เนื่องจากเพิ่งสอบ IELTS ได้คะแนนตามที่ต้องการช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งสอบผ่านในครั้งที่ 4 ในรอบ 2-3 ปี และได้นำคำแนะนำจากกระทู้พันธ์ทิพย์ไปใช้ รู้สึกว่าช่วยได้มากๆ จึงอยากมาแชร์ประสบการณ์ต่อค่ะ ซึ่งจะเน้นว่าเราฝึกยังไงในแต่ละทักษะ เรายังไม่เก่งนะคะ แต่อยากช่วยแชร์วิธีการ
เราขออ้างอิงกระทู้นี้นะคะ เพราะการฝึกจนสอบผ่านมาได้ เราอ่านจากกระทู้นี้แล้วนำมาปรับใช้ค่ะ
https://pantip.com/topic/37335061
รีวิวแบ่งเป็น 4 ส่วนนะคะ สามารถข้ามไปอ่านการฝึกที่ข้อ 4 หรือ 5 ได้เลยนะคะ
1) พื้นฐานภาษาอังกฤษของตัวเอง และที่มาที่ไป
2) คะแนน IELTS ทั้งหมด 4 ครั้ง
3) การลงเรียน IELTS ที่ผ่านมาทั้งหมด
4) การฝึกทักษะต่างๆ ในส่วนของตัวเอง
5) คำแนะนำส่วนตัว
*****************************************************************************************************************************
1) พื้นฐานภาษาอังกฤษของตัวเอง และที่มาที่ไป
เราเป็นเด็กสายวิทย์ที่ไม่ได้ชอบภาษา สอบได้เกรดดี แต่ใช้งานจริงไม่ได้ สามารถทำข้อสอบแกรมมาได้ อ่านรู้เรื่อง แต่ฟัง เขียน พูด ไม่ได้เลย ถ้าประเมินเป็นคะแนนน่าจะ ไม่เกิน 5 เต็ม 10 เพราะเคยไปสัมภาษณ์ทุนแลกเปลี่ยนตอนมหาวิทยาลัย จำได้ว่าตอนสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ ฟังไม่ออก ตอบไม่ได้ ก่อนออกมาอาจารณ์ที่สัมภาษณ์สงสาร ก็ช่วยแนะนำวิธีพัฒนาภาษาให้ ตอนนั้นติดได้ Ranking อันดับ 2 เพราะคะแนนส่วนวิชาการดี สุดท้ายไม่ได้ไปเพราะเขามองว่าเราไม่ตรงสายงานที่ขอไปแลกเปลี่ยนด้วย
ตัดภาพมาตอนเรียนจบ ได้มีโอกาสพัฒนาการฟังและพูดมากขึ้นเพราะ ไปทำงานพาร์ทไทม์ที่มีลูกค้าต่างชาติเยอะ จำได้ว่าวันแรกๆ ที่ไป อยากไม่อยากอยู่รับลูกค้าเองเลย อยากขายแต่คนไทย พอต่างชาติเข้ามาอยากมุดโต๊ะหนี แต่ทำไม่ได้ สุดท้ายการพูดและการฟังดีขึ้นมากในระยะเวลา เกือบๆปีที่อยู่ตรงนั้น
หลังจากนั้นจนถึงตอนนี้ ไม่ได้เจอคนต่างชาติเยอะแล้วก็ฝึกจากการดูหนัง หรือดูคลิปที่สนใจ แล้วก็ลงเรียนไอเอลสำหรับการสอบ
ปัจจุบันก็ทำงานประจำ 5-6 วันต่อสัปดาห์ แล้วก็มีธุรกิจส่วนตัว ที่จะดูแลนอกเวลางานด้วยค่ะ ^^
เราสอบไอเอลเพราะต้องการใช้ยื่นเรียนต่อโท ในสายวิทยาศาสตร์ ใช้คะแนน Overall 6.5 แต่ละแบรนด์ไม่ต่ำว่า 6.0
.
2) คะแนน IELTs ทั้งหมด 4 ครั้ง
ครั้งที่ 1 August 2016 (จำได้คร่าวๆ เพราะลองสอบครั้งแรก คะแนนไม่ได้ใช้) สอบที่ IDP
L5.5 R6.0 W5.5 S5.0 Overall 5.5
(หาผลสอบไม่เจอเเล้ว)
ครั้งที่ 2 10/Feb/2018 สอบที่ BC
L5.5 R6.0 W5.0 S6.0 Overall 5.5

ครั้งที่ 3 20/Oct/2018 สอบที่ IDP
L6.5 R7.0 W6.0 S5.0 Overall 6.0

ครั้งที่ 4 15/Dec/2018 สอบที่ IDP
L6.5 R6.0 W6.0 S6.5 สอบที่ IDP

.
