เมื่อผมได้เห็นการรณรงค์ต่อต้านการโกง ทำให้ผมมีความคิดอย่างนี้

หลายวันก่อนเห็นในทีวี มีการรณรงค์เกี่ยวกับเรื่องโตไปไม่โกง คล้ายกับให้ช่วยกันสอดส่องดูว่ามีการโกงหรือไม่ ซึ่งหลาย ๆ ครั้งที่การโกงนั้นมุ่งเน้นไปในเรื่องของเงิน แต่สิ่งที่ผมคิดคือ ผลลัพธ์ที่ได้จะกลายเป็นว่า เราสอนให้เด็ก ๆ คอยจ้องจับผิด ซึ่งผมไม่คิดว่านี่เป็นเรื่องดี

โลกในปัจจุบันพัฒนาไปด้วยการร่วมมือกัน ทั้งระหว่างบุคคล ระหว่างองค์กร หรือระหว่างประเทศ ดังจะเห็นว่าประเทศไหนก็ตามที่มีบทบาทในโลกมาก ติดต่อกับหลาย ๆ ประเทศมาก มักจะเป็นประเทศที่เจริญ ส่วนประเทศไหนก็ตามที่ปิดประเทศ ไม่คบค้าสมาคมกับประเทศไหน ไม่เป็นมิตร มักจะเป็นประเทศที่ล้าหลัง ดังนั้นโลกของเราจึงต้องการความร่วมมือกันมากที่สุด หันหน้าเข้าหากันมากที่สุด เพื่อให้มีการพัฒนาต่อไปได้ แต่การปลูกฝังให้มีการจับผิดกันตั้งแต่เด็ก ๆ ก็เหมือนกับการปิดกั้น ขวางกั้นการร่วมมือระหว่างบุคคลตั้งแต่เด็ก สอนให้หวาดระแวงกัน หวาดระแวงคนอื่น สอนให้เป็นคนกลัวว่าจะถูกเอาเปรียบ ถูกโกง มันการปลูกฝังในแง่ลบ สิ่งที่ควรทำคือควรใช้กลยุทธในแง่บวกในการปลูกฝังทัศนคติแก่เด็ก

สำหรับการปลูกฝังไม่ให้มีการโกงนั้น ควรเริ่มจากอะไรที่เด็ก ๆ เข้าถึงง่าย เป็นชุดความคิดเรียบง่าย เป็นอะไรที่ทรงพลัง จับต้องได้ และฝังเข้าไปในส่วนที่ลึกที่สุด ให้เป็นพื้นฐานของทัศนคติอื่น ๆ ให้เป็นรากฐานของความคิดอื่น ๆ ทุกคนพอจะนึกออกไหมครับ สิ่งที่เด็กจับต้องได้ สิ่งที่เด็กเข้าใจได้ เรียบง่ายแต่ทรงพลัง

เคยมีคำกล่าวที่ว่า คนที่ขโมยหม้อดินเผาได้ ก็ขโมยหม้อทองคำได้ หม้อดินเผาก็คือหม้อของเด็ก ๆ นั่นก็คือการบ้านต่าง ๆ เช่น เรียงความ โจทย์เลข รายงาน ฯลฯ ตั้งแต่ประถม ไปถึงมัธยม การลอกการบ้านกลายเป็นอะไรที่ดูปกติไปแล้วสำหรับบางคน การค้นหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตแล้วก๊อปปี้ทั้งหมดมาทำเป็นรูปเล่น เขียนคำนำ สารบัญ หน้าปก ใส่ชื่อตัวเอง รายงานเรื่อง... โดย... เสนอ... รายงานเล่มนี้เป็นส่วนหนึ่งของบลา ๆ ๆ สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องปกติในโรงเรียนตั้งแต่เมื่อไหร่ ทุกคนตระหนักไหมว่า นี่คือการขโมยผลงานของความอื่น ขโมยความคิดของคนอื่น ถ้าว่ากันตามทัศนคติที่ว่าเงินทองคือของมายา ข้าวปลาคือของจริง การขโมยความคิดนั้นยิ่งกว่าการขโมยข้าวปลา เพราะความคิดนั้นเป็นสิ่งที่ระบุได้ชัดเจนว่า อันนั้นเป็นของใคร อันนี้เป็นของใคร ดังนั้น การขโมยผลงานเหล่านี้ แย่ยิ่งกว่าการขโมยเงินเสียอีก

ผู้ใหญ่ หรือครูหลาย ๆ คนพยายามสอนวินัยเด็กด้วยการเข้มงวดเรื่องทรงผม การแต่งกาย ซึ่งผมเห็นด้วยว่าควรสอนให้รู้จักเรื่องความสำคัญของกฎระเบียบตั้งแต่เล็ก ๆ แต่กฎระเบียบไม่ได้สำคัญกว่าความถูกต้อง เราเน้นเรื่องพวกนี้เกินไป จะดีกว่าไหมแทนที่จะมาจับผิดว่าใครผมสั้นผมยาว เกินติ่งหู เกินกี่เซ็นต์ ๆ เปลี่ยนเป็นมาจับผิดว่า เธอเขียนรายงานฉบับนี้ขึ้นมาเองหรือเปล่า เธอได้อ้างอิงคำพูดของใครมา เธอรู้ไหมว่าคำขวัญที่ทรงพลังนั้นเป็นของใคร เธอรู้ไหมว่านี้ทฤษดีของใคร เธอเอามาจากหนังสือเล่มไหน เอามาจากเว็บไหน ไหนมาคุยกันหน่อย เธอมีความยังไงกับข้อความที่เธออ่านจากในเว็บไซต์ ฯลฯ

ความจริงแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องพื้น ๆ นี่คือรากฐานของการพัฒนาประเทศ ประเทศไหนก็ตามที่พัฒนาองค์ความรู้ของตัวเองขึ้นมาได้ ก็พัฒนาเทคโนโลยีของตนเองขึ้นมาได้ หากประเทศไหนพัฒนาเทคโนโลยีของตัวเองขึ้นมาได้ คนในชาติก็มีความเป็นอยู่ที่สุขสบายขึ้นมาได้ แล้วที่เรียกว่าองค์ความรู้นี้ มันพัฒนาขึ้นมาได้ยังไง ความรู้จะพัฒนาขึ้นมาได้ก็ด้วยการสั่งสมมา การพัฒนามา จากความรู้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า สิ่งใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้น ก็เป็นการต่อยอดจากความรู้เก่า ๆ หรือถ้าไม่ต่อยอด ก็เป็นการเด็ดยอดเก่าทิ้ง ให้มียอดใหม่ ๆ ขึ้นมาแทน แต่มันก็ต้องมียอดเก่า ก่อนที่จะมียอดใหม่ เหมือนต้นไม้ที่ยอดกลายเป็นลำต้น แตกกิ่งก้านสาขา แผ่ยอดใหม่ ๆ ขยายร่มเงาออกไป ความรู้ก็เป็นเช่นนั้น

การที่เด็ก ๆ ไม่รู้จักการอ้างอิงความรู้ ไม่รู้จักความคิดของคนนั้นคนนี้ รู้แต่จักวิธีใช้คีย์เวิร์ด ค้นหาในกูเกิ้ล ไม่สนที่มาที่ไปของความรู้ จะทำให้เกิดความรู้ใหม่ ๆ ได้ยาก เปรียบก็เหมือนยอดมะพร้าวที่ด้วนแล้ว ก็ไม่แตกกิ่ง หรืออาจจะเปรียบตาลยอดด้วน เมื่อเราไม่ปลูกฝังให้เด็ก ๆ เห็นคุณค่าความเป็นเจ้าของความคิดดี ๆ ความรู้ดี ๆ บทความดี ๆ สอนแต่ให้กระทำกับความรู้เหมือนกับเศษใบไม้ เศษขยะบนพื้น ที่กวาด ๆ มารวมกันเป็นกอง ๆ แล้วเด็ก ๆ จะมีความคิดที่ว่า ฉันจะต้องคิดอะไรเจ๋ง ๆ ออกมาทำไม ฉันจะคิดอะไรที่คนอื่นไม่เคยคิดมาก่อนทำไม ฉันจะเขียนความคิดดี ๆ ของฉันทำไม สุดท้ายแล้ว คนอื่นก็ก๊อปปี้ของ ๆ ฉัน แล้วเอาไปใส่ในรายงาน เขียนชื่อเรื่อง เขียนชื่อตัวเองใหม่ ไม่เชื่อก็ดูตามเว็บต่าง ๆ สิ คีย์เวิร์ดเดียวกัน หัวข้อเดียวกัน ทำไมแต่ละเว็บมันมีแต่ข้อความเหมือน ๆ กันล่ะ เราต้องเทิดทูนความรู้ เทิดทูนความคิด คนที่คิดอะไร ๆ ได้ คือคนที่เจ๋งสุด ๆ

โปรดเถิด ทั้งผู้ใหญ่ และเด็ก ทุกคนในชาติ โปรดให้ความสำคัญกับความคิด โปรดให้ความสำคัญกับผลงานที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยการเอ่ยถึง กล่าวถึงชื่อของผู้สร้าง ๆ มันขึ้นมาเป็นอย่างน้อย หยุดเสียทีกับการคัดลอกแบบเปล่า ๆ ต้องขอย้ำอีกครั้งว่า ผู้ใดที่ขโมยหม้อดินได้ ก็ขโมยหม้อทองคำได้ ถ้าเราทำให้เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติในโรงเรียน เรื่องเหล่านี้ก็จะเป็นเรื่องปกติในสังคม และสังคมก็จะไม่พัฒนา โปรดจริงจังกับเรื่องนี้ จริงจังให้เหมือนกับตอนที่ท่านให้นักเรียนมาต่อแถวกัน แล้วใช้กรรไกรถากผมบนศีรษะของนักเรียนออก จริงจังให้เหมือนกับตอนที่นักเรียนมาสายแล้วท่านใช้ไม้เรียวฟาด หรือจริงจังให้เหมือนกับตอนที่นักเรียนไม่ทำการบ้านมาส่ง แล้วท่านหักคะแนนพฤติกรรม ขอได้โปรดจริงจังกับการโกงของตัวเด็กเอง แต่อย่าไปจริงจังมากกับการให้เด็ก ๆ ไปจับผิดใคร ๆ ว่าเขาโกงหรือเปล่า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่