ดูตอนล่าสุดจบแล้วอดไม่ได้ที่จะตั้งกระทู้เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับการทำดี-ชั่ว
สปอย สำหรับคนที่อยากรอดูเอง สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดู หรือไม่ได้ดูและไม่คิดจะดู ขอเล่าให้ฟังเฉพาะจุดน่าสนใจของตอนนี้
ไมเคิล(หนึ่งในตัวละครหลักผู้เป็นเจ้าหน้าที่ของ bad place ที่กลับใจมาช่วยพวกนางเอก) ไปตรวจสอบมาว่า ในรอบ 500 ปี ไม่มีใครได้ไป good place (สวรรค์) เลย สงสัยว่าระบบมีปัญหา และได้พบปัญหาของระบบในที่สุด นั่นคือ ความซับซ้อนขึ้นของสังคมมนุษย์ ทำให้การทำดียากขึ้นกว่าสมัยก่อน ทุกการกระทำล้วนแฝงไปด้วยการทำบาปทั้งนั้น
ตัวอย่างในเรื่องคือ ซื้อดอกไม้ให้ยาย ได้รับแต้มบวก แต่ก็ได้แต้มลบมหาศาลจนผลรวมติดลบ เพราะดอกไม้ที่ซื้อมา ใช้ยาฆ่าแมลง กว่าจะจนส่งมาก็สร้างมลพิษให้โลก ซีอีโอบริษัทนี้ดันเลวอีกเอาเปรียบพนักงานหญิงหรือไรเนี่ยแหละ และอื่นๆอีกมากมาย ซื้อดอกไม้ดอกเดียวสนับสนุนความไม่ดี เป็นส่วนนึงของความไม่ดี เยอะแยะจนคะแนนติดลบ ด้วยตรรกะนี้ คนเราแต่ไปตลาดซื้อของ กินอาหาร ก็สนับสนุนการทำชั่วทั้งหลายแล้ว
เอาล่ะ เคสข้างต้นมันฟังดูเว่อวังอลังการมาก ในความเป็นจริงคิดขนาดนี้ถ้าไม่อยากไปนรกไม่ต้องทำอะไรพอดี
แต่ถ้ามองเคสที่ตีกรอบให้แคบเข้ามาหน่อย ด้วยตรรกะเดียวกันล่ะ เช่น ให้เงินขอทานเด็ก เป็นการสนับสนุนให้คนลักเด็กมาเป็นขอทาน อันนี้มีหลายคนที่แม้จะรู้ข่าว แต่ก็ไม่สนใจ ยังให้เงินเด็กอยู่ ด้วยเหตุผลว่า “สบายใจ” หรือถ้าไม่รู้ล่ะ ถ้าไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย ด้วยระบบการให้คะแนนแบบนี้ แสดงว่าสวรรค์คาดหวังให้ทุกคน “ศึกษา” ทุกอย่างก่อนทำอะไรก็ตาม แต่ถ้าศึกษานานไปคงไม่ได้ทำอะไรซักอย่าง แล้วคนที่ขี้เกียจไม่สนใจและ “ไม่ยอมศึกษา” อะไรซักอย่างเลยล่ะ แบบไหนคือการศึกษาแต่พอดี?
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่วิธีการตัดสินสุดท้ายของซีรีย์ เพราะดูมาขนาดนี้จับไต๋ได้ว่า ซีรีย์นี้สุดท้ายจะไม่ฟังธงผิดถูกชั่วดีให้เราอยู่แล้ว จะมีวิธียกหลายๆมุมมองออกมาแต่ไม่ตัดสิน และหนีไปแบบเนียนๆ
สิ่งที่เราสนใจคือ อะไรคือการศึกษาแต่พอดี? ฝรั่งตื่นตัวเรื่องพวกนี้มากกว่าเรามาก การศึกษา carbon footprint ของสินค้าที่ซื้อสำหรับคนไทยนอกจากจะเว่อร์แล้วยังฟังดูตลก แต่สำหรับฝรั่งนี่ก็ไม่ถือว่าเกินจินตนาการ คนมีการศึกษาที่สนใจเรื่อง environment จะพอหาความรู้คร่าวๆว่า สินค้าบางชนิดทำลายสิ่งแวดล้อมมากกว่าชนิดอื่น หรือสินค้าที่ราคาถูกมากๆจะถูกสงสัยว่ากระบวนการผลิตได้มาการกรองมลพิษบ้างหรือไม่ หรือไปใช้แรงงานเด็กที่ประเทศโลกที่สามรึเปล่า ซึ่งมันมีคนที่แคร์เรื่องพวกนี้จริงๆ (แต่ไม่มีทางเว่อร์เท่าในซีรีย์)
ในเมื่อมีคนแคร์เรื่องพวกนี้ แปลว่ามันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงที่จะศึกษา? แล้วคนที่ไม่ศึกษาล่ะ เอาเวลาไปทำอะไร หาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง หรือเอาเวลาไปหาความสุขให้ตัวเอง? จึงถือว่าเป็นส่วนนึงของความเลวร้าย สมควรโดนตัดคะแนนความดี? แต่ถ้าคนภาระเยอะมาก จนจริงๆ ทำงานหามรุ่งหามค่ำเลี้ยงดูครอบครัวล่ะ คนพวกนี้อาจจะบอกว่าแค่เวลาพักยังไม่มี ถ้างั้นไม่สมควรโดนตัดคะแนน? (อันนี้ไอเดียเราเองที่ตั้งคำถามนี้ ในซีรีย์ทุกคนจะมาตรฐานเดียวกันหมด - มาจากที่คนพุทธพูดต่อๆกันว่า มี 10 ทำบุญ 9 ได้บุญมากกว่ามี 1000 ทำบุญร้อย) ถ้าคิดแบบนี้แปลว่าคนที่ยิ่งมีต้นทุนชีวิตที่ดี ควรแบกภาระรับผิดชอบสังคมที่มากกว่า เหมือนเสียภาษี หาได้มากเสียมาก?
