ขอกราบสวัสดีปีใหม่พ่อแม่พี่น้องชาว Pantip ทุกท่าน วันนี้ผมจะมาแกะกล่องรีวิวเจ้า Xiaomi Mi MIX 3 ให้ได้ชมกัน ว่ามือถือเรือธงตัวใหม่ล่าสุดจากทาง Xiaomi นั้นจะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ตัวนี้มาพร้อมจุดเด่นในเรื่องกล้องที่ยังคงใช้กล้องตัวเดิมที่อยู่ใน Mi 8 แต่ได้พัฒนาด้านซอฟต์แวร์ให้ดียิ่งขึ้นจนได้คะแนนการทดสอบภาพถ่าย DXOmark สูงถึง 103 คะแนน Mi Mix 3 ยังคงเน้นไปในเรื่องของวัสดุการดีไซด์เป็นหลักกับฝาหลังที่ได้เลือกใช้วัสดุที่เป็นเซรามิก และเฟรมเครื่องก็ได้เลือกใช้วัสดุเป็นอลูมิเนียม 7 พันซีรี่ โดยรุ่นที่นำเข้ามาจำหน่ายในไทย ณ ตอนนี้มีเพียงรุ่นที่มาพร้อมกับ Ram 6 GB / Internal Storage 128 GB เท่านั้น มาพร้อมกับ CPU สำหรับเรือธงอย่าง Qualcomm® Snapdragon™ 845 AIE และหน้าจอขนาดใหญ่ 6.39 นิ้วแบบไร้ติ่งอีกด้วย เดี๋ยวเราไปดูการใช้งานจริงพร้อมๆกันว่าเรือธงรุ่นล่าสุดตัวนี้จากทาง Xiaomi จะมีความน่าสนใจขนาดไหนกัน

เราไปดูอุปกรณ์ที่แถมมาให้ในกล่องกันเลย
1. เครื่อง Xiaomi Mi MIX 3
2. Adapter Quick charge 3.0 สำหรับชาร์จไฟ
3. สาย USB Type C
4. คู่มือการใช้งานตัวเครื่อง และ ใบเงื่อนรับการประกัน
5. เข็มจิ้มซิม
6. เคสแข็ง Mi MIX 3
7. แท่นชาร์จไร้สาย Mi Wireless Charger 10W
8. สายแปลงสำหรับใช้งานหูฟัง USB Type C to 3.5 mm

