วันนี้เพิ่งได้มีโอกาสดู Talk ของ Jeremy Rifkin ซึ่งเป็น Economic theorist มา Talk ยาวประมาณเกือบๆสองชั่วโมง
แต่บอกเลยค่ะว่าไม่มีน้ำ เนื้อล้วนๆจริง แต่เนื่องจากคลิปยาว จึงได้สรุปมาให้เป็นตัวใจความหลักๆมาให้ทุกคนด้านล่านแล้วนะคะ
เนื่องจากไม่ได้ยืนยังตัวตนจึงขอโพสเป็นกระทุ้คำถามนะคะ
สรุปสั้นๆได้ความว่ายังไง?
Rifkin ได้พูดถึงเทรนด์เศรฐกิจที่กำลังจะเปลี่ยนในในโลกของเรา ด้วย Internet of Things, Internet และการที่ทุกๆคนนั้นเชื่อมถึงกันมากยิ่งขึ้นนั้น
จะทำให้เราเข้าใกล้ถึงโลกที่ทุกๆอย่างราคาเพียง marginal cost
ใช่ค่ะ -- มันคะเป็นที่ๆเราไม่ต้องกังวลว่าบริษัทยักษ์ใหญ่นั้นจะมาเอาเปรียบพวกเราโดยขายของในราคาที่สูงเกินเอื้อม มันจะเป็นโลกที่ทุกๆคน
ช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยทุกคนได้ส่วนแบ่งอย่างเท่าเทียม Sharing Economy
อาจจะฟังดูเหลือเชื่อแต่ว่าเราสามารถเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้แล้วทั่วโลก ลองนึกถึง YouTube เมื่อก่อน การที่เราจะหาหนังหรือวีดีโอดีๆดูนั้นมาพร้อมกับราคา
เราต้องเสียเงินเพื่อสิ่งเหล่านั้น เราต้องเสียเงินหลายร้อยเพื่อที่จะได้ดูคลิปดีๆสักหนึ่งคลิป
แต่ด้วย internet ตอนนี้เราสามารถดูสิ่งเหล่านี้ได้อย่างฟรีๆ เพราะอะไรหรอคะ? เพราะทุกๆคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน economy ไปข้างหน้า
คนทำวีดีโอลงยูทูปนั้นได้ เงินจากวิว (ถ้าไม่นับการโฆษณา)
ส่วนคนดู ก็ได้ดูฟรีๆ
คนสร้าง Platform อย่างกูเกิ้ลก็ได้ค่าโฆษณาต่างๆ..
แต่! หลายๆคนอาจจะคิดว่า YouTube กำลังเอาเงินที่ได้ไปเองจำนวนมากใช่มั้ยคะ เพราะว่าเงินที่ได้ per thousand views นั้นน้อนนิดเหลือเกิน
ไม่ใช่ค่ะ
YouTube นั้นความจริงแล้วไม่ได้สร้างกำไร ให้ Google แต่ว่า บริษัทแม่แบบ google นั้นเห็น Trend Creative Commons ในอนาคต
(อ่านข่าวได้ที่ :
https://www.businessinsider.com/youtube-still-doesnt-make-google-any-money-2015-2)
Creative Commons ที่ๆทุกการสร้างสรรค์นั้น ฟรี
Creative Commons คือที่ๆทุกๆคนมาแชร์ผลงานให้แก่กันและกันอย่างฟรีๆ โดยที่ท้ายที่สุดแล้วมันคือการแลกเปลี่ยน products นั้นเอง
ทุกๆคนอาจจะคิดว่าสิ่งนี้เป็นไปได้ยาก ใครจะอยากแชร์สิ่งที่ทำด้วยนำ้พัหน้ำแรงมาอย่างฟรีๆ?
