ได้เห็นเพจนึงได้ทำรูปกราฟฟิกออกมาว่า 10 ปี GDP กับรายได้ต่อหัวเป็นอย่างไร เหมือนกำลังจะบอกเป็นนัยๆว่า รัฐบาลทำดีแล้ว แต่เนื้อแท้ไม่ใช่เลย
GDP สูงขึ้น แน่หละ ก็กลุ่มคนรวย รวยมากๆ กระจุกอยู่ที่กลุ่มนั้นไม่กี่กลุ่ม ลองดูจากสถิติของธนาคารที่บอกคนมีเงินเกิน 1 ล้านนี่มีกี่ %
รายละเอียดดังนี้
- ไม่เกิน 50,000 บาท เฉลี่ยประมาณ 75.9 ล้านบัญชี คิดเป็น 86.4%
- เกินกว่า 50,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เฉลี่ยประมาณ 3.71 ล้านบัญชี คิดเป็น 4.23%
- เกินกว่า 100,000 บาท แต่ไม่เกิน 200,000 บาท เฉลี่ยประมาณ 2.96 ล้านบัญชี คิดเป็น 3.37%
- เกินกว่า 200,000 บาท แต่ไม่เกิน 500,000 บาท เฉลี่ยประมาณ 2.64 ล้านบัญชี คิดเป็น 3.01%
- เกินกว่า 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 1,000,000 บาท เฉลี่ยประมาณ 1.24 ล้านบัญชี คิดเป็น 1.42%
- เกินกว่า 1 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท เฉลี่ยประมาณ 1.24 ล้านบัญชี คิดเป็น 1.42%
- เกินกว่า 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 25 ล้านบาท เฉลี่ยประมาณ 7 หมื่นบัญชี คิดเป็น 0.08%
- เกินกว่า 25 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท เฉลี่ยประมาณ 2 หมื่นบัญชี คิดเป็น 0.03%
- เกินกว่า 50 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาท เฉลี่ยประมาณ 9.5 พันบัญชี คิดเป็น 0.01%
- เกินกว่า 100 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 200 ล้านบาท เฉลี่ยประมาณ 4.2 พันบัญชี คิดเป็น 0.005%
- เกินกว่า 200 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 500 ล้านบาท เฉลี่ยประมาณ 2.2 พันบัญชี คิดเป็น 0.002%
- ตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป เฉลี่ยประมาณ 1.1 พันบัญชี คิดเป็น 0.001%
แปลว่าคนไทย 86.4% มีเงินในบัญชีไม่ถึง 50,000 บาท แม่เจ้า ป่วยใหญ่ทีนึงก็ตายแล้ว แม้จะบอกว่ามีส่วนหนึ่งนำไปลงทุนหุ้น หรืออะไรก็ตามแต่สุดท้ายเงินในบัญชีก็มีอยู่แค่นี้ และนี่เป็นอีกเหตุผลที่ทำไมประเทศไทย ยังก้าวไปสู่รูปแบบบัตรเครดิต ยากด้วย เพราะบัตรวงเงินเต็ม ไม่ก็สมัครไม่ได้
ส่วนรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นก็แน่ละครับ ตั้ง 10 ปี ค่าของค่ารักษา ค่าอาหาร เมื่อสิบปีที่แล้วมีเงิน 5 ล้านยังอาจได้บ้านเดียวใน กทม ปริมณฑล เดี๋ยวนี้ 5 ล้าน ได้แค่ห้องแถว เผลอๆจะเหลือแค่ห้องๆเดียว เห็นยังครับแค่รายรับต่อหัวเพิ่มขึ้น 7พัน ใน 10 ปี ไม่ได้ช่วยอะไรเล้ย
จะทำให้คนใช้จ่ายแย่กว่าเดิมด้วยครับ เพราะของมันแพงขึ้นหลายเท่า ถามว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เงินเดือนเริ่มต้นเท่าไร ตอนนี้เงินเดือนเริ่มต้นกันเท่าไร เผลอๆเท่าเดิม หรือสูงขึ้น พัน 2 พัน แม่เจ้า อย่าใช้คำว่าประหัดและอดออมครับ เพราะว่าคำนี้มีไว้สำหรับควบคุมคนให้อยู่ในระเบียบ เช่นคุณเงินเดือน 15,000 คุณควรจะประหยัดนะ กินร้านข้างทาง 50 บาทเอานะ อดทนนะ แล้วเคยแคร์เรื่องสุขลักษณะไหม เขาล้างจานยังไง ขายแบบเปิดแบบนั้น ฝุ่นควันมาลงอาหารเป็นไง น้ำมันใช้ซ้ำแค่ไหน คนทำล้างมือที่ไหน เก็บภาชนะยังไง มีหนู มีแมลงสาบวิ่งไต่ภาชนะยามกลางคืนไหม วัตถดิบ เอาออกมาขายนอกการควบคุมอุณหภูมิจะเป็นอย่างไร ร้อนๆแบบนี้ด้วย ป่วยสะสมไหม และนี่แค่ยกตัวอย่างนะ คุณภาพชีวิตของคนอยู่ที่ไหน??
