2 วันหนึ่งคืนแบกเป้ ไม่มีรถส่วนตัวที่ดอยหลวงเชียงดาว 1 คืนนอนเต็นท์จิบกาแฟชมทะเลหมอก ณ โฮมสเตย์ที่บ้านนาเลาใหม่
ตัดขาดทางโลกให้ขุนเขาลมหนาวเยียวยาจิตใจ ไร้สัญญาณมือถือ
***ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ประสบพบมา เป็นมุมมองส่วนตัวผิดพลาดประการใดขออภัยมาทีนี้ด้วย***
****บรรยายยืดยาวใครไม่ชอบข้ามไปท้ายสุดจะลงรายละเอียดการเดินทาง-คชจไว้นะ****
ย่างเข้าปลายปีอากาศที่ร้อนระอุของเมืองกรุง ทำให้คนกรุงที่จมจ่อมกับชีวิตในเมืองโหยหาอากาศหนาวท่ามกลางขุนเขาสายน้ำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อนในเฟซบุคก็ขยันเที่ยวขยันแชร์ให้ตาร้อนเป็นพักๆ และรีวิวของภาพสายหมอกที่ปกคลุมรอบตัว ท่ามกลางขุนเขาเขียวที่โอบล้อมนั้น ได้จับใจฉันเป็นอย่างมาก บรรยากาศเก่าๆ ที่ทุกเดือนธ.ค.ต้องไปออกกำลังขา นอนเต็นท์ทำอะไรอุ่นๆ กินกันและมองดูดาวให้สมอยาก ทำให้ฉันปักธง
“ดอยหลวงเชียงดาว” เอาไว้เรียบร้อย
ข้อมูลเบื้องต้นดอยหลวงเชียงดาว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ป่าดอยเชียงดาว แต่เดิมเป็นป่าที่มีลักษณะภูมิประเทศเป็นป่าเขาสูงชัน ประกอบด้วย เทือกเขาสูงสลับซับซ้อน อุดมไปด้วยป่าดงดิบเขาและป่าหลายประเภท รวมถึงมีสัตว์ป่าหลายชนิดอาศัยอยู่อย่างชุกชุม มียอดเขาที่สูงที่สุด คือ ยอดดอยหลวงเชียงดาว ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลปานกลาง 2,225 เมตร เป็นยอดเขาที่สูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ รองจากดอยอินทนนท์และดอยฟ้าห่มปก และถือว่าเป็นยอดเขาสูงสุดที่ต้องอาศัยการเดินด้วยเท้า
เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติมี 2 ทางด้วยกันคือ จุดเริ่มหน่วยพิทักษ์ป่าขุนห้วยแม่กอก (เด่นหญ้าขัด) 8.5 กิโลเมตร และปางวัว( บ้านนาเลาใหม่) 6.5 กิโลเมตร แต่ปัจจุบันได้ปิดทางขึ้นปางวัวและให้ใช้เส้นทางจากเด่นหญ้าขัดเพียงทางเดียว (Cr. เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว)
การขึ้นดอยนั้นจำกัดจำนวนและต้องจอง ฉันเฝ้าจับตาหน้าเพจของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว เพื่อรอประกาศและในปีนี้ก็เปิดฤดูกาลด้วยระบบการจองออนไลน์เป็นปีแรกโดยมีโควต้าวันละ150 คน
การจองในวันแรกขลุกขลักจากระบบทำให้ต้องเลื่อนวันออกไป แต่ท้ายสุดเราก็สามาถจองได้สำเร็จ โดยที่วันแรกยังเหลือๆที่ว่างเพียบในทุก ๆ ช่วง