มันเกิดขึ้นแล้วค่ะ และมันเป็นสิ่งที่ทุกๆคนต้องเคยใช้ --- Wikipedia
Wikipedia คือแหล่งรวมข้อมูลที่ๆพวกเราทุกๆคนช่วยกันสรรหา เป็นที่ๆคนมาร่วมกันแชร์ความรู้กับคนอื่นๆ ใครเห็นว่าข้อมูลผิดก็เข้าไปแก้ ใครเห็นว่า
ขาดหายก็เข้าไปเพิ่ม ทุกๆคนร่วมกันช่วย Fact check จนท้ายสุดแล้วข้อมูลนั้นพูดได้เลยว่าค่อนข้างตรงและเชื่อถือได้ (ค่อนข้างนะคะ สนับสนุนให้ทุกคน
หมั่น Fact check ด้วยตัวเองและคอยถามว่า ทำไม อยู่ตลอดเวลา)
ทุกคนต่างต้องการ
Big Data แต่ Big Data จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าทุกๆคนไม่ร่วมด้วยช่วยกัน
ยกตัวอย่างง่ายๆเลยนะคะ Google Map จำ Google map เมื่อหลายปีที่แล้วได้มั้ยคะ? ตอนที่บอกว่าตรงไหนรถติดบ้างเนี่ยไม่เคยตรงเลยจริงๆ
แล้วตอนนี้ล่ะคะ? เพราะมีคนใช้ Google map มากยิ่งขึ้น การแลกเปลี่ยนข้อมูลก็มากยิ่งขึ้น เมื่อมีข้อมูลเยอะ ทุกๆอย่างก็แม่นยำมากยิ่งขึ้น
(เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Google map and Big Data: The big data driving Google Map
http://ltd.edc.org/big-data-driving-google-maps)
และแน่นอน ไม่ใช่แค่Google ที่กำลังเก็บข้อมูลเหล่านี้ แต่หลายๆบริษัทที่พวกเรากำลังใช้อยู่ทุกวันนี้ก็กำลังเก็บข้อมูลต่างๆเหี่ยวกับพวกเราอยู่
ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Lazada, Amazon, True, AIS และข้อมูลที่บริษัทเหล่านี้กำลังรวบรวมนั้น มันไม่ใช่แค่ข้อมูลพื้นๆ เชื่นชื่อและที่อยู่
แต่รวมถึงความชอบ ไม่ชอบ สิ่งที่อยากได้ กำลังไปเที่ยวที่ไหน มีปัญหาอะไร ซื้ออะไรบ้างตามร้านค้า ซึ่งในหลายๆครั้งนั้น มันรวมไปถึงว่า
ขณะนี้ร่างกายเราแข็งแรงมั้ย
การที่ข้อมูลเหล่านี้ถูกแชร์ไปยังบริษัทต่างๆเพื่อ
การตลาด นั้นทำให้หลายๆคนเกิดความกังวลเรื่อง Data Privacy ขึ้นมา
Data Privacy และกฎหมาย
บริษัทต่างๆนั้นกำลังเก็บข้อมูลพวกเราตลอดเวลา และกำลังนำข้อมูลของเราไปขายต่ออยู่ตลอดเวลาโดย
ไม่ผิดกฎหมาย
ใช่ค่ะ เพียงแค่เรากดยอมรับ Privacy Policies (คุ้นๆกันใช่มั้ยคะ) โดยไม่อ่านก่อนนั้น ทำให้เราให้สิทธิบริษัทนั้นๆในการทำอะไรก็ได้กับข้อมูลเรา
โดยที่ไม่ต้องขอเราก่อน
ข้อมูลอะไรบ้างหรอ? ก็ทั้งหมดที่กรอกเข้าไปอ่ะค่ะ หลายๆเว็ปอาจจะเป็นแค่ ชื่อ และ email แต่บางที่ก็จะมีพวก อายุ บัตรประจำตัวประชาชน
เลขบัตรเครดิต น้ำหนัก(?) เอาเป็นว่าเกือบทุกอย่างที่เป็นเรา เคยสงสัยเรื่อง spam emails มั้ยคะ ทำไมมันเยอะจัง
ก็นี่แหละค่ะ เพราะว่า email เรานั้ถูกขายไปนั้นเอง
ทั้งนี้ไม่ใช่เพียวบริษัทยักษ์ใหญ่ที่พูดถึงข้างบนนะคะที่กำลังเก็บข้อมุลเรา แต่รวมไปถึง โรงแรม Forum และกระทู้ต่างๆ
เคยสงสัยเรื่อง cookies มั้ย? การที่เราอนุญาตการใช้ cookies นั้นเ่ากับว่าเราอนุญาตให้เว็ปนั้นเข้าถึง
IP Address ของเรา หรือดูว่าตอนนั้นเรากำลังเปิดเว็ปอะไรใน tabs อื่นๆอยู่ (อันนี้ก็แล้วแต่ว่าเค้าใช้ cookies อะไร) เว็ปบางเว็ปที่คุณใช้อยู่นั้นกำลังแอบดู
ว่าคุณเปิดอะไรดูอยู่บ้างบนคอมของคุณนะคะ!