วัสดุและการออกแบบดีไซน์
Xiaomi Mi MIX 3 มาพร้อมกับหน้าจอ Samsung AMOLED ขนาด 6.39 นิ้ว อัตราส่วน 19.5:9 ความละเอียด FHD+ Screen-to-Body Ratio มากถึง 93.4% พื้นที่ใช้สอยบนหน้าจอเยอะมาก ๆ จอตัวนี้ยังรองรับเทคโนโลยีการแสดงผลแบบ HDR10 อีกด้วย ตัวกระจกหน้าจอเลือกใช้เป็น Corning Gorilla Glass
ในส่วนของขอบด้านบนเครื่องตอนยังไม่ได้ทำการสไลด์หน้าจอลงมา ก็จะมีการเจาะช่องเว้นไว้ให้เสียงสามารถออกจากลำโพงสนทนาที่อยู่ใต้น่าจอได้ ด้านขวาขยับไปจากรูลำโพงจะมีไฟ LED สำหรับแจ้งเตือน
เมื่อทำการสไลด์หน้าจอลงมาแล้วก็จะเจอกับกล้องคู่สองตัว โดยกล้องตัวหลักใช้เซ็นเซอร์ Sony IMX 576 ความละเอียดที่ 24 MP มีพิกเซลขนาดใหญ่ถึง 1.8μm และกล้องตัวรองใช้เซ็นเซอร์ OC0A10 ความละเอียด 2MP เอาไว้ใช้ในการจับระยะลึก-ตื้น (DOF) เป็นหลัก มีพิกเซลขนาดใหญ่ถึง 1.75μm ด้านขวาก็จะมีแฟลชสำหรับใช้ตอนแสงน้อย และที่เหลือจะเป็นอยู่ของเซ็นเซอร์ต่าง ๆ สุดท้ายช่องด้านบนสุดจะเป็นที่อยู่ของลำโพงสนทนา
ด้านล่างตัวเครื่องฝั่งขวาก็จะมีลำโพงซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดีมาก ๆ เพราะเวลาเล่นเกมอุ้มมือจะไม่ค่อยไปบัง ส่วนตรงกลางจะเป็นพอร์ต USB Type C และช่องด้านซ้ายสุดจะเป็นไมค์สำหรับสนทนา ไม่มีพอร์ต 3.5 mm นะจ๊ะ
ด้านซ้ายของตัวเครื่องจะมีช่องสำหรับใส่ซิมการ์ดโดยตัวนี้รองรับการใช้งานสองซิมแบบ Dual VoLTE รวมถึงยังซัพพอร์ท Dual VoLTE ด้วยแต่ไม่สามารถใส่ Micro SD Card เพิ่มได้นะ ต่อมาจะเป็นปุ่มฟังก์ชั่น Ai โดยค่าเริ่มต้นของปุ่มนี้จะเอาไว้ใช้เรียกเจ้า Google Assistant นั่นเองแต่สามารถตั้งค่าเพิ่มเติ่มเพื่อใช้งานอย่างอื่นได้อีก
ด้านหน้า และหลังตัวเครื่องมีการออกแบบฝาหลังที่ทำขอบโค้ง 2.5D ทั้ง 4 ด้าน ทำให้จับแล้วกระชับมือมาก ๆ วัสดุของฝาหลังที่เลือกใช้เป็นเซรามิกอย่างดีมีคุณสมบัติทนความร้อนและรอยขีดข่วนได้ดี มีการเคลือบเงาสะท้อนแสงสวยงามทำให้รู้สึกหรูหรามากกว่ากระจกมากเวลาสัมผัส รวมไฟถึงตัวเฟรมเครื่องที่ใช้อลูมิเนียม 7K Series ที่มีความแข็งแรงทนทานมาก ๆ อีกด้วย

ถือใช้งาน
การถือใช้งานก็ถือว่ากระชับมือมาก ๆ เพราะฝาหลังทำขอบโค้ง 4 ด้าน การใช้งานมือเดียวได้ค่อนข้างยากจะเป็นการใช้งานสองมือสะมากกว่าด้วยความที่หน้าจอค่อนข้างสูงแลกกับเครื่องไม่อ้วนจับพอดีมือและเวลาดูหนังก็จะเต็มตามาก ๆ ด้วยจอที่กว้างด้วยอัตราส่วน 19.5:9

ประสิทธิภาพการทำงาน
Xiaomi Mi MIX 3 มีการเพิ่มเทคโนโลยีใหม่ ๆ แบบจัดเต็มทั้ง Ai ในกล้องรวมถึงใน OS และชูโรงอย่างการสไลด์แบบ Magnetic sliding mechanism โดยการใช้งานหลัก ๆ จะเป็นการสไลด์เพื่อใช้งานกล้องหน้าหรือปลดล็อกเครื่องด้วยใบหน้าแต่เราก็ยังสามารถตั้งค่าเพิ่มเติมในการสไลด์แล้วทำงานตามที่เราตั้งค่าได้อีก

กล้องถ่ายรูป
Xiaomi Mi MIX 3 นั้นมาพร้อมกับกล้องหลังคู่ กล้องหลังหลักเลือกใช้เซนเซอร์ Sony® IMX363 ความละเอียด 12 MP กับค่า F 1.9 ใช้ระบบโฟกัสที่ดีมาก ๆ อย่าง Dual Pixel โดยมีพิกเซลขนาดใหญ่ถึง 1.4μm และกล้องรองใช้เซ็นเซอร์ Samsung S5K3M3 ความละเอียด 12 MP พิกเซลขนาด 1.0μm
ภาพจากกล้องหลัง Xiaomi Mi MIX 3











