เรื่องสั้นวันพุธ (16 ม.ค. 62) : ผู้สูญเสีย

เรื่องสั้นวันพุธ ............ผู้สูญเสีย
โดย ลิอ่อง



               เมื่อเสียงจากปลายสายเงียบไปแล้ว ฝ่ายที่เป็นผู้รับสายเมื่อแรกจึงค่อยลดมือที่กำโทรศัพท์ลง ทอดสายตาเหม่อมองไปยังท้องถนนเบื้องหน้าที่บัดนี้เป็นทางหลวงแผ่นดินสายหลักรองรับยวดยานวันละนับหมื่นนับแสนคัน    
        
                ช่างผิดแผกแตกต่างจากวันเก่าๆ ของเธออย่างลิบลับ หญิงสูงวัยแลเห็นภาพซ้อนเป็นเกวียนเทียมด้วยวัวสองตัวเดินย่ำไปบนผืนดินสีแดงอันเป็นผิวถนน บนพื้นเกวียนด้านหลังคือเด็กชายร่างกายผ่ายผอม ผิวคล้ำ ยิงฟันขาว สวมเสื้อและกางเกงสีมอๆ นั่งห้อยขาโบกไม้โบกมือและตะโกนมาทางพี่น้องที่ยืนมองตาม
        
               “เดี๋ยวจิหาปลามาฝากเด้อ”
        
               เขาคือน้องชายที่ถัดจากเธอและแทบจะเป็นคนเดียวที่ชำนาญในการหาอาหารจากห้วยหนองคลองบึง เพื่อเอามาให้แม่ทำกับข้าวแจกน้องๆ ที่อยู่ในวัยไล่เลี่ยกันถึงหกคน คราหนึ่งเขากลับมากับพ่อโดยที่เดินทิ้งช่วงห่างตามหลังมาพร้อมกับกึ่งเดินกึ่งลากปลาช่อนตัวโตมาด้วยอาการเหนื่อยหอบ ความที่ตนเองผอมแต่ต้องออกแรงลากปลาที่สมบูรณ์และแข็งแรงมาตลอดทาง
        
              เขาฉลาดในการเอาตัวรอด ตรงข้ามกับการเรียนรู้ตำราจากห้องเรียน เพียงแค่เขียนชื่อตัวเองได้ และอ่านได้นิดๆ หน่อยๆ พอแตกหนุ่ม ความที่ชอบเรื่องยานยนต์ เขาจึงเริ่มต้นหาเงินด้วยการอาสาเป็นเด็กท้ายรถโดยสารที่ขับเข้าไปในเมือง ยามหน้าหนาวเห็นฝุ่นดินแดงเกาะเผ้าผมและปกเสื้อชัดเจน แต่เขาไม่ใส่ใจ กลับสนุกสนานกับการใช้ชีวิตบนรถ หัดขับรถ และต่อมาก็กลายเป็นคนขับรถ ทั้งรถรับจ้าง และรถโดยสารที่มักมีเจ้าของเป็นคนจีน เรียกกันว่า “เถ้าแก่”

             เขาเป็นคนพูดจาเสียงดัง หัวเราะง่าย มีเพื่อนฝูงมาก แล้วก็เจ้าชู้ ครั้งแรก เลิกกับเมียคนแรกที่มีลูกสาวด้วยกันคนหนึ่ง ต่อมาแต่งเมียคนที่สอง ยังไม่ทันคลอดก็ป่วยเป็นไข้เลือดออกตายจากไป กระทั่งเมียคนที่สาม เธอมีวัยรุ่นราวคราวลูก เพราะอ่อนกว่ากันเกือบยี่สิบปี ครอบครัวเดิมยากจน แต่ความแข็งแรงและมีน้ำอดน้ำทนของเธอ จึงทำให้สู้กับงานหนักงานเบาได้โดยไม่ปริปาก ทั้งคู่หอบลูกน้อยสองคนเข้าเมืองหลวงไปรับจ้างขับรถส่งของโดยเช่าบ้านอยู่แถวชานเมือง และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นสำหรับการเป็นเจ้าของกิจการขนส่งภายใต้ชื่อจดทะเบียนการค้าว่าเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัดในอีกเกือบสิบปีต่อมา
        