แต่ถ้าแต่ละคนได้รับมาตรฐานไม่เท่ากันแบบนี้ แล้วถ้าพวก sociopath ที่เกิดมาสมองมีปัญหา คือไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วจากการสแกนสมอง) แถมไม่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูที่ดี จนกลายเป็นฆาตกรโรคจิตล่ะ? มันยิ่งซับซ้อนไปอีกถ้าจะให้มาตรฐานแต่ละคนไม่เท่ากัน หรือควรให้มาตรฐานเดียวไปเลย ถือว่าที่เกิดมาไม่เท่ากันแต่แรกเพราะกรรมเก่า (แนวพุทธ) อยากทันคนอื่นเขาต้องพยายามมากกว่าสิ (อันนี้คิดเอง ไม่รู้พุทธพูดแบบนี้รึเปล่า...)
ประเด็นที่ซีรีย์นี้ยกขึ้นมา มันน่าสนใจมากๆ เลยแท็กห้องปรัชญา/ห้องศาสนาด้วย เพราะว่าด้วยการทำดี-ชั่ว
The Good Place SS3 EP11 (Spoil) เฉลยแล้ว ตัดสินการทำดีชั่ว ส่งคนไปนรกสวรรค์ด้วยระบบอะไร
สปอย สำหรับคนที่อยากรอดูเอง สำหรับคนที่ยังไม่ได้ดู หรือไม่ได้ดูและไม่คิดจะดู ขอเล่าให้ฟังเฉพาะจุดน่าสนใจของตอนนี้
ไมเคิล(หนึ่งในตัวละครหลักผู้เป็นเจ้าหน้าที่ของ bad place ที่กลับใจมาช่วยพวกนางเอก) ไปตรวจสอบมาว่า ในรอบ 500 ปี ไม่มีใครได้ไป good place (สวรรค์) เลย สงสัยว่าระบบมีปัญหา และได้พบปัญหาของระบบในที่สุด นั่นคือ ความซับซ้อนขึ้นของสังคมมนุษย์ ทำให้การทำดียากขึ้นกว่าสมัยก่อน ทุกการกระทำล้วนแฝงไปด้วยการทำบาปทั้งนั้น
ตัวอย่างในเรื่องคือ ซื้อดอกไม้ให้ยาย ได้รับแต้มบวก แต่ก็ได้แต้มลบมหาศาลจนผลรวมติดลบ เพราะดอกไม้ที่ซื้อมา ใช้ยาฆ่าแมลง กว่าจะจนส่งมาก็สร้างมลพิษให้โลก ซีอีโอบริษัทนี้ดันเลวอีกเอาเปรียบพนักงานหญิงหรือไรเนี่ยแหละ และอื่นๆอีกมากมาย ซื้อดอกไม้ดอกเดียวสนับสนุนความไม่ดี เป็นส่วนนึงของความไม่ดี เยอะแยะจนคะแนนติดลบ ด้วยตรรกะนี้ คนเราแต่ไปตลาดซื้อของ กินอาหาร ก็สนับสนุนการทำชั่วทั้งหลายแล้ว
เอาล่ะ เคสข้างต้นมันฟังดูเว่อวังอลังการมาก ในความเป็นจริงคิดขนาดนี้ถ้าไม่อยากไปนรกไม่ต้องทำอะไรพอดี
แต่ถ้ามองเคสที่ตีกรอบให้แคบเข้ามาหน่อย ด้วยตรรกะเดียวกันล่ะ เช่น ให้เงินขอทานเด็ก เป็นการสนับสนุนให้คนลักเด็กมาเป็นขอทาน อันนี้มีหลายคนที่แม้จะรู้ข่าว แต่ก็ไม่สนใจ ยังให้เงินเด็กอยู่ ด้วยเหตุผลว่า “สบายใจ” หรือถ้าไม่รู้ล่ะ ถ้าไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย ด้วยระบบการให้คะแนนแบบนี้ แสดงว่าสวรรค์คาดหวังให้ทุกคน “ศึกษา” ทุกอย่างก่อนทำอะไรก็ตาม แต่ถ้าศึกษานานไปคงไม่ได้ทำอะไรซักอย่าง แล้วคนที่ขี้เกียจไม่สนใจและ “ไม่ยอมศึกษา” อะไรซักอย่างเลยล่ะ แบบไหนคือการศึกษาแต่พอดี?