ทริปนี้คนขี่รถไม่เปนอย่างเราสิ่งที่กลัวที่สุดก็คือการเดินทางว่าจะมีรถมั้ย การเดินทางเช่นรถไฟหรือเครื่องบินจะต้องจับรถต่อไปที่อำเภอเชียงดาวซึ่งการไปให้ถึงเขตเพื่อลงทะเบียนก่อน 9.00 อาจจะยากลำบากถ้าไม่ค้างคืน ทางที่สะดวกที่สุดคือรถทัวร์สาย กทม บ้านท่าตอน ซึ่งมี 2 บ.ได้แก่บขส 999 และนิววิริยะ และลงที่จุดจอดเชียงดาว ความที่กลัวว่าจะไม่ทันฉันจึงจองรอบ 16.50 ถึงเชียงดาวเช้าสุดๆ
เวลาผ่านไปด้วยอะไรหลายอย่าง ฉันผู้มีวิถีชีวิตกินและนอนเป็นสรณะไม่ได้เตรียมฟิตร่างกายอย่างที่ได้ตั้งใจเอาไว้ แต่ถึงเวลาก็ต้องไป (จะรอดไหม ตอนนั้นคิด)
16.50 ล้อหมุนจากหมอชิต 2 กระเป๋าและคนขับได้สอบถามว่าลงที่ไหนและจดเอาไว้ว่าโลตัสเชียงดาว รถมุ่งขึ้นเหนือ ฟ้ามืดเร็วมากเพียง 6 โมงเย็นพระอาทิตย์ก็จากไป รถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสม่ำเสมอ
เรื่องระหว่างทาง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้[ สุภาพสตรีท่านนั้น]
ขณะที่กำลังเคลิบเคลิ้มง่วงงุนเสียงเอะอะก็ดังจากกลางรถ เป็นเสียงกระเป๋าที่โวยวาย และเห็นสตรีมีอายุกำลังย้ายที่นั่ง แล้วกระเป๋าก็เดินมาบ่นด้วยสำเนียงถิ่นเหนือว่า คนเกินไม่เกินอะไรซักอย่างแต่เนื้อความฟังไม่รู้เรื่อง จึงหันไปนอนต่อ
ราว 3-4 ทุ่ม รถก็ได้แวะจุดจอดสกลบาตร เป็นเวลา 30 นาที ฉันลงมายืดเส้นยืดสายและเข้าห้องน้ำ อาหารที่ให้เลือก ได้แก่ข้าวต้มร้อนๆ และกับข้าวง่ายๆ 2 อย่าง หรือราดหน้า ที่จุดแลกอาหารมีคนตักอยู่เพียงคนเดียว
ระหว่างที่ฉันยืนเรียงคิวข้าวต้มก็จำได้ว่า ด้านหน้าของฉันเป็นสุภาพสตรีที่ย้ายเก้าอี้ท่านนั้นนี่เอง นางกำลังก้มหน้าก้มตาคุ้ยกระเป๋าอยู่ ก่อนจะถึงคิวป้าคนตักได้สลับไปตักฝั่งราดหน้า และจังหวะนั้นเอง ที่ฉันเห็นสุภาพสตรีท่านนั้นล้วงมือเข้าไปหยิบคูปองอาหารที่ถูกใช้แล้วในตะกร้าเก็บขึ้นมา หนีบไว้ในมือ
แล้วป้าคนตักอาหารก็กลับมา ถามว่าป้าเอาอะไร (กับข้าวมี 3 แบบจากการ mixed กัน) นางก็ชี้ไป และรับมาโดยไม่ส่งตั๋วให้ ป้าตักข้าวก็เลยขอตั๋ว นางก็เอาที่หนีบไว้ส่งให้อย่างปกติ แต่ฉันที่ยืนดูอยู่น่ะสิ งงมาก งงจนถึงทุกวันนี้ ตอนนั้นชั่งใจอยู่ว่าจะบอกป้าข้าวต้มไหม แต่คิดอีกทีเราอาจจะเข้าใจผิดเพราะถ้าไม่มีตั๋วจริงๆ จะรอดพ้นจากการเช็คคนบนรถแล้วนั่งต่อไปได้อย่างไร
หลังจากรถจอดที่อาเขต(ขนส่งเชียงใหม่) สุภาพสตรีท่านนั้นก็ลงรถตัวปลิวจากไป….