แล้วถ้าทุกคนอยากใช้คุณภาพชีวิตที่ดีหละเป็นอย่างไร ก็จะควบคุมยากสิครับ เจ้าของเดือดร้อน แต่เจ้าของที่อยู่รอดแล้ว โตแล้ว ก็เดือดร้อนแค่กำไรลดลงนะครับ อย่าลืมว่าทำไมประเทศพัฒนาแล้วเจ้าของส่วนใหญ่ไม่ได้รวยเว่อร์ห่างชั้นขนาดไทยนะ ก็เขาจ่ายพนักงานด้วยเงินเดือนที่ใช้ชีวิตได้ เจ้าของก็แค่รวยลดลง แต่ก็มีเจ้าของในชาติตะวันตกที่เก่งกาจที่รวยอู้ฟู้ขนาดนั้นก็มีแต่พนักงานก็จ่ายเงินดีเหมือนเดิม เอาหละถ้าพนักงานคิดได้แบบนี้กันหมด นอกจากเจ้าของกิจการที่จะงานเข้า ระดับประเทศก็งานเข้าเช่นกัน นักการเมืองส่วนใหญ่ก็มีหุ้นในกิจการต่างๆ แต่ยังไรก็ตามเราต้องการคนที่ทำได้จริง
สรุปคือ การเพิ่มขึ้นของ GDP และรายได้ต่อหัว ยังคงเป็นตัวเลขเชิงวิชาเกินเท่านั้น สิ่งที่เป็นตัวบ่งชี้ว่ารัฐไหนทำได้ดีคือ
- รายรับต่อเดือนต้องเพียงพอต่อคุณภาพชีวิตที่ดี ย้ำว่าที่ดี แบบประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่บางกลุ่มกระแนะกระแหนกันว่า เขาประชาธิปไตย์นะ ส่วนพวกไม่รู้จริงเนี่ยขอไปไปสำรวจเงิน หรือไปใช้ชีวิตแบบ Native ที่ประเทศที่พัฒนาแล้วนะ อย่าเาแต่นั่งเทียนวิชาเกินว่ารายได้สูง ค่าใช้จ่ายสูง ไปดูชีวิตของพวก Native นะ ไม่งั้นคนเก่งๆไม่หนีไปทำงานประเทศพวกนั้นกันหมดหรอกนะ แน่จริงลองแบบว่าให้ย้ายไปทำงานได้เสรีสิ รับรองจะมันส์ แบบว่าไม่ต้องเอาตัวเลขเชิงวิชาเกินมา ทั้งๆที่รู้อยู่ว่า คนส่วนใหญ่ในไทยลำบากกันแค่ไหน
- ธุรกิจ SME กลับมาค้าขายได้ดี ทุกวันนี้คุณรู้ไหมว่าเกิดไรขึ้น กลุ่มใหญ่ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีหยุดยั้งจน SME ตาย ศึกในประเทศยังไม่พอ ยังไปเชิญต่างประเทศมาอีก ไม่ว่าจะเป็น Shoppee หรือ Lazada ของต่างชาติทั้งนั้น เงินก็ไหลออก ต่างประเทศกันสิครับงานนี้ ถามว่าผู้บริหารประเทศทำไมไม่ทำอะไร หรือได้ค่าขนมก็โอเคแล้ว แต่คนที่เดือดร้อนคือกลุ่ม SME ที่ประเทศพัฒนาแล้วเขาจะมีกฏหมายการห้ามทุบตลาด คุณลองดูว่าไม่ว่าจะอเมริกาเอย ออส เลย และอื่นๆ คุณเคยสังเกตุไหมว่า 7-11 หรือ แม้ KFC ไม่สามารถมีสาขาได้เยอะและติดกันแน่นขนาดนี้ ก็ประเทศเขาป้องกันไว้แล้ว เขาป้องกันการทุบตลาดทำลายธุรกิจ SME ท้องถิ่น (อย่าบอกว่าปรับตัว คนที่ปรับตัวได้ คุณว่ากลุ่มนี้จะมีสักกี่กลุ่ม ถ้าโจทย์นั้นมันยากขึ้นเรื่อยๆ เคยเห็นคนดีแพ้เงินไหม ประเภทยื่นให้ 1 ล้าน ไม่เอา แต่พอโจทย์ยากขึ้นเรื่อยๆไปถึง 100 ล้าน เป็นไง จะปรับตัวยังไง ถ้าคนมันเกิดใหม่ด้วยการเริ่มต้นไม่มีอะไร แต่เจนเก่ามีทรัพย์มหาศาล เอาไม้จิ้มฟันไปงัดไม้ซุง?? ดังนั้นต้องมีระบบที่เข้ามาช่วยครับ)