3) การลงเรียน IELTS ที่ผ่านมาทั้งหมด
ขอนับเฉพาะการลงเรียนไอเอลนะคะ ตอนเรียนมหาลัยเราก็เรียน Writing ไปเรื่อยๆ เพื่อให้มีอะไรทำวันหยุด แต่ไม่ใช่สำหรับไอเอล
3.1) เรียนสถาบัน
อันนี้เราเรียนแบบคอร์ส unlimited ที่มีการคอร์สสอนไอเอลด้วย เรียนช่วงต้นปี 2016 เพราะว่าใกล้ที่ทำงาน ตอนนั้นเริ่มคิดเรื่องเรียนต่อแล้ว ก็เลยลงเรียนแถวๆที่ทำงาน ก็มีทั้งคลาสที่สอน General English และไอเอล ตอนนั้นฝึกน้อยและจับวิธีการคิดอะไรไม่ได้ และพื้นฐานเรายังไม่ดี พอเรียนจบไปสอบครั้งแรก ก็ได้คะแนนอย่างที่บอก และเราย้ายที่ทำงานใหม่ตอนปลายปี จึงพับโครงการเรียนต่อไปก่อน 1 ปี เท่าที่สังเกตเด็กคนอื่นๆในคลาส (ส่วนใหญ่เป็นเด็กเรียนมหาลัย) ก็สอบผ่านในครั้งแรกที่ต้องการกัน เราเลยคิดว่าถ้าพื้นฐานดี มาเรียนน่าจะเข้าใจเร็วและสอบได้เลยค่ะ
3.2) เรียนคอร์สออนไลน์กับครูอเมริกัน
คอร์สนี้เริ่มเรียนตอนปลายปี 2016 รู้จักเพราะฟัง podcast ของเขาแล้วชอบ เราชอบคอร์สนี้มาก เพราะสอนการพัฒนา General English และเทคนิคไอเอลดีมาก แต่ เราก็เรียนแบบไม่ค่อยได้ฝึกฝนอีก พอต้นปี 2018 ถึงไปสอบแบบหลุดๆ คะแนนก็ยังไม่ผ่าน ตอนนั้นเข้าใจเลยว่า เทคนิคดี แต่ไม่ฝึกจนแม่นก็จบ
ลองไปดูได้นะคะ
https://www.allearsenglish.com/ieltsonline/ ฟังส่วนฟรียังได้ประโยชน์เยอะเลย
3.3) เรียน Private เฉพาะ Writing
เกริ่นก่อนว่า-พอคะแนนต้นปี 2018 ออก เราก็ยังสอบไม่ผ่าน และที่เศร้ากว่านั้นคือ เราโดนปฏิเสธให้เข้ารอบสุดท้ายของคอร์สป.โทที่อยากเรียนมาก ทั้งๆที่สอบรอบวิชาการผ่านแล้ว เพราะคะแนนไอเอลไม่ผ่านเกณฑ์ตามกำหนดในวันที่ 28Feb2018 ตอนนั้นรู้สึกเศร้ามาก พอดีมีพี่แนะนำให้อ่านกระทู้นี้
https://pantip.com/topic/37335061 เราก็เลยลองปรึกษาพี่เจ้าของกระทู้ ก็ได้คำแนะนำมา เลยตัดสินใจลงเรียน private พอทดลองเรียนแล้วรู้สึกว่าช่วยแก้ปัญหาได้ตรงจุด ก็เลยเรียนต่อเนื่องอาทิตย์ละครั้ง และ Set time line การยื่นสมัครปีถัดไปกับครูที่สอน ซึ่งสุดท้ายก็สอบผ่านตามคะแนนที่ตั้งใจไว้ค่ะ
ตรงนี้ที่ตัดสินใจเรียนอีกอย่างคือ เราคิดว่าถ้ายังทำวิธีการเดิมๆ ผลลัพธ์ก็น่าจะไม่ต่างจากเดิม เราเลยลองวิธีใหม่สำหรับเราค่ะ
.