หลังรถเคลื่อนตัวออกจากอาเขต ฉันก็เตรียมความพร้อมที่จะลง โดยการดู GPS เป็นระยะ แล้วเชียงดาวก็ใกล้เข้ามา ท่างกลางหมอกและความมืดที่โรยตัวบนท้องถนน มีไฟled ดวงเล็กๆ ร้อยเป็นเส้นสายโค้งทอดจากฝั่งหนึ่งไปฝั่งหนึ่ง ฉันเห็นคำว่าตลาดเชียงดาว และเชียงดาวอินน์ผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยรถไม่มีที่ท่าว่าจะจอด เห้ย เลยแล้ว!!! ไม่ใช่แล้ว
ฉันรีบพุ่งไปบอกคนขับ ทำให้รถชะลออย่างรวดเร็ว พร้อมคำขอโทษขอโพยจากกระเป๋าที่ว่า โธ่อุตส่าห์จดไว้แล้วเชียวน่า ไอเราก็ว่าดีนะไม่หลับ ถ้าหลับนี่มีเงิบ ป้านะป้าลืมเราได้ !
05.00 ฉันลงไปยืนรับลมยะเยือกอยู่ข้างทางที่มีไฟส่องสว่าง แต่ร้างคนอย่างยิ่ง ให้บังเอิญว่ามีรถเหลืองขับมาจอด คนขับเป็นคุณลุงลงมาไต่ถามด้วยน้ำเสียงเนิบนุ่มว่าพวกเราจะไปไหนกัน ลุงกล่าวว่า เขามาดักรอตามรถทัวร์สายนี้ แต่แปลกใจที่ไม่มีคนลงจึงขับตามมา…
(หรือลุงแกจะขับกลับไปนอนแล้วค่อยมาเฝ้าใหม่ก็ไม่ทราบ..)
พวกเราจึงได้รถเหมาไปตลาดเพื่อซื้อเสบียงก่อนขึ้นดอยและไปเขตเรียบร้อย ตลาดสดเชียงดาวเป็นตลาดเล็กๆ ขายของสดกับของสำเร็จรูปแบบส่งเป็นแพคๆ ยังไม่ค่อยมีอาหารพร้อมทานขาย เราจึงซื้อของเสร็จในเวลารวดเร็ว

โชคดีที่ลุงมาดัก มาส่งแต่มืดเลยย
05.30 รถเหลืองพาเราไปยังที่ทำการเขต ถึงที่ยังฟ้าไม่สางยังมืดมิดและเงียบกริบ เน็ตก็เริ่มสัญญาณไม่ค่อยมี สัก 8 โมงกว่า ถึงเวลาลงทะเบียน ดูวิดีโออบรม สิ่งใหม่ในปีนี้ก็คือ ห้องน้ำที่ไม่ใช่หลุมฝังกลบอีกต่อไป อุจจาระใส่ถุงดำที่ย่อยสลาย เพื่อฝังกลบด้านบนและปัสสาวะใส่ถุงเจลที่ทางเขตเตรียมให้และจะต้องนำลงมาด้วย
สำหรับเรื่องที่เขาเน้นย้ำก็คือ นี่ไม่ใช่ดอยที่มีวัตถุประสงค์เชิงท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่เป็นป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์จึงเปิดให้เยี่ยมชมเพื่อศึกษาธรรมชาติ ขณะที่ปีที่ผ่านๆ มา การท่องเที่ยวได้หลงเหลือมวลขยะจำนวนมากไว้ ซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเปิดฤดูกาลใหม่จึงขอความร่วมมืออย่างเคร่งครัด

หน้าที่ทำการเขต