ที่ยุโรปเค้าเล็กเห็นถึงปัญหานี้ และรู้ว่าพวกเราหลายๆคน ไม่อ่าน privacy policies และกำลังถูกเอาเปรียบอยู่ ทำให้เค้าออกกฎหมาย GDPR ออกมา
ซึ่งให้สิทธิพวกเราคนใช้แอปหรือเว็ปต่างๆในการควบคุมข้อมูลของตัวเอง เราสามารถดูได้ว่าเราถูกเก็บข้อมูลอะไร และข้อมูลเราถูกนำไปทำอะไร
แต่ว่ากฎหมายนี้นั้นครอบคลุมเพียงประเทศ EU เท่านั้น แต่ว่าประเทศไทยก็กำลังจะออกกฎหมายใหม่ให้ทันเค้าแล้วนะคะ
พวกเราที่เป็นเจ้าของข้อมูลต่างๆควรจะให้ความสำคัญกับข้อมูลส่วนตัวของเรามากยิ่งขึ้นจริงๆ
GDPR คืออะไร
https://www.techtalkthai.com/what-is-gdpr-basics/
PDPB (กฎหมายไทยใหม่ที่จะออกเร็วๆนี้)
https://www.bakermckenzie.com/en/insight/publications/2018/04/new-draft-thai-personal-data-protection-bill
ว่าด้วยเรื่องภาวะโลกร้อน ทำไมเราต้องรักโลกถ้าอยากช่วยเศรษฐกิจ?
โลกเราความจริงแล้วทุกๆอย่างมันเชื่อต่อกันจริงๆนะคะ การที่โลกเราแย่ลงเรื่อยๆนั้นมันจะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว
ทำไมน่ะหรอ? ยกตัวอย่างจากใน Talk นะคะ เรื่องน้ำ
น้ำเป็นอะไรที่สำคัญมากกว่าที่ทุกๆคนคิดจริงๆนะคะ ไม่ใช่แค่เพราะว่าเราเอาไว้ดื่มแต่น้ำเป็นตัวขับเคลื่อนพลังงานค่ะ
ถึงแม้มากกว่า 70%ของโลกจะถูกปกคลุมด้วยน้ำ แต่ว่าน้ำที่เราใช้ได้นั้นน้อยกว่า 5% (จำตัวเลขแม่นๆไม่ได้ใครรู้ฝากบอกหน่อยนะคะ)
และในจำนวนน้ำที่ใช้ได้เนี่ยเราไม่ได้เอาไว้แค่ดื่มนะคะ แต่เราทำมาผลิตไฟฟ้า ประเทศไทยออาจเป็นเขื่อน แต่บางประเทศที่ใช้
เป็นจากโรงงานนิวเคลียร์นั้นก็ต้องใช้น้ำวิ่งผ่าน nuclear powerplant เพื่อที่จะทำให้เครื่องเย็นลง
แต่การที่โลกร้อนขึ้น น้ำก็ร้อนขึ้น
การที่น้ำร้อนขึ้น น้ำนั้นก็นำไปวิ่งผ่าน nuclear powerplant เพื่อทำให้เย็นลงไม่ได้ เมื่อทำไม่ได้ก็... นั่นแหละค่ะ ก็ต้องผลิตไฟฟ้าน้อยลง ช้าลง
ถ้าไม่มีไฟฟ้า ทุกๆอย่างก็จะไม่ทำงาน และเมื่อทุกๆอย่างไม่ทำงาน economy ก็ฝืดขึ้น..