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่วิธีการตัดสินสุดท้ายของซีรีย์ เพราะดูมาขนาดนี้จับไต๋ได้ว่า ซีรีย์นี้สุดท้ายจะไม่ฟังธงผิดถูกชั่วดีให้เราอยู่แล้ว จะมีวิธียกหลายๆมุมมองออกมาแต่ไม่ตัดสิน และหนีไปแบบเนียนๆ
สิ่งที่เราสนใจคือ อะไรคือการศึกษาแต่พอดี? ฝรั่งตื่นตัวเรื่องพวกนี้มากกว่าเรามาก การศึกษา carbon footprint ของสินค้าที่ซื้อสำหรับคนไทยนอกจากจะเว่อร์แล้วยังฟังดูตลก แต่สำหรับฝรั่งนี่ก็ไม่ถือว่าเกินจินตนาการ คนมีการศึกษาที่สนใจเรื่อง environment จะพอหาความรู้คร่าวๆว่า สินค้าบางชนิดทำลายสิ่งแวดล้อมมากกว่าชนิดอื่น หรือสินค้าที่ราคาถูกมากๆจะถูกสงสัยว่ากระบวนการผลิตได้มาการกรองมลพิษบ้างหรือไม่ หรือไปใช้แรงงานเด็กที่ประเทศโลกที่สามรึเปล่า ซึ่งมันมีคนที่แคร์เรื่องพวกนี้จริงๆ (แต่ไม่มีทางเว่อร์เท่าในซีรีย์)
ในเมื่อมีคนแคร์เรื่องพวกนี้ แปลว่ามันไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรงที่จะศึกษา? แล้วคนที่ไม่ศึกษาล่ะ เอาเวลาไปทำอะไร หาเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง หรือเอาเวลาไปหาความสุขให้ตัวเอง? จึงถือว่าเป็นส่วนนึงของความเลวร้าย สมควรโดนตัดคะแนนความดี? แต่ถ้าคนภาระเยอะมาก จนจริงๆ ทำงานหามรุ่งหามค่ำเลี้ยงดูครอบครัวล่ะ คนพวกนี้อาจจะบอกว่าแค่เวลาพักยังไม่มี ถ้างั้นไม่สมควรโดนตัดคะแนน? (อันนี้ไอเดียเราเองที่ตั้งคำถามนี้ ในซีรีย์ทุกคนจะมาตรฐานเดียวกันหมด - มาจากที่คนพุทธพูดต่อๆกันว่า มี 10 ทำบุญ 9 ได้บุญมากกว่ามี 1000 ทำบุญร้อย) ถ้าคิดแบบนี้แปลว่าคนที่ยิ่งมีต้นทุนชีวิตที่ดี ควรแบกภาระรับผิดชอบสังคมที่มากกว่า เหมือนเสียภาษี หาได้มากเสียมาก?
แต่ถ้าแต่ละคนได้รับมาตรฐานไม่เท่ากันแบบนี้ แล้วถ้าพวก sociopath ที่เกิดมาสมองมีปัญหา คือไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น (มีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วจากการสแกนสมอง) แถมไม่ได้รับการอบรมเลี้ยงดูที่ดี จนกลายเป็นฆาตกรโรคจิตล่ะ? มันยิ่งซับซ้อนไปอีกถ้าจะให้มาตรฐานแต่ละคนไม่เท่ากัน หรือควรให้มาตรฐานเดียวไปเลย ถือว่าที่เกิดมาไม่เท่ากันแต่แรกเพราะกรรมเก่า (แนวพุทธ) อยากทันคนอื่นเขาต้องพยายามมากกว่าสิ (อันนี้คิดเอง ไม่รู้พุทธพูดแบบนี้รึเปล่า...)
ประเด็นที่ซีรีย์นี้ยกขึ้นมา มันน่าสนใจมากๆ เลยแท็กห้องปรัชญา/ห้องศาสนาด้วย เพราะว่าด้วยการทำดี-ชั่ว