4) การฝึกทักษะต่างๆ ในส่วนของตัวเอง
ปรับมาจากที่อ่านรีวิวในพันธุ์ทิพย์ ครูที่สอน Writing แนะนำมา และวิธีการที่เรียนมาจากคอร์ส online ค่ะ
Listening
- แนะนำแอพ Blinkist ค่ะ เป็น app ที่ดีมากๆ เป็นแอพที่สรุปหนังสือ non-fiction มาไว้ในเวลา 15 นาที สามารถฟังได้และอ่านสคริป ไปด้วยได้ เราซื้อตัวเต็มไว้ ตอนนั้นใช้ส่วนลดเหลือ 1,8xx เพราะเหมือนมือถือเราเปิดฟรีวันละเล่มไม่ได้ -*- แต่คุ้มค่ามากๆ เราจะฝึกด้วยการฟังหนังสือวันละ 1 เล่ม จะฟังแบบให้เข้าใจว่าเขาพูดเรื่องอะไร ฟังจังหวะการอ่าน การเว้นประโยคของเข้า แรกๆ อาจจะฟังไม่ทัน เพราะมันเร็วมาก พอนานๆไปเราฟังทันมากขึ้น เราทดลองฟังก่อนฝึกทำข้อสอบ Listening ปรากฏว่า ฟังออกมาขึ้น ความเร็วของไอเอลช้าไปเลย จากประสบการณ์ถ้าฟังแอพนี้ทัน จะฟัง part 4 ในไอเอลง่ายมากขึ้น เพราะเป็นเหมือนเสียงคน 1 คน บรรยายไปเรื่อยๆเหมือนกัน ***แนะนำควรมีติดเครื่องไว้จริงๆ
***Trick วันสอบจริง 2 รอบหลัง เราเปิดฟัง 2 เล่ม ประมาณ 30 นาที ระหว่างเดินทางไปสอบ ช่วยจูนหูกับสมองได้ดีจริงๆค่ะ
- Tedtalk อันนี้ชอบฟังกรอกหูตอนนั่งทำงานเอกสารหรือตอนเดินทาง กรอกหูคือไม่ฟังเอาเนื้อหาใดๆเลยค่ะ ให้หูมันชินกับจังหวะการพูดภาษาอังกฤษแค่นั้นเอง ทำติดต่อกันเรื่อยๆ ช่วยได้เยอะเหมือนกัน
- ทำข้อสอบจริง จากเล่ม Cambridge แนะนำให้ทำ เรื่อยๆ ได้เลยนะคะ เราจะได้คุ้นเคยกับข้อสอบ และได้ฝึก Spelling ไปในตัว หลังจากทำข้อสอบเสร็จแล้ว เราจะมาเช็คกว่าตรงที่เราไม่ได้คือยังไง ผิดเพราะอะไร และไปอ่านสคริปดู 1 ครั้ง จากนั้นจะเอาเทปนั้นมาฟังระหว่างไปทำงาน วิธีฟัง จะฟังหาการแบ่งประโยค ฟังเป็นประโยค ตรงไหนถึงประโยคที่มี keyword ที่เราวงไว้ จะตั้งใจฟังประโยคนั้น ตรงไหนพูดเรื่อยๆ ไม่เกี่ยวกับตรงที่ต้องเติมคำตอบ เราก็จะปล่อยๆ ไม่ Focus ประโยคนั้นมาก พอฝึกจนเก่งขึ้น เราจะไม่ค่อยเหนื่อยกับการเพ่งสมาธิทุกประโยคค่ะ และรู้สึกว่าทำได้มากขึ้น
Reading
-อ่านบทความ World Economic forum ใน Facebook page วันละเรื่อง
-ฝึกทำข้อสอบจริง ฝึกเทคนิค Screen และหา Keyword ของแต่ละ paragraph หา Keyword ที่สัมพันธ์กับคำถาม พอทำเสร็จก็มาอ่านการและจดศัพท์จากเรื่องที่อ่าน 3-5 คำพอ เพราะมากกว่านี้เราจำไม่ไหว แล้วก็จดใส่การ์ดเล็กๆ ไว้ทวนระหว่างวัน ช่วงแรกฝึกทำข้อสอบอย่างเดียวได้ พอก่อนสอบอย่างน้อย 2 สัปดาห์ควรจับเวลา การบริหารเวลาสำคัญมากจริงๆ
Writing
- ฝึกเขียนเกินกว่าจะจินตนาการได้ (ยืมจากกระทู้ที่แนะนำมาใช้ ^^*) ต้องฝึกฝนสิ่งที่ถูกต้องเข้าไปมากๆจริงๆ อันนี้ตอนแรกก็เครียดมาก เพราะแบบจินตนาการยังไม่ออกเลยว่ามันมากขนาดไหน สุดท้ายแล้วก็ปรับให้เข้ากับตัวเรา และคะแนนที่เราต้องการค่ะ ควรมีคนที่มีความรู้ช่วย feedback ให้จริงๆ ส่วนตัวเองเคยตั้งเป้ากับครูไว้ว่าจะพยายามเขียนให้สัปหาห์ละ 8 ชิ้น แต่ความจริงคือได้แค่สัปดาห์ละ 1-2 ชิ้น ช่วงเดือนท้ายๆที่จะปิดปี ไม่ได้ส่งเลยด้วยซ้ำ ToT แต่อันนี้ อย่างน้อยเราต้องแม่นว่าข้อสอบแบบนี้ เราจะตอบโครงสร้างไหน มีรูปแบบประโยคแบบไหนที่เราจะใช้บ้าง ส่วนตัวจะสรุปลักษณะคำถาม เช่น Agree/Disagree, Discuss both view…blah….blah ใส่การ์ดเล็กๆ ติดตัวไปทุกที่ เวลารอรถเมล์ หรือระหว่างเดินทางก็จะเอาขึ้นมาทวนเร็วๆ อาศัยความถี่ให้จำขึ้นใจ