หลังจากนั้นเราก็ได้รับของที่เช่าไว้ จนท แนะนำให้พบกับคนนำทางและลูกหาบที่จะไปกับเราขึ้นดอยวันนี้ เมื่อชั่งน้ำหนักเสร็จ ก็ขึ้นรถโฟร์วีลเพื่อเดินทางไปยังเด่นหญ้าขัด โดยรถคันนี้มีนักท่องเที่ยวอีก 4 คนลูกหาบ 2 คน 2 คณะและคนนำทางของอีกกรุ้ปอีก 1 คน
รถออกไปยังถนนใหญ่และมุ่งหน้าขึ้นเขาที่ทางคดเคี้ยวเลี้ยวชัน จนหน้าทิ่มหน้าหงาย ทางไม่มีขอบ โค้งไม่มีกระจก ทำได้เพียงชะลอและบีบแตรสัญญาณก่อนเข้าโค้ง ลมเช้าที่พัดเราที่นั่งหลังกระบะจนหนาวเย็นเล็กน้อย ระหว่างทางลุงคนนำทางก็ได้ชี้ชวนให้ดูไร่ส้มต้นไผ่ และที่ทางของแกที่จะปรับเป็นที่พักอาบน้ำแก่ นทท
เดินทางมาถึงเด่นหญ้าขัด
เราได้เตรียมพร้อมโดยทำธุระส่วนตัวเป็นครั้งสุดท้าย และก็ได้รวมกลุ่มกับคนนำทางอีกครั้ง ซึ่งมีทั้งหมด 9 คน ในจำนวนนี้มีมากับทัวร์โดยตรง
ฉันเดินแถวเรียงเดี่ยวตามคนนำทางไป กม แรกทางชิวๆ แม้จะเป็นทางแคบๆ แต่ไม่ลาดชัน ทุกคนเดินสบายๆ พี่คนนำทางก็ชี้ชวนดูพืชพรรณไปเรื่อย 2 ชม ผ่านไปยังไม่ครึ่งทาง แต่เริ่มมีขึ้นเนินบ้าง
และในที่สุดพวกเราก็เดินทิ้งห่างกับกลุ่มที่เค้ามากับทัวร์ออกไป ทางมีทั้งทางแหวดกหญ้าที่สูงท่วมหัว พื้นดินเย็นๆ กับต้นไม้สูงที่ร่มจนแดดส่องไม่ถึงพื้น ทางเดินริมข้างหินที่ทางเดินลาดเท.บ้างร้อนสลับหนาวชื้นในเส้นทางติดต่อกัน เรียกได้ว่าเคี่ยวกรำคนมากๆ เลี้ยวแค่โค้งหนึ่งก็ไม่เห็นเส้นทางข้างหลัง ทางข้างหน้าก็ไม่รู้ ไม่มีป้ายบอกระยะ ได้แต่บอกตัวเองว่า
มันจะต้องถึง!

ทางแรกๆ หมอกก็ลง

สลับไปเป็นแดดจ้า

ทางเดินแคบแหวกหญ้ามิดหัว เป็นเวลาแค่ไหนที่ใจท้อ แข้งขาเมื่อยล้าและหัวใจแทบสูบฉีดไม่ไหว แค่เดินต่อไปเพราะเชื่อว่าปลายทางยังอีกไม่ไกล…
ทางแยกกิ่วลม!!! เห็นป้ายนี้ไชโยได้เลยไม่กี่เมตรก็คือจุดกางเต็นท์อ่างสลุง เราไปรับของเช่าจากเจ้าหน้าที่ซึ่งเต๊นหันหน้าทางพระอาทิตย์หมดเลยซึ่งมันร้อนมาก แต่ความความเหนื่อยบวกกับรถทัวร์นอนไม่สนิททำให้เราผล็อยหลับไปในเต็นท์ที่อบอ้าว
4 โมงกว่าคนนำทางที่ได้ตามขึ้นมาถึงก็ได้ปลุกเราไปขึ้นยอดเพื่อดูพระอาทิตย์ตก มันคือไฮไลท์ของดอยหลวง !! ฉันที่ตื่นมาแล้วรู้สึกปวดหัว ไม่อยากจะปีนอะไรอีกแล้ว แต่ฉันรู้ดีว่า พลาดไม่ได้!!!
