[หนังโรงเรื่องที่ 252] Green Book: ละมุนและอบอุ่นเหมือนได้จิบลาเต้ร้อนๆ
คะแนนความชอบ : A+++++ (จากสเกล D-A)
(Peter Farrelly, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
"Green Book หรือ สมุดเล่มเขียว คือ 'คู่มือการเดินทางระยะไกลอย่างปลอดภัยสำหรับนิโกร' เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ที่มีรายชื่อที่พักและสถานประกอบการต่างๆ ที่ยินดีให้บริการคนดำ ในยุคที่การเหยียดผิวร้ายแรงที่สุดโดยเฉพาะในตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา"
.
.
Green Book เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ "โทนี่ วาลเลลองก้า" (Viggo Mortensen) ชายวัยกลางคนเชื้อสายอิตาเลียนที่กำลังร้อนเงินจนมารับงานโชเฟอร์ไปส่งมือเปียโนอัจฉริยะผิวสีอย่าง "ด.ร. ดอน เชอร์ลีย์" (Mahershala Ali) ให้ทำทัวร์คอนเสิร์ตภาคใต้ให้ลุล่วง
.
รักการถ่ายทอดอารมณ์ของหนังเรื่องนี้มากกกกกกกก หนังสามารถพาเราไปสัมผัสถึงความสัมพันธ์ของผู้ชายสองคนบนท้องถนนอันแสนยาวไกลได้อย่างไร้ที่ติ
ความสวยงามของหนังคือ "ความแตกต่าง" ของตัวละครหลักทั้งสองตัว ที่มันต่างกันสุดขั้วราวสีขาวกับดำ (no pun intended) แต่ในความแตกต่างกันนั้นมันก็มีจุดร่วมบางอย่างที่กลมกล่อมและน่าจดจำอย่างที่สุด
.
"คุณไม่เคยกินไก่ทอดมาก่อนเหรอ? พวกคุณชอบกินมันนี่"
"ถ้าผมดำไม่พอ ขาวไม่พอ งั้นช่วยบอกผมทีสิ โทนี่ ผมเป็นตัวอะไรกันแน่"
โทนี่ "ลิป" วาลเลลองก้า คือตัวแทนของค้อน -- เขาใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง ชอบใช้กำลัง พูดจาไม่น่าฟัง เชื่อถือไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนมีคุณธรรมและรักครอบครัวตัวเองมากๆ ด้วย
ดอน เชอร์ลีย์ คือตัวแทนของกระดาษ -- นุ่มนวล มีการศึกษา แตกฉานในศิลปะ รสนิยมสูงส่ง พูดจาภาษาดอกไม้เป็นนิจ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีความแข็งกร้าวในจุดยืนของตัวเองเช่นกัน
จุดร่วมของสองคนนี้คือกรรไกร หรือ "ความเฉียบคม" แม้จะมีความแตกต่างมากมาย แต่ทั้งคู่ก็หนักแน่นในจุดยืน มีความเชื่อในความยุติธรรมและสิทธิความเป็นมนุษย์ และหากมีใครมาขวางความเชื่อของพวกเขา ทั้งสองก็พร้อมที่จะเข้าปะทะผู้นั้นอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ
.
การทัวร์คอนเสิร์ตลงภาคใต้สุดของด.ร. เชอร์ลีย์ก็ยิ่งทำให้เราเห็นความน่าเศร้าของค่านิยมเหยียดผิวที่เกิดขึ้นจริงในยุคหนึ่งของอเมริกา และตัวเขาเองก็เหมือนเป็นเหยื่อที่ติดอยู่ตรงกลางทั้งสองวรรณะ
คือแม้เขาจะมีพรสวรรค์ในการเล่นดนตรีให้ชนชั้นสูงผิวขาวฟังได้ แต่พอลงจากเวทีเขาก็เป็นเพียงคนดำต่ำต้อยอีกคนหนึ่งก็เท่านั้น
และในทางกลับกัน ฐานะที่สูงศักดิ์ของเขาก็ทำให้ตนไม่สามารถ belong กับคนผิวสีเดียวกันได้
เขาไม่ใช่คนขาว และเข้ากับคนดำไม่ได้ แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ?
.
ผมคิดว่าการดูหนังเรื่องนี้คือการหาคำตอบให้คำถามนั้นนะ และในการเดินทางอันแสนยาวไกลมันก็มีความอบอุ่นหัวใจรอให้สัมผัสอยู่
ตัวเนื้อเรื่องอาจจะไม่ได้มีอะไรใหญ่โตตื่นตาก็จริง แต่มันก็สวยงามและโดดเด่น การแสดงของดารานำทั้งสองคนก็ไร้ที่ติ จังหวะจะโคนในการเล่าเรื่องก็ยอดเยี่ยม หาจุดที่อยากบ่นไม่ได้จริงๆ แทบจะเอาออสการ์ใส่พานมามอบให้แล้วมั้ง
.
.