***ถ้าเราแม่นเรื่องโครงสร้าง อย่างน้อยเรารู้ว่าเราจะหยิบอะไรมาเขียน อย่าง Task 1 พอเราเห็นโจทย์เรารู้ว่าต้องเขียนยังไง เราจะดึงข้อมูลมาถูกต้องเลยค่ะ
Speaking
- ครั้งที่ 3 คะแนน Speaking ยังน้อยก็ตามการฝึกเลย ก่อนสอบครั้งนี้ฝึกน้อยมากๆ และรู้สึกว่าตอบวนเวียน ใช้โครงสร้างการตอบที่ไม่ค่อยดีค่ะ ประกอบกับเราเป็นคนพูดเสียงโทนเดียว ไม่ค่อยมีอารมณ์ในการพูด เราก็เลยแก้ตามนี้
-ฝึกอ่านออกเสียงวันละ 10 นาที จากบทความหรือหนังสือภาษาอังกฤษ ตรงนี้ฝึกให้ตัวเองพูดต่อเนื่องและฝึกใส่จังหวะการพูด
-เอาข้อสอบจากหนังสือ Cambridge มาฝึกตอบค่ะ
-เรียน speaking online กับครูชาวอังกฤษ ครูสอนวิธี list idea ของ part 2 ดีมาก คือ พอได้คำถาม ตอนเวลาโน๊ต 1 นาที ให้ List keyword มา อย่างละ 3 คำ สำหรับเรามันดีตรง list idea ทัน และพูดไหลลื่น ไม่วนเวียนค่ะ
ตัวอย่าง
Describe someone you know who has started a business.
You should say
Who this person is
What work this person does
Why this person decided to start a business
And explain whether you would like to do the same kind of work as this person
ตอนโน๊ต 1 นาทีเราก็จะ list แค่ keyword
Who – Sister , kind , close
What – shop, cloths, import
Why – income, family, study
would like to do? – vitamin, online, free time
เล้วก็ตอบไล่ไปแต่ละ keyword
-ฝึกตอบเป็นรูปแบบ
part 1 จะตอบคำถาม + ตัวอย่าง ให้เป็น Who/What/When/Where/Why แต่งเอาบ้างก็ได้
ตัวอย่าง what activity do you enjoy at weekend?
I love watching Netflix with my friends in my own apartment. I prefer comedies than drama but my friends enjoy action.
Part 2 เล่าให้ต่อเนื่อง ไม่วนเวียน ใช้ transition words บ้าง
Part 3 เราเอาตัวรอดด้วยการ ตอบแบบ 3 -5 ประโยค เริ่มจาก บางคนอาจจะคิดงี้ หรือบางคนอาจจะคิดงี้ แต่เราคิดแบบนี้ ถ้าข้อไหนพูดตัวอย่างได้ก็จะเล่า สรุปปิดท้ายซะหน่อย แล้วจำตัวอย่างไปซัก 3-4 รูปแบบ
จะออกความเห็นก็ In my view, I feel that, What I think is, I suppose, To be sure
จะให้เหตุผล I say this because, I mean, The reason I feel that why is
จะเล่าตัวอย่าง Case in point, As an illustration
สรุป To sum up, In essence
.
สำหรับใครที่กังวลเรื่อง แกรมม่าในการพูด อยากจะแชร์ว่าไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้นนะคะ ทักษะนี้เขาจะดู 4 อย่างคือ แกรมม่า ความหลากหลายของคำศัพท์ intonation แล้วก็ Fluency ค่ะ ถึงแกรมม่าเราไม่แม่น แต่ถ้าอีก 3 อย่างเราดี ก็สามารถดึงคะแนนขึ้นได้เลยนะคะ จากคะแนนจะเห็นว่าขึ้นมา 1.5 band ในเวลา 1 เดือน เพราะเราปรับ 3 อย่างหลังค่ะ จริงๆแล้วแกรมม่าต้องใช้เวลานานกว่ามากในการขึ้นจากระดับ intermediate ไปขั้นที่สูงขึ้น
***คำแนะนำคือ พูดไปเลย ก่อนสอบครั้งที่ 4 คือติดใจมากๆ สอบกับ IDP 2 ครั้งก็ได้ 5.0 ครั้งที่ 4 ก็ยังจะสอบ IDP เพราะสมัคร BC ไม่ทัน สุดท้ายครูแนะนำว่า ช่างหัวมัน พูดไปเลยค่ะ ^_^ ก็เลยพยายามพูดออกมา อย่างน้อยก็ยังได้คะแนนบ้าง ไม่พูดสิไม่ได้เลย
.