             ในบรรดาพี่น้องสิบสองคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือถึงชั้นมัธยม เห็นได้ชัดว่าเขามีฐานะร่ำรวย และมีเงินทองหมุนเวียนดีกว่าใคร  และความที่เมียอ่านออกเขียนได้คล่องกว่าเขา คิดเลขเร็วกว่าเขา ความกระเหม็ดกระแหม่ของเมียจึงครอบคลุมชีวิตของเขาไว้ได้ทั้งหมด ชนิดที่ว่าเขาแทบไม่ได้ถือเงิน ดังที่คำของน้องชายคนหนึ่งพูดลับหลังว่าเขาอยู่ “ใต้ตีน” เมีย
    
         ไม่ว่าเทศกาลใด เขาจึงเป็นลูกที่กลับมาหาแม่น้อยครั้งกว่าใคร และห่างเหินจากครอบครัวไปมากกว่าใครๆ และแต่ละครั้งที่กลับมาเยี่ยมบ้านเกิด เขามักจะมีสีหน้าเหนียมๆ เวลาเอ่ยปากลาแม่กลับโดยมีเงินที่เมียของเขาส่งให้กับมือของแม่เองจำนวนไม่กี่ร้อยบาท  หรือไม่ก็ไม่ได้ให้ เพราะแม่ชิงพูดขึ้นมาก่อนว่า “กูก็ยังมี”
    
             ยามที่น้องๆ ต่างเดือดร้อน เพราะความอ่อนด้อยโอกาสที่เข้ากุมชะตากรรม เคยมีน้องชายบางคนช่วยเจรจาขอหยิบยืมเงินโดยอาศัยความเป็นพี่น้อง แต่กลับได้รับคำตอบปฏิเสธด้วยเหตุผลที่จำเป็นต่างๆ นานาจากครอบครัวของเขาที่นับวันก็คือเจ้าของกิจการที่กำลังรุ่งเรือง ขยายตัวเติบโตอย่างน่าทึ่ง จากที่เคยมีรถส่งของคันแรกของตนเอง ก็เพิ่มจำนวนขึ้นตามวันเวลา เป็นสอง สาม สี่ ...กระทั่งเกินสิบ
        
              ขณะที่กิจการของเขาก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและมีโอกาสดี อีกไม่นานต่อมา แม่ก็ตายลงหลังจากที่เขาได้มาเยี่ยมครั้งสุดท้ายก่อนหน้านั้นราวหนึ่งปี เงินช่วยเหลือในงานศพจากชาวบ้านถูกใช้ไปกับการจัดงานเกือบทั้งหมด ขณะที่เขาได้รับผลประโยชน์จากค่าฌาปนกิจสงเคราะห์ที่ทำไว้ในนามของแม่ประมาณหนึ่งแสนสามหมื่นบาท พี่สาวคนโตแนะนำเขาว่า ควรจะแบ่งให้คู่ชีวิตของแม่ที่มีศักดิ์เป็นพ่อเลี้ยงซึ่งชรามากแล้ว วันที่เขากลับเข้ากรุงเทพฯ จึงถือเงินสองพันบาทไปฝากไว้กับพี่สาว
        
              “ให้แค่นี้ก่อน แกคงไม่ต้องใช้อะไรมากมาย”
    
                 ไม่มีใครอยากพูดคุยกับเมียของเขาที่แม้จะหน้าตาหมดจดด้วยผิวพรรณขาวนวลเกลี้ยงเกลาแบบคนภาคกลาง แต่เธอก็เลือกที่จะวางหน้าเฉย และไม่ใคร่มีคำพูดคำจา หรือแสดงสีหน้าแย้มยิ้มกับใคร หลังจากแม่เขาตายจากไปแล้ว จึงยิ่งเห็นว่าในความเป็นสายเลือดเดียวกันนั้นก็ยิ่งจืดจางลงไปตามวันเวลา
    