แล้วอะไรบ้างล่ะที่ทำให้โลกร้อน? เราอาจจะนึกถึงรถ แต่มันไม่ใช่แค่รถน่ะสิคะ
ที่Common ที่เรามองข้ามก็มี ตึกรางบ้านช่องค่ะ แอร์เอง ฮีตเต้อ ทุกๆอย่างที่มาจากตึก
และ ฟาร์มสัตว์ ใช่ค่ะ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์! ที่เอามาทำเป็นเนื้อให้พวกเรากินอ่ะค่ะ อันนั้นเลย
เพราะอะไร? เพราะในกระบวนการนั้นใช้พลังงานมหาศาลค่ะ ตั้งแต่หาข้าวมาเลี้ยง ตัดหญ้าโค่นป่าทำโรงงาน
เอาเป็นว่าอ่านลงลึกเกี่ยวกับสาเหตุโลกร้อนได้ในบทความด้านล่างนะคะ
https://www.epa.gov/ghgemissions/sources-greenhouse-gas-emissions
โลกร้อนโยงกลับมาเรื่อง Sharing Economy ยังไง?
คอนเซปในการที่ทุกๆคนช่วยกันขับเคลื่อน productivity และ economy นั้นได้ถูกนำมาปรับใช้กับการสร้างไฟฟ้าแล้วในเยอรมันนี
Rifkin (คนที่พูดใรวีดีโอเผื่อใครลืมชื่อนะคะ) เค้าได้พูดถึกการที่รัฐบาลได้สนับสนุนการใช้แผง Solar เพื่อเปลี่ยนมาเป็นกระแสไฟฟ้า
แน่นอนค่ะ ลำพังเพียงโซล่าไม่กี่หลังมันไม่ช่วยให้กระแสไฟฟ้าพออย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ต้องการคือการที่ทุกๆที่ติดsolar ไม่ว่าจะบนหลังคาบ้าน
ไล่ยาวตามถนน บนตึกสูงที่รับแสงแดดอย่างเต็มที่ เมื่อโซล่านั้นอยู่ทุกที่ ไฟฟ้าก็ถูกสร้างมากขึ้น ซึ่งในระยะยาวนอกจากจะรักโลกแล้ว ไฟฟ้ายัง
ถูกขึ้นอีกด้วย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่
https://www.cleanenergywire.org/factsheets/solar-power-germany-output-business-perspectives
ความจริงแล้วยังมีอีกมากมายเลยนะคะที่อยู่ในคลิปและยังไม่ได้ถูกพูดถึงในนี้ อีกจุดนึงที่คิดว่าน่าสนใจมากคือความสำคัญของไฟฟ้า
ไฟฟ้านั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้โลกเราเดินไปข้างหน้า มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงในประวัติศาสตร์หลุดพ้นจากการเป็นชนชั้นที่สอง
ไฟฟ้าคือตัวที่ทำให้ทั้งโลก connect กันด้วย internet ไว้จะมาเขียนเรื่องไฟฟ้าต่อในกระทู้ต่อไปนะคะ
ขอโทษสำหรับคำผิด หรือการใช้คำแปลกๆนะคะ เนื่องจากภาษาไทยอยู่ในระดับที่ไม่ได้ดีนักจึงอาจจะไม่สามารถเขียนได้ออกมาแบบ
ลาบลื่นนัก แต่ว่าที่ตัดสินใจมาเขียนกระทู้นี้เพราะอยากจะแชร์ความรู้ดีๆจริงๆค่ะ ถ้ามีข้อแนะนำอะไรสามารถบอกได้เสมอเลยนะคะ
เรามาช่วยกันแชร์ความรู้และข้อมูลดีๆกันเถอะค่ะ!