(มีต่อ)
[CR] Practical reviews : รีวิวเตรียมตัวสอบ IELTs ฉบับคนทำงาน
เราขออ้างอิงกระทู้นี้นะคะ เพราะการฝึกจนสอบผ่านมาได้ เราอ่านจากกระทู้นี้แล้วนำมาปรับใช้ค่ะ
https://pantip.com/topic/37335061
รีวิวแบ่งเป็น 4 ส่วนนะคะ สามารถข้ามไปอ่านการฝึกที่ข้อ 4 หรือ 5 ได้เลยนะคะ
1) พื้นฐานภาษาอังกฤษของตัวเอง และที่มาที่ไป
2) คะแนน IELTS ทั้งหมด 4 ครั้ง
3) การลงเรียน IELTS ที่ผ่านมาทั้งหมด
4) การฝึกทักษะต่างๆ ในส่วนของตัวเอง
5) คำแนะนำส่วนตัว
*****************************************************************************************************************************
1) พื้นฐานภาษาอังกฤษของตัวเอง และที่มาที่ไป
เราเป็นเด็กสายวิทย์ที่ไม่ได้ชอบภาษา สอบได้เกรดดี แต่ใช้งานจริงไม่ได้ สามารถทำข้อสอบแกรมมาได้ อ่านรู้เรื่อง แต่ฟัง เขียน พูด ไม่ได้เลย ถ้าประเมินเป็นคะแนนน่าจะ ไม่เกิน 5 เต็ม 10 เพราะเคยไปสัมภาษณ์ทุนแลกเปลี่ยนตอนมหาวิทยาลัย จำได้ว่าตอนสัมภาษณ์ภาษาอังกฤษ ฟังไม่ออก ตอบไม่ได้ ก่อนออกมาอาจารณ์ที่สัมภาษณ์สงสาร ก็ช่วยแนะนำวิธีพัฒนาภาษาให้ ตอนนั้นติดได้ Ranking อันดับ 2 เพราะคะแนนส่วนวิชาการดี สุดท้ายไม่ได้ไปเพราะเขามองว่าเราไม่ตรงสายงานที่ขอไปแลกเปลี่ยนด้วย
ตัดภาพมาตอนเรียนจบ ได้มีโอกาสพัฒนาการฟังและพูดมากขึ้นเพราะ ไปทำงานพาร์ทไทม์ที่มีลูกค้าต่างชาติเยอะ จำได้ว่าวันแรกๆ ที่ไป อยากไม่อยากอยู่รับลูกค้าเองเลย อยากขายแต่คนไทย พอต่างชาติเข้ามาอยากมุดโต๊ะหนี แต่ทำไม่ได้ สุดท้ายการพูดและการฟังดีขึ้นมากในระยะเวลา เกือบๆปีที่อยู่ตรงนั้น
หลังจากนั้นจนถึงตอนนี้ ไม่ได้เจอคนต่างชาติเยอะแล้วก็ฝึกจากการดูหนัง หรือดูคลิปที่สนใจ แล้วก็ลงเรียนไอเอลสำหรับการสอบ
ปัจจุบันก็ทำงานประจำ 5-6 วันต่อสัปดาห์ แล้วก็มีธุรกิจส่วนตัว ที่จะดูแลนอกเวลางานด้วยค่ะ ^^
เราสอบไอเอลเพราะต้องการใช้ยื่นเรียนต่อโท ในสายวิทยาศาสตร์ ใช้คะแนน Overall 6.5 แต่ละแบรนด์ไม่ต่ำว่า 6.0
.