- ต้องทำให้ SME ของไทยแกร่งขึ้น เมื่อแกร่งขึ้น ก็เริ่มนำไปรุกต่างชาติบ้าง จะได้มีกำลังจ้างคนในประเทศ จ่ายเงินเดือนคนดีๆ ยำ้ไม่ใช่ว่าพอ SME ได้กำไรดี ขายดี หรือบริษัทขนาดกลาง ใหญ่ ขายดี กิจการรุ่งเรืองแข็งแกร่งแล้ว ยังจะจ่ายเงินพนักงานกันแบบนี้อีก ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันที่ไม่มีรัฐชุดไหนในไทยที่แก้ได้เลย แบบนี้ก็จะไปกระจุกแค่กลุ่มเจ้าของธุรกิจ แต่ต้องจ่ายเงินดีให้พนักงานด้วย เพื่อกระจายรายได้ และลดความเหลื่มล้ำที่แท้จริง ใครจะทำได้น้อ อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ต้องมีเพชรบริหารบ้างแหละ ที่ทำได้ แต่ประชาชนต้องช่วยจับผิดและเรียกร้องด้วย ไม่ใช่อวยอย่างเดียว รัฐไหนทำผิด ไม่ว่าชอบหรือไม่ก็ต้อง ติ เพื่อ ก่อ เราอยากได้อะไร ประท้วงจุดนั้น
ผมอยากได้ผู้นำแบบกระทู้นี้
https://pantip.com/topic/38466635 ที่ได้โพสต์เอาไว้
ปล.ยอมเป็นคนโง่ที่มีตังค์เต็มกระเป๋า เต็มบัญชี แต่ ไม่อยากเป็นคนฉลาดที่เปิดบัญชีแล้วร้องอุ้ย ฉลาดจริงๆนะไม่ได้โม้
เจตนาของกระทู้นี้ไม่ได้ต้องการความแตกแยก แต่ต้องการติเพื่อก่อ ประชาชน ประชาธิปไตย์ คนควรมิสิทธิมีเสียง
GDP กับ รายได้เฉลี่ยต่อหัวเพิ่มขึ้นใน 10 ปี มันไม่ได้ช่วยให้ประชาชนอยู่ดีขึ้นเลย มันไปกระจุกอยู่ที่กลุ่มๆนึงที่ทำให้สูง
GDP สูงขึ้น แน่หละ ก็กลุ่มคนรวย รวยมากๆ กระจุกอยู่ที่กลุ่มนั้นไม่กี่กลุ่ม ลองดูจากสถิติของธนาคารที่บอกคนมีเงินเกิน 1 ล้านนี่มีกี่ %
รายละเอียดดังนี้
- ไม่เกิน 50,000 บาท เฉลี่ยประมาณ 75.9 ล้านบัญชี คิดเป็น 86.4%
- เกินกว่า 50,000 บาท แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เฉลี่ยประมาณ 3.71 ล้านบัญชี คิดเป็น 4.23%
- เกินกว่า 100,000 บาท แต่ไม่เกิน 200,000 บาท เฉลี่ยประมาณ 2.96 ล้านบัญชี คิดเป็น 3.37%
- เกินกว่า 200,000 บาท แต่ไม่เกิน 500,000 บาท เฉลี่ยประมาณ 2.64 ล้านบัญชี คิดเป็น 3.01%
- เกินกว่า 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 1,000,000 บาท เฉลี่ยประมาณ 1.24 ล้านบัญชี คิดเป็น 1.42%