โลกที่ทุกๆอย่างราคาเท่าต้นทุนนั้นอยู่ไกลไม่เกินเอื้อม - The Third Industrial Revelution
แต่บอกเลยค่ะว่าไม่มีน้ำ เนื้อล้วนๆจริง แต่เนื่องจากคลิปยาว จึงได้สรุปมาให้เป็นตัวใจความหลักๆมาให้ทุกคนด้านล่านแล้วนะคะ
เนื่องจากไม่ได้ยืนยังตัวตนจึงขอโพสเป็นกระทุ้คำถามนะคะ
สรุปสั้นๆได้ความว่ายังไง?
Rifkin ได้พูดถึงเทรนด์เศรฐกิจที่กำลังจะเปลี่ยนในในโลกของเรา ด้วย Internet of Things, Internet และการที่ทุกๆคนนั้นเชื่อมถึงกันมากยิ่งขึ้นนั้น
จะทำให้เราเข้าใกล้ถึงโลกที่ทุกๆอย่างราคาเพียง marginal cost
ใช่ค่ะ -- มันคะเป็นที่ๆเราไม่ต้องกังวลว่าบริษัทยักษ์ใหญ่นั้นจะมาเอาเปรียบพวกเราโดยขายของในราคาที่สูงเกินเอื้อม มันจะเป็นโลกที่ทุกๆคน
ช่วยกันขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยทุกคนได้ส่วนแบ่งอย่างเท่าเทียม Sharing Economy
อาจจะฟังดูเหลือเชื่อแต่ว่าเราสามารถเห็นสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้แล้วทั่วโลก ลองนึกถึง YouTube เมื่อก่อน การที่เราจะหาหนังหรือวีดีโอดีๆดูนั้นมาพร้อมกับราคา
เราต้องเสียเงินเพื่อสิ่งเหล่านั้น เราต้องเสียเงินหลายร้อยเพื่อที่จะได้ดูคลิปดีๆสักหนึ่งคลิป
แต่ด้วย internet ตอนนี้เราสามารถดูสิ่งเหล่านี้ได้อย่างฟรีๆ เพราะอะไรหรอคะ? เพราะทุกๆคนนั้นเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อน economy ไปข้างหน้า
คนทำวีดีโอลงยูทูปนั้นได้ เงินจากวิว (ถ้าไม่นับการโฆษณา)
ส่วนคนดู ก็ได้ดูฟรีๆ
คนสร้าง Platform อย่างกูเกิ้ลก็ได้ค่าโฆษณาต่างๆ..
แต่! หลายๆคนอาจจะคิดว่า YouTube กำลังเอาเงินที่ได้ไปเองจำนวนมากใช่มั้ยคะ เพราะว่าเงินที่ได้ per thousand views นั้นน้อนนิดเหลือเกิน
ไม่ใช่ค่ะ YouTube นั้นความจริงแล้วไม่ได้สร้างกำไร ให้ Google แต่ว่า บริษัทแม่แบบ google นั้นเห็น Trend Creative Commons ในอนาคต
(อ่านข่าวได้ที่ : https://www.businessinsider.com/youtube-still-doesnt-make-google-any-money-2015-2)
Creative Commons ที่ๆทุกการสร้างสรรค์นั้น ฟรี
Creative Commons คือที่ๆทุกๆคนมาแชร์ผลงานให้แก่กันและกันอย่างฟรีๆ โดยที่ท้ายที่สุดแล้วมันคือการแลกเปลี่ยน products นั้นเอง
ทุกๆคนอาจจะคิดว่าสิ่งนี้เป็นไปได้ยาก ใครจะอยากแชร์สิ่งที่ทำด้วยนำ้พัหน้ำแรงมาอย่างฟรีๆ?