2) คะแนน IELTs ทั้งหมด 4 ครั้ง
ครั้งที่ 1 August 2016 (จำได้คร่าวๆ เพราะลองสอบครั้งแรก คะแนนไม่ได้ใช้) สอบที่ IDP
L5.5 R6.0 W5.5 S5.0 Overall 5.5
(หาผลสอบไม่เจอเเล้ว)
ครั้งที่ 2 10/Feb/2018 สอบที่ BC
L5.5 R6.0 W5.0 S6.0 Overall 5.5
L6.5 R7.0 W6.0 S5.0 Overall 6.0
L6.5 R6.0 W6.0 S6.5 สอบที่ IDP
3) การลงเรียน IELTS ที่ผ่านมาทั้งหมด
ขอนับเฉพาะการลงเรียนไอเอลนะคะ ตอนเรียนมหาลัยเราก็เรียน Writing ไปเรื่อยๆ เพื่อให้มีอะไรทำวันหยุด แต่ไม่ใช่สำหรับไอเอล
3.1) เรียนสถาบัน
อันนี้เราเรียนแบบคอร์ส unlimited ที่มีการคอร์สสอนไอเอลด้วย เรียนช่วงต้นปี 2016 เพราะว่าใกล้ที่ทำงาน ตอนนั้นเริ่มคิดเรื่องเรียนต่อแล้ว ก็เลยลงเรียนแถวๆที่ทำงาน ก็มีทั้งคลาสที่สอน General English และไอเอล ตอนนั้นฝึกน้อยและจับวิธีการคิดอะไรไม่ได้ และพื้นฐานเรายังไม่ดี พอเรียนจบไปสอบครั้งแรก ก็ได้คะแนนอย่างที่บอก และเราย้ายที่ทำงานใหม่ตอนปลายปี จึงพับโครงการเรียนต่อไปก่อน 1 ปี เท่าที่สังเกตเด็กคนอื่นๆในคลาส (ส่วนใหญ่เป็นเด็กเรียนมหาลัย) ก็สอบผ่านในครั้งแรกที่ต้องการกัน เราเลยคิดว่าถ้าพื้นฐานดี มาเรียนน่าจะเข้าใจเร็วและสอบได้เลยค่ะ
3.2) เรียนคอร์สออนไลน์กับครูอเมริกัน
คอร์สนี้เริ่มเรียนตอนปลายปี 2016 รู้จักเพราะฟัง podcast ของเขาแล้วชอบ เราชอบคอร์สนี้มาก เพราะสอนการพัฒนา General English และเทคนิคไอเอลดีมาก แต่ เราก็เรียนแบบไม่ค่อยได้ฝึกฝนอีก พอต้นปี 2018 ถึงไปสอบแบบหลุดๆ คะแนนก็ยังไม่ผ่าน ตอนนั้นเข้าใจเลยว่า เทคนิคดี แต่ไม่ฝึกจนแม่นก็จบ
ลองไปดูได้นะคะ https://www.allearsenglish.com/ieltsonline/ ฟังส่วนฟรียังได้ประโยชน์เยอะเลย
3.3) เรียน Private เฉพาะ Writing
เกริ่นก่อนว่า-พอคะแนนต้นปี 2018 ออก เราก็ยังสอบไม่ผ่าน และที่เศร้ากว่านั้นคือ เราโดนปฏิเสธให้เข้ารอบสุดท้ายของคอร์สป.โทที่อยากเรียนมาก ทั้งๆที่สอบรอบวิชาการผ่านแล้ว เพราะคะแนนไอเอลไม่ผ่านเกณฑ์ตามกำหนดในวันที่ 28Feb2018 ตอนนั้นรู้สึกเศร้ามาก พอดีมีพี่แนะนำให้อ่านกระทู้นี้ https://pantip.com/topic/37335061 เราก็เลยลองปรึกษาพี่เจ้าของกระทู้ ก็ได้คำแนะนำมา เลยตัดสินใจลงเรียน private พอทดลองเรียนแล้วรู้สึกว่าช่วยแก้ปัญหาได้ตรงจุด ก็เลยเรียนต่อเนื่องอาทิตย์ละครั้ง และ Set time line การยื่นสมัครปีถัดไปกับครูที่สอน ซึ่งสุดท้ายก็สอบผ่านตามคะแนนที่ตั้งใจไว้ค่ะ
ตรงนี้ที่ตัดสินใจเรียนอีกอย่างคือ เราคิดว่าถ้ายังทำวิธีการเดิมๆ ผลลัพธ์ก็น่าจะไม่ต่างจากเดิม เราเลยลองวิธีใหม่สำหรับเราค่ะ
.