ฉันใส่เสื้อกันหนาว ถือไฟฉายและกล้องฝืนเดินตามๆ เขาไป ทางขึ้นสู่ยอดเริ่มก็เป็นทางชันเกือบ 90 องศา เล่นเอาหอบตั้งแต่ช่วงแรก ขึ้นไปหนาวก็หนาว แต่เหงื่อกลับผุดพรายเต็มใบหน้า หัวทวีความปวดคล้ายจะเป็นลมจนต้องดมยาดม พักซักครู่ แล้วก็เดินต่อไป แทบจะคลานขึ้นถึงยอด
ภาพที่เห็นคนที่ยืนประปรายบริเวณสันเขา ไล่ยาวไปจนเห็นเป็นคนตัวจิ๋วๆ ที่ห่างไกล แสงสีแดงเริ่มทอดแผ่ปกคลุมทั่วไป ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้สึกดีตอนไหน

ความยิ่งใหญ่ของเทือกเขาที่โอบล้อมและแผ่นดินที่ทอดยาวไกลไม่สิ้นสุดเมื่อมองลงไป ภาพไม่สวยเท่าตามองจริงๆ

อาทิตย์อัสดงที่ความสูง 2225 กิโลเมตร

หมดเวลาสนุกแล้วสิ
ครู่ยามของการชมพระอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับไป ฟ้าเริ่มมืดลง คนทยอยเดินลง ครึ่งทางก็เริ่มเปิดไฟฉาย เดินตามๆ กันไป
กลับที่พักอ่างสลุง มื้อที่รอคอยก็มาถึง มาม่ามื้อนี้กินไปอุ่นทั้งตัว ดาวบนฟ้า เหมือนกับเพดานสามมิติ มันบอกไม่ถูกเลย ยิ่งไปห้องน้ำ เชื่อเถอะว่า ปัสสาวะไปเงยหน้ามอง โอ้โห ห้องน้ำหรูกว่าโรงแรมขึ้นมาทันใด (เพดานสวยมากอิอิ) อุณหภูมิประมาณ 11 องศา ไม่มีสัญญาณมือถือ ไม่สำคัญว่ามีอะไรที่รออยู่ แต่นาทีนี้คือจบในตัวมันเอง ฉันเปลี่ยนชุดแล้วหลับไปในถุงนอน

พระจันทร์สว่าง จนมองเห็นรอบได้ลางๆ

ดูดาวก่อนนอนนนนน หลับปุ๋ย ถ่ายมาไม่ได้เท่าของจริงเล้ยยย

ดาวตี4 ยิ่งระยิบระยับ
คนนำทางได้นัดเราไว้ตื่นตี 4 ครึ่งเพื่อทำกิจวัตรให้เรียบร้อย และออกเดินตีห้าเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่กิ่วลม (เดินอีกกใครคิดว่าใกล้ๆ ไม่ใช่นะ) ปีนอีกแล้วด้วยซี เช้านี้หนาวเจ็บมือ ถ้าใครเดี้ยงจากเมื่อวานขึ้นวันนี้อีกจะโหดมาก แต่ขาฉันยังไหวอยู่ ข้างบนผาเป็นหินขุรขระแค่ยืนยังหวาดเสียวสำหรับคนกลัวความสูงเช่นฉัน แล้วต้องบาลานซ์ดีๆ เลย
หนาวแจ่ม ๆ ที่ดอยหลวงเชียงดาว แบคแพคไปเองไม่ยากอย่างที่คิด
ตัดขาดทางโลกให้ขุนเขาลมหนาวเยียวยาจิตใจ ไร้สัญญาณมือถือ
****บรรยายยืดยาวใครไม่ชอบข้ามไปท้ายสุดจะลงรายละเอียดการเดินทาง-คชจไว้นะ****
ย่างเข้าปลายปีอากาศที่ร้อนระอุของเมืองกรุง ทำให้คนกรุงที่จมจ่อมกับชีวิตในเมืองโหยหาอากาศหนาวท่ามกลางขุนเขาสายน้ำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อนในเฟซบุคก็ขยันเที่ยวขยันแชร์ให้ตาร้อนเป็นพักๆ และรีวิวของภาพสายหมอกที่ปกคลุมรอบตัว ท่ามกลางขุนเขาเขียวที่โอบล้อมนั้น ได้จับใจฉันเป็นอย่างมาก บรรยากาศเก่าๆ ที่ทุกเดือนธ.ค.ต้องไปออกกำลังขา นอนเต็นท์ทำอะไรอุ่นๆ กินกันและมองดูดาวให้สมอยาก ทำให้ฉันปักธง “ดอยหลวงเชียงดาว” เอาไว้เรียบร้อย