ภาพจากกล้องหน้า Xiaomi Mi MIX 3


สรุป

Xiaomi Mi MIX 3 ถือเป็นเป็นสมาร์ทโฟนเรือธงอีกตัวหนึ่งที่น่าสนใจไม่ใช่น้อย เรียกได้ว่ายัดเทคโนโลยีใหม่ ๆ และจุดเด่นที่ไม่ธรรมดาออกมาได้ดี ตัวนี้จะเน้นไปในด้านวัสดุการดีไซด์ที่หรูพรีเมี่ยมมาก ๆ รวมไปถึงกล้องที่เรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดมาก ๆ ผมยังไม่คิดเลยว่ากล้องจากแบรนด์ Xiaomi จะทำออกมาได้ดีขนาดนี้ทั้ง ๆ ที่ยังใช้กล้องชุดเดิมจากตัว Mi 8 ไม่ได้ปรับเปลี่ยน Hardware เลย และได้ทำการชูโรงการสไลด์ Magnetic sliding mechanism แบบใหม่ออกมาที่ทำให้ได้หน้าจอที่ใหญ่ขึ้นในขณะที่ขอบบางลงจนแทบไม่เหลือขอบตัวจอเต็มพื้นที่ด้านหน้าเอามาก ๆ ตอนใช้งานสไลด์เล่นมันมือเอามาก ๆ รู้สึกกล้าใช้บ่อยมากกว่าแบบมอเตอร์นิดนึง ตอนสไลด์มีเสียงที่เกิดจากการดูดของแม่เหล็กด้วยเพลินมาก จึงทำให้ได้หน้าจอขนาดใหญ่ไร้ติ่งซึ่งเป็นจุดเด่นอีกอย่างของเจ้าตัวนี้เลย หน้าจอก็ให้สีสันที่สวยงามดีความละเอียด FHD+ เหลือกินเหลือใช้แถมยังรองรับการแสดงผล HDR10 อีก ใครที่มีงบประมาณพอสมควรและมองหามือถือที่เน้นถ่ายรูป เครื่องสวยวัสดุดีพรีเมี่ยม จอใหญ่เต็มเต็มตา ตัวนี้ก็ถือเป็นตัวนึงที่น่าสนใจไม่น้อย โดยส่วนตัวด้วยค่าตัวของมันที่ 18,999 บาท ผมมองว่าคุ้มค่ามาก ๆ กับเทคโนโลยีโดยรวมที่ได้มาส่วนตัวชอบและประทับใจมาก ๆ

จุดเด่น
1. กล้องดีทั้งกล้องหน้า และกล้องหลังเพราะเทคโนโลยี AI ที่ฉลาดมาก ๆ และยังมีโหมดถ่ายรูปกลางคืนมีอีกด้วยประทับใจสุดเรื่องกล้อง
2. ดีไซด์สวยใช้วัสดุฝาหลังเซรามิกและเฟรมอลูมิเนียม 7 พันซีรี่ถือละฟินพรีเมี่ยมสุด ๆ
3. รองรับ Dual 4G LTE และ Dual VoLTE
4. GPS แม่นยำและจับสัญญาณได้รวดเร็วมากเพราะใช้ Dual GPS
5. หน้าจอคุณภาพดี ขนาดใหญ่ไม่มีติ่งขอบบางแสดงผลได้เต็มตาสวยงามรองรับการแสดงผลแบบ HDR10
6. แบตเตอร์รี่ 3200 mAh กับจอ FHD+ เพียงพอต่อการใช้งานแบบปกติได้ถึงเย็น ๆ
7. เทคโนโลยี Magnetic sliding mechanism ที่ทนทานสไลด์ได้ถึง 300,000 ครั้ง มากกว่า Nokia สมัยก่อนสะอีก
8. รองรับการชาร์จไร้สายมาตรฐาน Qi และแถมมาให้ในกล่องเลย

ข้อพิจารณา
1. ถูกตัดพอร์ตหูฟัง 3.5 mm
2. การสไลด์จอรู้สึกแน่นกล้าสไลด์ แต่ก็ยังคงใช้ลำบากในบางสถาณการณ์ไม่ได้เป็