มันเกิดขึ้นแล้วค่ะ และมันเป็นสิ่งที่ทุกๆคนต้องเคยใช้ --- Wikipedia
Wikipedia คือแหล่งรวมข้อมูลที่ๆพวกเราทุกๆคนช่วยกันสรรหา เป็นที่ๆคนมาร่วมกันแชร์ความรู้กับคนอื่นๆ ใครเห็นว่าข้อมูลผิดก็เข้าไปแก้ ใครเห็นว่า
ขาดหายก็เข้าไปเพิ่ม ทุกๆคนร่วมกันช่วย Fact check จนท้ายสุดแล้วข้อมูลนั้นพูดได้เลยว่าค่อนข้างตรงและเชื่อถือได้ (ค่อนข้างนะคะ สนับสนุนให้ทุกคน
หมั่น Fact check ด้วยตัวเองและคอยถามว่า ทำไม อยู่ตลอดเวลา)
ทุกคนต่างต้องการ Big Data แต่ Big Data จะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าทุกๆคนไม่ร่วมด้วยช่วยกัน
ยกตัวอย่างง่ายๆเลยนะคะ Google Map จำ Google map เมื่อหลายปีที่แล้วได้มั้ยคะ? ตอนที่บอกว่าตรงไหนรถติดบ้างเนี่ยไม่เคยตรงเลยจริงๆ
แล้วตอนนี้ล่ะคะ? เพราะมีคนใช้ Google map มากยิ่งขึ้น การแลกเปลี่ยนข้อมูลก็มากยิ่งขึ้น เมื่อมีข้อมูลเยอะ ทุกๆอย่างก็แม่นยำมากยิ่งขึ้น
(เพิ่มเติมเกี่ยวกับ Google map and Big Data: The big data driving Google Map http://ltd.edc.org/big-data-driving-google-maps)
และแน่นอน ไม่ใช่แค่Google ที่กำลังเก็บข้อมูลเหล่านี้ แต่หลายๆบริษัทที่พวกเรากำลังใช้อยู่ทุกวันนี้ก็กำลังเก็บข้อมูลต่างๆเหี่ยวกับพวกเราอยู่
ไม่ว่าจะเป็น Facebook, Twitter, Lazada, Amazon, True, AIS และข้อมูลที่บริษัทเหล่านี้กำลังรวบรวมนั้น มันไม่ใช่แค่ข้อมูลพื้นๆ เชื่นชื่อและที่อยู่
แต่รวมถึงความชอบ ไม่ชอบ สิ่งที่อยากได้ กำลังไปเที่ยวที่ไหน มีปัญหาอะไร ซื้ออะไรบ้างตามร้านค้า ซึ่งในหลายๆครั้งนั้น มันรวมไปถึงว่า
ขณะนี้ร่างกายเราแข็งแรงมั้ย
การที่ข้อมูลเหล่านี้ถูกแชร์ไปยังบริษัทต่างๆเพื่อ การตลาด นั้นทำให้หลายๆคนเกิดความกังวลเรื่อง Data Privacy ขึ้นมา
Data Privacy และกฎหมาย
บริษัทต่างๆนั้นกำลังเก็บข้อมูลพวกเราตลอดเวลา และกำลังนำข้อมูลของเราไปขายต่ออยู่ตลอดเวลาโดย ไม่ผิดกฎหมาย
ใช่ค่ะ เพียงแค่เรากดยอมรับ Privacy Policies (คุ้นๆกันใช่มั้ยคะ) โดยไม่อ่านก่อนนั้น ทำให้เราให้สิทธิบริษัทนั้นๆในการทำอะไรก็ได้กับข้อมูลเรา
โดยที่ไม่ต้องขอเราก่อน
ข้อมูลอะไรบ้างหรอ? ก็ทั้งหมดที่กรอกเข้าไปอ่ะค่ะ หลายๆเว็ปอาจจะเป็นแค่ ชื่อ และ email แต่บางที่ก็จะมีพวก อายุ บัตรประจำตัวประชาชน
เลขบัตรเครดิต น้ำหนัก(?) เอาเป็นว่าเกือบทุกอย่างที่เป็นเรา เคยสงสัยเรื่อง spam emails มั้ยคะ ทำไมมันเยอะจัง
ก็นี่แหละค่ะ เพราะว่า email เรานั้ถูกขายไปนั้นเอง
ทั้งนี้ไม่ใช่เพียวบริษัทยักษ์ใหญ่ที่พูดถึงข้างบนนะคะที่กำลังเก็บข้อมุลเรา แต่รวมไปถึง โรงแรม Forum และกระทู้ต่างๆ
เคยสงสัยเรื่อง cookies มั้ย? การที่เราอนุญาตการใช้ cookies นั้นเ่ากับว่าเราอนุญาตให้เว็ปนั้นเข้าถึง
IP Address ของเรา หรือดูว่าตอนนั้นเรากำลังเปิดเว็ปอะไรใน tabs อื่นๆอยู่ (อันนี้ก็แล้วแต่ว่าเค้าใช้ cookies อะไร) เว็ปบางเว็ปที่คุณใช้อยู่นั้นกำลังแอบดู
ว่าคุณเปิดอะไรดูอยู่บ้างบนคอมของคุณนะคะ!