ข้อมูลเบื้องต้นดอยหลวงเชียงดาว
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
การขึ้นดอยนั้นจำกัดจำนวนและต้องจอง ฉันเฝ้าจับตาหน้าเพจของเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว เพื่อรอประกาศและในปีนี้ก็เปิดฤดูกาลด้วยระบบการจองออนไลน์เป็นปีแรกโดยมีโควต้าวันละ150 คน
การจองในวันแรกขลุกขลักจากระบบทำให้ต้องเลื่อนวันออกไป แต่ท้ายสุดเราก็สามาถจองได้สำเร็จ โดยที่วันแรกยังเหลือๆที่ว่างเพียบในทุก ๆ ช่วง
ทริปนี้คนขี่รถไม่เปนอย่างเราสิ่งที่กลัวที่สุดก็คือการเดินทางว่าจะมีรถมั้ย การเดินทางเช่นรถไฟหรือเครื่องบินจะต้องจับรถต่อไปที่อำเภอเชียงดาวซึ่งการไปให้ถึงเขตเพื่อลงทะเบียนก่อน 9.00 อาจจะยากลำบากถ้าไม่ค้างคืน ทางที่สะดวกที่สุดคือรถทัวร์สาย กทม บ้านท่าตอน ซึ่งมี 2 บ.ได้แก่บขส 999 และนิววิริยะ และลงที่จุดจอดเชียงดาว ความที่กลัวว่าจะไม่ทันฉันจึงจองรอบ 16.50 ถึงเชียงดาวเช้าสุดๆ
เวลาผ่านไปด้วยอะไรหลายอย่าง ฉันผู้มีวิถีชีวิตกินและนอนเป็นสรณะไม่ได้เตรียมฟิตร่างกายอย่างที่ได้ตั้งใจเอาไว้ แต่ถึงเวลาก็ต้องไป (จะรอดไหม ตอนนั้นคิด)
16.50 ล้อหมุนจากหมอชิต 2 กระเป๋าและคนขับได้สอบถามว่าลงที่ไหนและจดเอาไว้ว่าโลตัสเชียงดาว รถมุ่งขึ้นเหนือ ฟ้ามืดเร็วมากเพียง 6 โมงเย็นพระอาทิตย์ก็จากไป รถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสม่ำเสมอ
เรื่องระหว่างทาง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
หลังรถเคลื่อนตัวออกจากอาเขต ฉันก็เตรียมความพร้อมที่จะลง โดยการดู GPS เป็นระยะ แล้วเชียงดาวก็ใกล้เข้ามา ท่างกลางหมอกและความมืดที่โรยตัวบนท้องถนน มีไฟled ดวงเล็กๆ ร้อยเป็นเส้นสายโค้งทอดจากฝั่งหนึ่งไปฝั่งหนึ่ง ฉันเห็นคำว่าตลาดเชียงดาว และเชียงดาวอินน์ผ่านไปอย่างรวดเร็วโดยรถไม่มีที่ท่าว่าจะจอด เห้ย เลยแล้ว!!! ไม่ใช่แล้ว
ฉันรีบพุ่งไปบอกคนขับ ทำให้รถชะลออย่างรวดเร็ว พร้อมคำขอโทษขอโพยจากกระเป๋าที่ว่า โธ่อุตส่าห์จดไว้แล้วเชียวน่า ไอเราก็ว่าดีนะไม่หลับ ถ้าหลับนี่มีเงิบ ป้านะป้าลืมเราได้ !
05.00 ฉันลงไปยืนรับลมยะเยือกอยู่ข้างทางที่มีไฟส่องสว่าง แต่ร้างคนอย่างยิ่ง ให้บังเอิญว่ามีรถเหลืองขับมาจอด คนขับเป็นคุณลุงลงมาไต่ถามด้วยน้ำเสียงเนิบนุ่มว่าพวกเราจะไปไหนกัน ลุงกล่าวว่า เขามาดักรอตามรถทัวร์สายนี้ แต่แปลกใจที่ไม่มีคนลงจึงขับตามมา…
(หรือลุงแกจะขับกลับไปนอนแล้วค่อยมาเฝ้าใหม่ก็ไม่ทราบ..)