4) การฝึกทักษะต่างๆ ในส่วนของตัวเอง
ปรับมาจากที่อ่านรีวิวในพันธุ์ทิพย์ ครูที่สอน Writing แนะนำมา และวิธีการที่เรียนมาจากคอร์ส online ค่ะ
Listening
- แนะนำแอพ Blinkist ค่ะ เป็น app ที่ดีมากๆ เป็นแอพที่สรุปหนังสือ non-fiction มาไว้ในเวลา 15 นาที สามารถฟังได้และอ่านสคริป ไปด้วยได้ เราซื้อตัวเต็มไว้ ตอนนั้นใช้ส่วนลดเหลือ 1,8xx เพราะเหมือนมือถือเราเปิดฟรีวันละเล่มไม่ได้ -*- แต่คุ้มค่ามากๆ เราจะฝึกด้วยการฟังหนังสือวันละ 1 เล่ม จะฟังแบบให้เข้าใจว่าเขาพูดเรื่องอะไร ฟังจังหวะการอ่าน การเว้นประโยคของเข้า แรกๆ อาจจะฟังไม่ทัน เพราะมันเร็วมาก พอนานๆไปเราฟังทันมากขึ้น เราทดลองฟังก่อนฝึกทำข้อสอบ Listening ปรากฏว่า ฟังออกมาขึ้น ความเร็วของไอเอลช้าไปเลย จากประสบการณ์ถ้าฟังแอพนี้ทัน จะฟัง part 4 ในไอเอลง่ายมากขึ้น เพราะเป็นเหมือนเสียงคน 1 คน บรรยายไปเรื่อยๆเหมือนกัน ***แนะนำควรมีติดเครื่องไว้จริงๆ
***Trick วันสอบจริง 2 รอบหลัง เราเปิดฟัง 2 เล่ม ประมาณ 30 นาที ระหว่างเดินทางไปสอบ ช่วยจูนหูกับสมองได้ดีจริงๆค่ะ
- Tedtalk อันนี้ชอบฟังกรอกหูตอนนั่งทำงานเอกสารหรือตอนเดินทาง กรอกหูคือไม่ฟังเอาเนื้อหาใดๆเลยค่ะ ให้หูมันชินกับจังหวะการพูดภาษาอังกฤษแค่นั้นเอง ทำติดต่อกันเรื่อยๆ ช่วยได้เยอะเหมือนกัน
- ทำข้อสอบจริง จากเล่ม Cambridge แนะนำให้ทำ เรื่อยๆ ได้เลยนะคะ เราจะได้คุ้นเคยกับข้อสอบ และได้ฝึก Spelling ไปในตัว หลังจากทำข้อสอบเสร็จแล้ว เราจะมาเช็คกว่าตรงที่เราไม่ได้คือยังไง ผิดเพราะอะไร และไปอ่านสคริปดู 1 ครั้ง จากนั้นจะเอาเทปนั้นมาฟังระหว่างไปทำงาน วิธีฟัง จะฟังหาการแบ่งประโยค ฟังเป็นประโยค ตรงไหนถึงประโยคที่มี keyword ที่เราวงไว้ จะตั้งใจฟังประโยคนั้น ตรงไหนพูดเรื่อยๆ ไม่เกี่ยวกับตรงที่ต้องเติมคำตอบ เราก็จะปล่อยๆ ไม่ Focus ประโยคนั้นมาก พอฝึกจนเก่งขึ้น เราจะไม่ค่อยเหนื่อยกับการเพ่งสมาธิทุกประโยคค่ะ และรู้สึกว่าทำได้มากขึ้น
Reading
-อ่านบทความ World Economic forum ใน Facebook page วันละเรื่อง
-ฝึกทำข้อสอบจริง ฝึกเทคนิค Screen และหา Keyword ของแต่ละ paragraph หา Keyword ที่สัมพันธ์กับคำถาม พอทำเสร็จก็มาอ่านการและจดศัพท์จากเรื่องที่อ่าน 3-5 คำพอ เพราะมากกว่านี้เราจำไม่ไหว แล้วก็จดใส่การ์ดเล็กๆ ไว้ทวนระหว่างวัน ช่วงแรกฝึกทำข้อสอบอย่างเดียวได้ พอก่อนสอบอย่างน้อย 2 สัปดาห์ควรจับเวลา การบริหารเวลาสำคัญมากจริงๆ
Writing
- ฝึกเขียนเกินกว่าจะจินตนาการได้ (ยืมจากกระทู้ที่แนะนำมาใช้ ^^*) ต้องฝึกฝนสิ่งที่ถูกต้องเข้าไปมากๆจริงๆ อันนี้ตอนแรกก็เครียดมาก เพราะแบบจินตนาการยังไม่ออกเลยว่ามันมากขนาดไหน สุดท้ายแล้วก็ปรับให้เข้ากับตัวเรา และคะแนนที่เราต้องการค่ะ ควรมีคนที่มีความรู้ช่วย feedback ให้จริงๆ ส่วนตัวเองเคยตั้งเป้ากับครูไว้ว่าจะพยายามเขียนให้สัปหาห์ละ 8 ชิ้น แต่ความจริงคือได้แค่สัปดาห์ละ 1-2 ชิ้น ช่วงเดือนท้ายๆที่จะปิดปี ไม่ได้ส่งเลยด้วยซ้ำ ToT แต่อันนี้ อย่างน้อยเราต้องแม่นว่าข้อสอบแบบนี้ เราจะตอบโครงสร้างไหน มีรูปแบบประโยคแบบไหนที่เราจะใช้บ้าง ส่วนตัวจะสรุปลักษณะคำถาม เช่น Agree/Disagree, Discuss both view…blah….blah ใส่การ์ดเล็กๆ ติดตัวไปทุกที่ เวลารอรถเมล์ หรือระหว่างเดินทางก็จะเอาขึ้นมาทวนเร็วๆ อาศัยความถี่ให้จำขึ้นใจ