ที่ยุโรปเค้าเล็กเห็นถึงปัญหานี้ และรู้ว่าพวกเราหลายๆคน ไม่อ่าน privacy policies และกำลังถูกเอาเปรียบอยู่ ทำให้เค้าออกกฎหมาย GDPR ออกมา
ซึ่งให้สิทธิพวกเราคนใช้แอปหรือเว็ปต่างๆในการควบคุมข้อมูลของตัวเอง เราสามารถดูได้ว่าเราถูกเก็บข้อมูลอะไร และข้อมูลเราถูกนำไปทำอะไร
แต่ว่ากฎหมายนี้นั้นครอบคลุมเพียงประเทศ EU เท่านั้น แต่ว่าประเทศไทยก็กำลังจะออกกฎหมายใหม่ให้ทันเค้าแล้วนะคะ
พวกเราที่เป็นเจ้าของข้อมูลต่างๆควรจะให้ความสำคัญกับข้อมูลส่วนตัวของเรามากยิ่งขึ้นจริงๆ
GDPR คืออะไร https://www.techtalkthai.com/what-is-gdpr-basics/
PDPB (กฎหมายไทยใหม่ที่จะออกเร็วๆนี้) https://www.bakermckenzie.com/en/insight/publications/2018/04/new-draft-thai-personal-data-protection-bill
ว่าด้วยเรื่องภาวะโลกร้อน ทำไมเราต้องรักโลกถ้าอยากช่วยเศรษฐกิจ?
โลกเราความจริงแล้วทุกๆอย่างมันเชื่อต่อกันจริงๆนะคะ การที่โลกเราแย่ลงเรื่อยๆนั้นมันจะทำให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว
ทำไมน่ะหรอ? ยกตัวอย่างจากใน Talk นะคะ เรื่องน้ำ
น้ำเป็นอะไรที่สำคัญมากกว่าที่ทุกๆคนคิดจริงๆนะคะ ไม่ใช่แค่เพราะว่าเราเอาไว้ดื่มแต่น้ำเป็นตัวขับเคลื่อนพลังงานค่ะ
ถึงแม้มากกว่า 70%ของโลกจะถูกปกคลุมด้วยน้ำ แต่ว่าน้ำที่เราใช้ได้นั้นน้อยกว่า 5% (จำตัวเลขแม่นๆไม่ได้ใครรู้ฝากบอกหน่อยนะคะ)
และในจำนวนน้ำที่ใช้ได้เนี่ยเราไม่ได้เอาไว้แค่ดื่มนะคะ แต่เราทำมาผลิตไฟฟ้า ประเทศไทยออาจเป็นเขื่อน แต่บางประเทศที่ใช้
เป็นจากโรงงานนิวเคลียร์นั้นก็ต้องใช้น้ำวิ่งผ่าน nuclear powerplant เพื่อที่จะทำให้เครื่องเย็นลง แต่การที่โลกร้อนขึ้น น้ำก็ร้อนขึ้น
การที่น้ำร้อนขึ้น น้ำนั้นก็นำไปวิ่งผ่าน nuclear powerplant เพื่อทำให้เย็นลงไม่ได้ เมื่อทำไม่ได้ก็... นั่นแหละค่ะ ก็ต้องผลิตไฟฟ้าน้อยลง ช้าลง
ถ้าไม่มีไฟฟ้า ทุกๆอย่างก็จะไม่ทำงาน และเมื่อทุกๆอย่างไม่ทำงาน economy ก็ฝืดขึ้น..