- เกินกว่า 1 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 10 ล้านบาท เฉลี่ยประมาณ 1.24 ล้านบัญชี คิดเป็น 1.42%
- เกินกว่า 10 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 25 ล้านบาท เฉลี่ยประมาณ 7 หมื่นบัญชี คิดเป็น 0.08%
- เกินกว่า 25 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 50 ล้านบาท เฉลี่ยประมาณ 2 หมื่นบัญชี คิดเป็น 0.03%
- เกินกว่า 50 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาท เฉลี่ยประมาณ 9.5 พันบัญชี คิดเป็น 0.01%
- เกินกว่า 100 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 200 ล้านบาท เฉลี่ยประมาณ 4.2 พันบัญชี คิดเป็น 0.005%
- เกินกว่า 200 ล้านบาท แต่ไม่เกิน 500 ล้านบาท เฉลี่ยประมาณ 2.2 พันบัญชี คิดเป็น 0.002%
- ตั้งแต่ 500 ล้านบาทขึ้นไป เฉลี่ยประมาณ 1.1 พันบัญชี คิดเป็น 0.001%
แปลว่าคนไทย 86.4% มีเงินในบัญชีไม่ถึง 50,000 บาท แม่เจ้า ป่วยใหญ่ทีนึงก็ตายแล้ว แม้จะบอกว่ามีส่วนหนึ่งนำไปลงทุนหุ้น หรืออะไรก็ตามแต่สุดท้ายเงินในบัญชีก็มีอยู่แค่นี้ และนี่เป็นอีกเหตุผลที่ทำไมประเทศไทย ยังก้าวไปสู่รูปแบบบัตรเครดิต ยากด้วย เพราะบัตรวงเงินเต็ม ไม่ก็สมัครไม่ได้
ส่วนรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นก็แน่ละครับ ตั้ง 10 ปี ค่าของค่ารักษา ค่าอาหาร เมื่อสิบปีที่แล้วมีเงิน 5 ล้านยังอาจได้บ้านเดียวใน กทม ปริมณฑล เดี๋ยวนี้ 5 ล้าน ได้แค่ห้องแถว เผลอๆจะเหลือแค่ห้องๆเดียว เห็นยังครับแค่รายรับต่อหัวเพิ่มขึ้น 7พัน ใน 10 ปี ไม่ได้ช่วยอะไรเล้ย
จะทำให้คนใช้จ่ายแย่กว่าเดิมด้วยครับ เพราะของมันแพงขึ้นหลายเท่า ถามว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เงินเดือนเริ่มต้นเท่าไร ตอนนี้เงินเดือนเริ่มต้นกันเท่าไร เผลอๆเท่าเดิม หรือสูงขึ้น พัน 2 พัน แม่เจ้า อย่าใช้คำว่าประหัดและอดออมครับ เพราะว่าคำนี้มีไว้สำหรับควบคุมคนให้อยู่ในระเบียบ เช่นคุณเงินเดือน 15,000 คุณควรจะประหยัดนะ กินร้านข้างทาง 50 บาทเอานะ อดทนนะ แล้วเคยแคร์เรื่องสุขลักษณะไหม เขาล้างจานยังไง ขายแบบเปิดแบบนั้น ฝุ่นควันมาลงอาหารเป็นไง น้ำมันใช้ซ้ำแค่ไหน คนทำล้างมือที่ไหน เก็บภาชนะยังไง มีหนู มีแมลงสาบวิ่งไต่ภาชนะยามกลางคืนไหม วัตถดิบ เอาออกมาขายนอกการควบคุมอุณหภูมิจะเป็นอย่างไร ร้อนๆแบบนี้ด้วย ป่วยสะสมไหม และนี่แค่ยกตัวอย่างนะ คุณภาพชีวิตของคนอยู่ที่ไหน??