               ข่าวป่วยไข้ของเขาเมื่อสี่เดือนที่แล้วแทบจะไม่ทำให้พี่น้องรู้สึกร้อนหนาวอันใดร่วมไปด้วย เขาเป็นโรคร้ายระยะสุดท้ายที่เหลือเวลาเพียงน้อยนิดสำหรับทุกสิ่ง ผู้ที่เลือกใช้เวลาในการเดินทางไปเยี่ยมเยียนและนั่งกินข้าวด้วยกันก็คือ พี่สาวคนและน้องชายคนที่หก ก่อนที่จะกลับไปอีกครั้งก่อนวันที่เขาสิ้นลมเพียงวันเดียว    
    
          งานศพของเขาจัดขึ้นในเมืองหลวง ถิ่นที่กลายเป็นบ้านหลังใหม่ของเขาไปแล้ว พี่น้องและญาติมิตรพากันขึ้นรถเช่าที่ออกค่าใช้จ่ายโดยเมียของเขา หลานบางคนไม่มาร่วมพิธีศพเพราะผูกใจเจ็บอดีตที่เขาไม่ได้ช่วยเหลือตามคำขอ ทั้งที่อยู่ในสถานะที่มีความพรั่งพร้อมบริบูรณ์ กับบางคนก็รู้สึกผิดหวังกับการที่เขาไม่คืนเงินเรือนหมื่นซึ่งเคยมาขอหยิบยืมไปครั้งที่บุกเบิกกิจการ
    
          หลานสาววัยสามขวบของเขายังเล็กเกินกว่าจะเข้าใจความสูญเสีย เธอตัวอ้วนกลม หน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตา ถักเปียสองเส้น สวมชุดกระโปรงสีขาววิ่งไปวิ่งมาภายในงาน สลับกับไปขออนุญาตพ่อแม่กินอาหารที่อยากกิน เมื่อถึงเวลาวางดอกไม้จันทน์ เธอเป็นคนหนึ่งที่ยืนแจกของชำร่วยอยู่เชิงบันได มันเหลือราวกึ่งหนึ่งจากจำนวนทั้งหมดที่เตรียมไว้เช่นเดียวกับดอกไม้จันทน์ที่ใครบางคนเดินถือไปมอบให้ญาติของผู้ตายในอีกศาลาหนึ่งสำหรับใช้งานต่อไป
    
             ในฐานะพี่สาว เธอใจหายกับการจากไปของเขาด้วยโรคภัยไข้เจ็บที่ไม่คาดคิด แต่นั่นก็ยังน้อยกว่าความสะท้อนใจที่ได้เห็นว่า ในบรรดาเครือญาติโดยเฉพาะพี่ๆ น้องๆ ไม่มีใครเลยที่เสียน้ำตาให้เขาในวันเผาศพ นอกจากเมียของเขาเพียงคนเดียวที่ยังจ่อมจมกับความหวนหาอาลัย กระทั่งต้องกดโทรศัพท์มาร่ำไห้กับเธอในยามบ่ายของวันหนึ่งที่เป็นวันหยุดงาน ทั้งที่ตามปกติไม่เคยทำเช่นนี้มาก่อน
    
          เธออยากร้องไห้ให้ความรู้สึกนั้น ขณะที่ยังคงแลเห็นภาพน้องชายวัยห้าหกขวบร่างผอมเกร็งใช้สองมือลากปลาช่อนตัวเท่าขาเดินตามพ่อเข้ามาในบ้านอย่างทุลักทุเล


                                                                      ........................................



(มกราคม 2562)

ขอขอบคุณผู้อ่านทุกท่านค่ะ ดอกไม้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่