปี ดูแล้วยังไม่มีทางที่เขาจะหมดไฟในตัวเองได้อย่างง่ายๆ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่