พวกเราจึงได้รถเหมาไปตลาดเพื่อซื้อเสบียงก่อนขึ้นดอยและไปเขตเรียบร้อย ตลาดสดเชียงดาวเป็นตลาดเล็กๆ ขายของสดกับของสำเร็จรูปแบบส่งเป็นแพคๆ ยังไม่ค่อยมีอาหารพร้อมทานขาย เราจึงซื้อของเสร็จในเวลารวดเร็ว
05.30 รถเหลืองพาเราไปยังที่ทำการเขต ถึงที่ยังฟ้าไม่สางยังมืดมิดและเงียบกริบ เน็ตก็เริ่มสัญญาณไม่ค่อยมี สัก 8 โมงกว่า ถึงเวลาลงทะเบียน ดูวิดีโออบรม สิ่งใหม่ในปีนี้ก็คือ ห้องน้ำที่ไม่ใช่หลุมฝังกลบอีกต่อไป อุจจาระใส่ถุงดำที่ย่อยสลาย เพื่อฝังกลบด้านบนและปัสสาวะใส่ถุงเจลที่ทางเขตเตรียมให้และจะต้องนำลงมาด้วย
สำหรับเรื่องที่เขาเน้นย้ำก็คือ นี่ไม่ใช่ดอยที่มีวัตถุประสงค์เชิงท่องเที่ยวเป็นหลัก แต่เป็นป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ สัตว์ป่าใกล้สูญพันธุ์จึงเปิดให้เยี่ยมชมเพื่อศึกษาธรรมชาติ ขณะที่ปีที่ผ่านๆ มา การท่องเที่ยวได้หลงเหลือมวลขยะจำนวนมากไว้ ซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเปิดฤดูกาลใหม่จึงขอความร่วมมืออย่างเคร่งครัด
หลังจากนั้นเราก็ได้รับของที่เช่าไว้ จนท แนะนำให้พบกับคนนำทางและลูกหาบที่จะไปกับเราขึ้นดอยวันนี้ เมื่อชั่งน้ำหนักเสร็จ ก็ขึ้นรถโฟร์วีลเพื่อเดินทางไปยังเด่นหญ้าขัด โดยรถคันนี้มีนักท่องเที่ยวอีก 4 คนลูกหาบ 2 คน 2 คณะและคนนำทางของอีกกรุ้ปอีก 1 คน
รถออกไปยังถนนใหญ่และมุ่งหน้าขึ้นเขาที่ทางคดเคี้ยวเลี้ยวชัน จนหน้าทิ่มหน้าหงาย ทางไม่มีขอบ โค้งไม่มีกระจก ทำได้เพียงชะลอและบีบแตรสัญญาณก่อนเข้าโค้ง ลมเช้าที่พัดเราที่นั่งหลังกระบะจนหนาวเย็นเล็กน้อย ระหว่างทางลุงคนนำทางก็ได้ชี้ชวนให้ดูไร่ส้มต้นไผ่ และที่ทางของแกที่จะปรับเป็นที่พักอาบน้ำแก่ นทท
เดินทางมาถึงเด่นหญ้าขัด
เราได้เตรียมพร้อมโดยทำธุระส่วนตัวเป็นครั้งสุดท้าย และก็ได้รวมกลุ่มกับคนนำทางอีกครั้ง ซึ่งมีทั้งหมด 9 คน ในจำนวนนี้มีมากับทัวร์โดยตรง
ฉันเดินแถวเรียงเดี่ยวตามคนนำทางไป กม แรกทางชิวๆ แม้จะเป็นทางแคบๆ แต่ไม่ลาดชัน ทุกคนเดินสบายๆ พี่คนนำทางก็ชี้ชวนดูพืชพรรณไปเรื่อย 2 ชม ผ่านไปยังไม่ครึ่งทาง แต่เริ่มมีขึ้นเนินบ้าง
และในที่สุดพวกเราก็เดินทิ้งห่างกับกลุ่มที่เค้ามากับทัวร์ออกไป ทางมีทั้งทางแหวดกหญ้าที่สูงท่วมหัว พื้นดินเย็นๆ กับต้นไม้สูงที่ร่มจนแดดส่องไม่ถึงพื้น ทางเดินริมข้างหินที่ทางเดินลาดเท.บ้างร้อนสลับหนาวชื้นในเส้นทางติดต่อกัน เรียกได้ว่าเคี่ยวกรำคนมากๆ เลี้ยวแค่โค้งหนึ่งก็ไม่เห็นเส้นทางข้างหลัง ทางข้างหน้าก็ไม่รู้ ไม่มีป้ายบอกระยะ ได้แต่บอกตัวเองว่า มันจะต้องถึง!