แล้วอะไรบ้างล่ะที่ทำให้โลกร้อน? เราอาจจะนึกถึงรถ แต่มันไม่ใช่แค่รถน่ะสิคะ
ที่Common ที่เรามองข้ามก็มี ตึกรางบ้านช่องค่ะ แอร์เอง ฮีตเต้อ ทุกๆอย่างที่มาจากตึก
และ ฟาร์มสัตว์ ใช่ค่ะ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์! ที่เอามาทำเป็นเนื้อให้พวกเรากินอ่ะค่ะ อันนั้นเลย
เพราะอะไร? เพราะในกระบวนการนั้นใช้พลังงานมหาศาลค่ะ ตั้งแต่หาข้าวมาเลี้ยง ตัดหญ้าโค่นป่าทำโรงงาน
เอาเป็นว่าอ่านลงลึกเกี่ยวกับสาเหตุโลกร้อนได้ในบทความด้านล่างนะคะ
https://www.epa.gov/ghgemissions/sources-greenhouse-gas-emissions
โลกร้อนโยงกลับมาเรื่อง Sharing Economy ยังไง?
คอนเซปในการที่ทุกๆคนช่วยกันขับเคลื่อน productivity และ economy นั้นได้ถูกนำมาปรับใช้กับการสร้างไฟฟ้าแล้วในเยอรมันนี
Rifkin (คนที่พูดใรวีดีโอเผื่อใครลืมชื่อนะคะ) เค้าได้พูดถึกการที่รัฐบาลได้สนับสนุนการใช้แผง Solar เพื่อเปลี่ยนมาเป็นกระแสไฟฟ้า
แน่นอนค่ะ ลำพังเพียงโซล่าไม่กี่หลังมันไม่ช่วยให้กระแสไฟฟ้าพออย่างแน่นอน แต่สิ่งที่ต้องการคือการที่ทุกๆที่ติดsolar ไม่ว่าจะบนหลังคาบ้าน
ไล่ยาวตามถนน บนตึกสูงที่รับแสงแดดอย่างเต็มที่ เมื่อโซล่านั้นอยู่ทุกที่ ไฟฟ้าก็ถูกสร้างมากขึ้น ซึ่งในระยะยาวนอกจากจะรักโลกแล้ว ไฟฟ้ายัง
ถูกขึ้นอีกด้วย
อ่านเพิ่มเติมได้ที่ https://www.cleanenergywire.org/factsheets/solar-power-germany-output-business-perspectives
ความจริงแล้วยังมีอีกมากมายเลยนะคะที่อยู่ในคลิปและยังไม่ได้ถูกพูดถึงในนี้ อีกจุดนึงที่คิดว่าน่าสนใจมากคือความสำคัญของไฟฟ้า
ไฟฟ้านั้นเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้โลกเราเดินไปข้างหน้า มันเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงในประวัติศาสตร์หลุดพ้นจากการเป็นชนชั้นที่สอง
ไฟฟ้าคือตัวที่ทำให้ทั้งโลก connect กันด้วย internet ไว้จะมาเขียนเรื่องไฟฟ้าต่อในกระทู้ต่อไปนะคะ
ขอโทษสำหรับคำผิด หรือการใช้คำแปลกๆนะคะ เนื่องจากภาษาไทยอยู่ในระดับที่ไม่ได้ดีนักจึงอาจจะไม่สามารถเขียนได้ออกมาแบบ
ลาบลื่นนัก แต่ว่าที่ตัดสินใจมาเขียนกระทู้นี้เพราะอยากจะแชร์ความรู้ดีๆจริงๆค่ะ ถ้ามีข้อแนะนำอะไรสามารถบอกได้เสมอเลยนะคะ
เรามาช่วยกันแชร์ความรู้และข้อมูลดีๆกันเถอะค่ะ!