แล้วถ้าทุกคนอยากใช้คุณภาพชีวิตที่ดีหละเป็นอย่างไร ก็จะควบคุมยากสิครับ เจ้าของเดือดร้อน แต่เจ้าของที่อยู่รอดแล้ว โตแล้ว ก็เดือดร้อนแค่กำไรลดลงนะครับ อย่าลืมว่าทำไมประเทศพัฒนาแล้วเจ้าของส่วนใหญ่ไม่ได้รวยเว่อร์ห่างชั้นขนาดไทยนะ ก็เขาจ่ายพนักงานด้วยเงินเดือนที่ใช้ชีวิตได้ เจ้าของก็แค่รวยลดลง แต่ก็มีเจ้าของในชาติตะวันตกที่เก่งกาจที่รวยอู้ฟู้ขนาดนั้นก็มีแต่พนักงานก็จ่ายเงินดีเหมือนเดิม เอาหละถ้าพนักงานคิดได้แบบนี้กันหมด นอกจากเจ้าของกิจการที่จะงานเข้า ระดับประเทศก็งานเข้าเช่นกัน นักการเมืองส่วนใหญ่ก็มีหุ้นในกิจการต่างๆ แต่ยังไรก็ตามเราต้องการคนที่ทำได้จริง
สรุปคือ การเพิ่มขึ้นของ GDP และรายได้ต่อหัว ยังคงเป็นตัวเลขเชิงวิชาเกินเท่านั้น สิ่งที่เป็นตัวบ่งชี้ว่ารัฐไหนทำได้ดีคือ
- รายรับต่อเดือนต้องเพียงพอต่อคุณภาพชีวิตที่ดี ย้ำว่าที่ดี แบบประเทศที่พัฒนาแล้ว ที่บางกลุ่มกระแนะกระแหนกันว่า เขาประชาธิปไตย์นะ ส่วนพวกไม่รู้จริงเนี่ยขอไปไปสำรวจเงิน หรือไปใช้ชีวิตแบบ Native ที่ประเทศที่พัฒนาแล้วนะ อย่าเาแต่นั่งเทียนวิชาเกินว่ารายได้สูง ค่าใช้จ่ายสูง ไปดูชีวิตของพวก Native นะ ไม่งั้นคนเก่งๆไม่หนีไปทำงานประเทศพวกนั้นกันหมดหรอกนะ แน่จริงลองแบบว่าให้ย้ายไปทำงานได้เสรีสิ รับรองจะมันส์ แบบว่าไม่ต้องเอาตัวเลขเชิงวิชาเกินมา ทั้งๆที่รู้อยู่ว่า คนส่วนใหญ่ในไทยลำบากกันแค่ไหน
- ธุรกิจ SME กลับมาค้าขายได้ดี ทุกวันนี้คุณรู้ไหมว่าเกิดไรขึ้น กลุ่มใหญ่ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีหยุดยั้งจน SME ตาย ศึกในประเทศยังไม่พอ ยังไปเชิญต่างประเทศมาอีก ไม่ว่าจะเป็น Shoppee หรือ Lazada ของต่างชาติทั้งนั้น เงินก็ไหลออก ต่างประเทศกันสิครับงานนี้ ถามว่าผู้บริหารประเทศทำไมไม่ทำอะไร หรือได้ค่าขนมก็โอเคแล้ว แต่คนที่เดือดร้อนคือกลุ่ม SME