ที่น่าเสียดายคือกับหนังดีๆ ระดับนี้ กลับหาโรงฉายยากมากกกก ยิ่งโรงชานเมืองยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เชื่อผมเถอะ ถ้าใครมีโอกาสก็รีบไปดูซะ แล้วคุณจะมาขอบใจผมทีหลัง เอาหัวเป็นประกันเลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ฝากสนับสนุนเพจ "ตั๋วหนังมันแพง" https://www.facebook.com/expensivemovie/ ด้วยครับ
[หนังโรงเรื่องที่ 252] Green Book: ละมุนและอบอุ่นเหมือนได้จิบลาเต้ร้อนๆ by ตั๋วหนังมันแพง
คะแนนความชอบ : A+++++ (จากสเกล D-A)
(Peter Farrelly, 2018)
by ตั๋วหนังมันแพง
"Green Book หรือ สมุดเล่มเขียว คือ 'คู่มือการเดินทางระยะไกลอย่างปลอดภัยสำหรับนิโกร' เป็นหนังสือเล่มเล็กๆ ที่มีรายชื่อที่พักและสถานประกอบการต่างๆ ที่ยินดีให้บริการคนดำ ในยุคที่การเหยียดผิวร้ายแรงที่สุดโดยเฉพาะในตอนใต้ของสหรัฐอเมริกา"
.
Green Book เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ "โทนี่ วาลเลลองก้า" (Viggo Mortensen) ชายวัยกลางคนเชื้อสายอิตาเลียนที่กำลังร้อนเงินจนมารับงานโชเฟอร์ไปส่งมือเปียโนอัจฉริยะผิวสีอย่าง "ด.ร. ดอน เชอร์ลีย์" (Mahershala Ali) ให้ทำทัวร์คอนเสิร์ตภาคใต้ให้ลุล่วง
รักการถ่ายทอดอารมณ์ของหนังเรื่องนี้มากกกกกกกก หนังสามารถพาเราไปสัมผัสถึงความสัมพันธ์ของผู้ชายสองคนบนท้องถนนอันแสนยาวไกลได้อย่างไร้ที่ติ
ความสวยงามของหนังคือ "ความแตกต่าง" ของตัวละครหลักทั้งสองตัว ที่มันต่างกันสุดขั้วราวสีขาวกับดำ (no pun intended) แต่ในความแตกต่างกันนั้นมันก็มีจุดร่วมบางอย่างที่กลมกล่อมและน่าจดจำอย่างที่สุด
"ถ้าผมดำไม่พอ ขาวไม่พอ งั้นช่วยบอกผมทีสิ โทนี่ ผมเป็นตัวอะไรกันแน่"
โทนี่ "ลิป" วาลเลลองก้า คือตัวแทนของค้อน -- เขาใช้ชีวิตสุดเหวี่ยง ชอบใช้กำลัง พูดจาไม่น่าฟัง เชื่อถือไม่ได้ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็เป็นคนมีคุณธรรมและรักครอบครัวตัวเองมากๆ ด้วย
ดอน เชอร์ลีย์ คือตัวแทนของกระดาษ -- นุ่มนวล มีการศึกษา แตกฉานในศิลปะ รสนิยมสูงส่ง พูดจาภาษาดอกไม้เป็นนิจ แต่ในขณะเดียวกันเขาก็มีความแข็งกร้าวในจุดยืนของตัวเองเช่นกัน
จุดร่วมของสองคนนี้คือกรรไกร หรือ "ความเฉียบคม" แม้จะมีความแตกต่างมากมาย แต่ทั้งคู่ก็หนักแน่นในจุดยืน มีความเชื่อในความยุติธรรมและสิทธิความเป็นมนุษย์ และหากมีใครมาขวางความเชื่อของพวกเขา ทั้งสองก็พร้อมที่จะเข้าปะทะผู้นั้นอย่างไม่เกรงกลัวใดๆ
การทัวร์คอนเสิร์ตลงภาคใต้สุดของด.ร. เชอร์ลีย์ก็ยิ่งทำให้เราเห็นความน่าเศร้าของค่านิยมเหยียดผิวที่เกิดขึ้นจริงในยุคหนึ่งของอเมริกา และตัวเขาเองก็เหมือนเป็นเหยื่อที่ติดอยู่ตรงกลางทั้งสองวรรณะ
คือแม้เขาจะมีพรสวรรค์ในการเล่นดนตรีให้ชนชั้นสูงผิวขาวฟังได้ แต่พอลงจากเวทีเขาก็เป็นเพียงคนดำต่ำต้อยอีกคนหนึ่งก็เท่านั้น
และในทางกลับกัน ฐานะที่สูงศักดิ์ของเขาก็ทำให้ตนไม่สามารถ belong กับคนผิวสีเดียวกันได้
เขาไม่ใช่คนขาว และเข้ากับคนดำไม่ได้ แล้วเขาเป็นใครกันล่ะ?
ผมคิดว่าการดูหนังเรื่องนี้คือการหาคำตอบให้คำถามนั้นนะ และในการเดินทางอันแสนยาวไกลมันก็มีความอบอุ่นหัวใจรอให้สัมผัสอยู่
ตัวเนื้อเรื่องอาจจะไม่ได้มีอะไรใหญ่โตตื่นตาก็จริง แต่มันก็สวยงามและโดดเด่น การแสดงของดารานำทั้งสองคนก็ไร้ที่ติ จังหวะจะโคนในการเล่าเรื่องก็ยอดเยี่ยม หาจุดที่อยากบ่นไม่ได้จริงๆ แทบจะเอาออสการ์ใส่พานมามอบให้แล้วมั้ง
.
ที่น่าเสียดายคือกับหนังดีๆ ระดับนี้ กลับหาโรงฉายยากมากกกก ยิ่งโรงชานเมืองยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย เชื่อผมเถอะ ถ้าใครมีโอกาสก็รีบไปดูซะ แล้วคุณจะมาขอบใจผมทีหลัง เอาหัวเป็นประกันเลย
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้