Speaking
- ครั้งที่ 3 คะแนน Speaking ยังน้อยก็ตามการฝึกเลย ก่อนสอบครั้งนี้ฝึกน้อยมากๆ และรู้สึกว่าตอบวนเวียน ใช้โครงสร้างการตอบที่ไม่ค่อยดีค่ะ ประกอบกับเราเป็นคนพูดเสียงโทนเดียว ไม่ค่อยมีอารมณ์ในการพูด เราก็เลยแก้ตามนี้
-ฝึกอ่านออกเสียงวันละ 10 นาที จากบทความหรือหนังสือภาษาอังกฤษ ตรงนี้ฝึกให้ตัวเองพูดต่อเนื่องและฝึกใส่จังหวะการพูด
-เอาข้อสอบจากหนังสือ Cambridge มาฝึกตอบค่ะ
-เรียน speaking online กับครูชาวอังกฤษ ครูสอนวิธี list idea ของ part 2 ดีมาก คือ พอได้คำถาม ตอนเวลาโน๊ต 1 นาที ให้ List keyword มา อย่างละ 3 คำ สำหรับเรามันดีตรง list idea ทัน และพูดไหลลื่น ไม่วนเวียนค่ะ
ตัวอย่าง
Describe someone you know who has started a business.
You should say
Who this person is
What work this person does
Why this person decided to start a business
And explain whether you would like to do the same kind of work as this person
ตอนโน๊ต 1 นาทีเราก็จะ list แค่ keyword
Who – Sister , kind , close
What – shop, cloths, import
Why – income, family, study
would like to do? – vitamin, online, free time
เล้วก็ตอบไล่ไปแต่ละ keyword
-ฝึกตอบเป็นรูปแบบ
part 1 จะตอบคำถาม + ตัวอย่าง ให้เป็น Who/What/When/Where/Why แต่งเอาบ้างก็ได้
ตัวอย่าง what activity do you enjoy at weekend?
I love watching Netflix with my friends in my own apartment. I prefer comedies than drama but my friends enjoy action.
Part 2 เล่าให้ต่อเนื่อง ไม่วนเวียน ใช้ transition words บ้าง
Part 3 เราเอาตัวรอดด้วยการ ตอบแบบ 3 -5 ประโยค เริ่มจาก บางคนอาจจะคิดงี้ หรือบางคนอาจจะคิดงี้ แต่เราคิดแบบนี้ ถ้าข้อไหนพูดตัวอย่างได้ก็จะเล่า สรุปปิดท้ายซะหน่อย แล้วจำตัวอย่างไปซัก 3-4 รูปแบบ
จะออกความเห็นก็ In my view, I feel that, What I think is, I suppose, To be sure
จะให้เหตุผล I say this because, I mean, The reason I feel that why is
จะเล่าตัวอย่าง Case in point, As an illustration
สรุป To sum up, In essence
.
สำหรับใครที่กังวลเรื่อง แกรมม่าในการพูด อยากจะแชร์ว่าไม่ต้องกังวลมากขนาดนั้นนะคะ ทักษะนี้เขาจะดู 4 อย่างคือ แกรมม่า ความหลากหลายของคำศัพท์ intonation แล้วก็ Fluency ค่ะ ถึงแกรมม่าเราไม่แม่น แต่ถ้าอีก 3 อย่างเราดี ก็สามารถดึงคะแนนขึ้นได้เลยนะคะ จากคะแนนจะเห็นว่าขึ้นมา 1.5 band ในเวลา 1 เดือน เพราะเราปรับ 3 อย่างหลังค่ะ จริงๆแล้วแกรมม่าต้องใช้เวลานานกว่ามากในการขึ้นจากระดับ intermediate ไปขั้นที่สูงขึ้น
***คำแนะนำคือ พูดไปเลย ก่อนสอบครั้งที่ 4 คือติดใจมากๆ สอบกับ IDP 2 ครั้งก็ได้ 5.0 ครั้งที่ 4 ก็ยังจะสอบ IDP เพราะสมัคร BC ไม่ทัน สุดท้ายครูแนะนำว่า ช่างหัวมัน พูดไปเลยค่ะ ^_^ ก็เลยพยายามพูดออกมา อย่างน้อยก็ยังได้คะแนนบ้าง ไม่พูดสิไม่ได้เลย
.
(มีต่อ)
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้