ที่ประเทศพัฒนาแล้วเขาจะมีกฏหมายการห้ามทุบตลาด คุณลองดูว่าไม่ว่าจะอเมริกาเอย ออส เลย และอื่นๆ คุณเคยสังเกตุไหมว่า 7-11 หรือ แม้ KFC ไม่สามารถมีสาขาได้เยอะและติดกันแน่นขนาดนี้ ก็ประเทศเขาป้องกันไว้แล้ว เขาป้องกันการทุบตลาดทำลายธุรกิจ SME ท้องถิ่น (อย่าบอกว่าปรับตัว คนที่ปรับตัวได้ คุณว่ากลุ่มนี้จะมีสักกี่กลุ่ม ถ้าโจทย์นั้นมันยากขึ้นเรื่อยๆ เคยเห็นคนดีแพ้เงินไหม ประเภทยื่นให้ 1 ล้าน ไม่เอา แต่พอโจทย์ยากขึ้นเรื่อยๆไปถึง 100 ล้าน เป็นไง จะปรับตัวยังไง ถ้าคนมันเกิดใหม่ด้วยการเริ่มต้นไม่มีอะไร แต่เจนเก่ามีทรัพย์มหาศาล เอาไม้จิ้มฟันไปงัดไม้ซุง?? ดังนั้นต้องมีระบบที่เข้ามาช่วยครับ)
- ต้องทำให้ SME ของไทยแกร่งขึ้น เมื่อแกร่งขึ้น ก็เริ่มนำไปรุกต่างชาติบ้าง จะได้มีกำลังจ้างคนในประเทศ จ่ายเงินเดือนคนดีๆ ยำ้ไม่ใช่ว่าพอ SME ได้กำไรดี ขายดี หรือบริษัทขนาดกลาง ใหญ่ ขายดี กิจการรุ่งเรืองแข็งแกร่งแล้ว ยังจะจ่ายเงินพนักงานกันแบบนี้อีก ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันที่ไม่มีรัฐชุดไหนในไทยที่แก้ได้เลย แบบนี้ก็จะไปกระจุกแค่กลุ่มเจ้าของธุรกิจ แต่ต้องจ่ายเงินดีให้พนักงานด้วย เพื่อกระจายรายได้ และลดความเหลื่มล้ำที่แท้จริง ใครจะทำได้น้อ อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ต้องมีเพชรบริหารบ้างแหละ ที่ทำได้ แต่ประชาชนต้องช่วยจับผิดและเรียกร้องด้วย ไม่ใช่อวยอย่างเดียว รัฐไหนทำผิด ไม่ว่าชอบหรือไม่ก็ต้อง ติ เพื่อ ก่อ เราอยากได้อะไร ประท้วงจุดนั้น
ผมอยากได้ผู้นำแบบกระทู้นี้ https://pantip.com/topic/38466635 ที่ได้โพสต์เอาไว้
ปล.ยอมเป็นคนโง่ที่มีตังค์เต็มกระเป๋า เต็มบัญชี แต่ ไม่อยากเป็นคนฉลาดที่เปิดบัญชีแล้วร้องอุ้ย ฉลาดจริงๆนะไม่ได้โม้
เจตนาของกระทู้นี้ไม่ได้ต้องการความแตกแยก แต่ต้องการติเพื่อก่อ ประชาชน ประชาธิปไตย์ คนควรมิสิทธิมีเสียง