ทางแยกกิ่วลม!!! เห็นป้ายนี้ไชโยได้เลยไม่กี่เมตรก็คือจุดกางเต็นท์อ่างสลุง เราไปรับของเช่าจากเจ้าหน้าที่ซึ่งเต๊นหันหน้าทางพระอาทิตย์หมดเลยซึ่งมันร้อนมาก แต่ความความเหนื่อยบวกกับรถทัวร์นอนไม่สนิททำให้เราผล็อยหลับไปในเต็นท์ที่อบอ้าว
4 โมงกว่าคนนำทางที่ได้ตามขึ้นมาถึงก็ได้ปลุกเราไปขึ้นยอดเพื่อดูพระอาทิตย์ตก มันคือไฮไลท์ของดอยหลวง !! ฉันที่ตื่นมาแล้วรู้สึกปวดหัว ไม่อยากจะปีนอะไรอีกแล้ว แต่ฉันรู้ดีว่า พลาดไม่ได้!!!
ฉันใส่เสื้อกันหนาว ถือไฟฉายและกล้องฝืนเดินตามๆ เขาไป ทางขึ้นสู่ยอดเริ่มก็เป็นทางชันเกือบ 90 องศา เล่นเอาหอบตั้งแต่ช่วงแรก ขึ้นไปหนาวก็หนาว แต่เหงื่อกลับผุดพรายเต็มใบหน้า หัวทวีความปวดคล้ายจะเป็นลมจนต้องดมยาดม พักซักครู่ แล้วก็เดินต่อไป แทบจะคลานขึ้นถึงยอด
ภาพที่เห็นคนที่ยืนประปรายบริเวณสันเขา ไล่ยาวไปจนเห็นเป็นคนตัวจิ๋วๆ ที่ห่างไกล แสงสีแดงเริ่มทอดแผ่ปกคลุมทั่วไป ไม่รู้เหมือนกันว่ารู้สึกดีตอนไหน
ครู่ยามของการชมพระอาทิตย์ค่อยๆ ลาลับไป ฟ้าเริ่มมืดลง คนทยอยเดินลง ครึ่งทางก็เริ่มเปิดไฟฉาย เดินตามๆ กันไป
กลับที่พักอ่างสลุง มื้อที่รอคอยก็มาถึง มาม่ามื้อนี้กินไปอุ่นทั้งตัว ดาวบนฟ้า เหมือนกับเพดานสามมิติ มันบอกไม่ถูกเลย ยิ่งไปห้องน้ำ เชื่อเถอะว่า ปัสสาวะไปเงยหน้ามอง โอ้โห ห้องน้ำหรูกว่าโรงแรมขึ้นมาทันใด (เพดานสวยมากอิอิ) อุณหภูมิประมาณ 11 องศา ไม่มีสัญญาณมือถือ ไม่สำคัญว่ามีอะไรที่รออยู่ แต่นาทีนี้คือจบในตัวมันเอง ฉันเปลี่ยนชุดแล้วหลับไปในถุงนอน
คนนำทางได้นัดเราไว้ตื่นตี 4 ครึ่งเพื่อทำกิจวัตรให้เรียบร้อย และออกเดินตีห้าเพื่อไปชมพระอาทิตย์ขึ้นที่กิ่วลม (เดินอีกกใครคิดว่าใกล้ๆ ไม่ใช่นะ) ปีนอีกแล้วด้วยซี เช้านี้หนาวเจ็บมือ ถ้าใครเดี้ยงจากเมื่อวานขึ้นวันนี้อีกจะโหดมาก แต่ขาฉันยังไหวอยู่ ข้างบนผาเป็นหินขุรขระแค่ยืนยังหวาดเสียวสำหรับคนกลัวความสูงเช่นฉัน แล้วต้องบาลานซ์ดีๆ เลย