บทนำ https://pantip.com/topic/38091648
บททั้งหมดก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อารัมภบท "รำลึกถึงเฉาโจว" https://pantip.com/topic/38091648
บทที่๑ "ซ่อนกายที่เฉาโจว"https://pantip.com/topic/38163232
บทที่๒ "ชะตาชีวิต"https://pantip.com/topic/38199618
บทที่๓ "พระจันทร์ขึ้นที่ซ่างไห่" https://pantip.com/topic/38203543
บทที่๔ "ความรักที่เจ็บปวด" https://pantip.com/topic/38213699
บทที่๕ "อินทรีหน้าบาก" https://pantip.com/topic/38233678
บทที่ ๖ "แม่กุหลาบน้อย" https://pantip.com/topic/38244845
บทที่ ๗. "ดวงใจอินทรี" https://pantip.com/topic/38258177
บทที่ ๘. "ผู้หญิงของนายน้อยหวง" https://pantip.com/topic/38267801
บทที่ ๙. "คำสัญญา" https://pantip.com/topic/38282233
บทที่ ๑๐. "บททดสอบ" https://pantip.com/topic/38304131
บทที่ ๑๑. "เรื่องของความรัก" https://pantip.com/topic/38326384
บทที่ ๑๒. "มิตรภาพ" ://pantip.com/topic/38346755
บทที่ ๑๓. "สัมพันธภาพ" ://pantip.com/topic/38366155
บทที่ ๑๔. "ใจตรงกัน" ://pantip.com/topic/38380649
เกริ่นนำ : นิยายเรื่องนี้ดำเนินเรื่องหลักที่ซ่างไห่ (เซี่ยงไฮ้) ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางนะคะ ,นิยายเรื่องนี้และบางสถานที่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ
"บทที่ ๑๕.ลิขิตแห่งรัก "
เฉิงเฟิงก้มมองดูหญิงสาวที่อยู่ภายในวงแขน เป็นจังหวะเดียวกับที่ม่านอี้ก็แหงนหน้าขึ้นมองเขา ตลอดเวลาที่เต้นรำพวกเขาทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกันเลย แต่ม่านอี้ก็รู้สึกถึงความอ่อนโยน ถึงแม้ว่าเขามักจะชอบแกล้งเธอก็ตาม
สองหนุ่มสาวเต้นรำกันจนกระทั่งบทเพลงแสนหวานได้จบลง เฉิงเฟิงยิ้มแล้วบอกกับเธอ “คุณยืนรอผมตรงนี้ก่อน”
เขาพูดแล้วเดินไปที่ด้านหน้าของเวที ม่านอี้ได้แต่มองตามโดยไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป
ชายหนุ่มร่างสูงเดินไปถึงเวทีแล้วกระซิบพูดภาษาอังกฤษกับนักดนตรี พร้อมกับถอดสูทที่สวมออกยื่นให้พนักงานคนหนึ่งเพื่อช่วยถือไว้
เพียงครู่เดียว นักร้องชายชาวต่างชาติร่างท้วมก็ประกาศเป็นภาษาอังกฤษให้กับบรรดาลูกค้าที่อยู่กลางฟลอร์เต้นรํา ประโยคที่เต็มไปด้วยความบันเทิงและสร้างความสุขให้กับแขกก็เรียกเสียงหัวเราะและปรบมือชอบใจ ทันทีที่นักร้องชายผู้นั้นกล่าวจบ
นักดนตรีก็เริ่มต้นบรรเลงเพลงผสานด้วยเสียงร้องทรงพลังของนักร้องชาวต่างชาติคนนั้นน้ำเสียงทุ้ม ไพเราะ กับบทเพลง ‘Happy Feet’ ทำให้บรรดานักเต้นเท้าไฟทั้งหลายได้ฟังแล้วถึงกับนั่งเฉยอยู่อีกไม่ได้ ต่างก็ต้องลุกขึ้นมาร่วมวงด้วยทันที
เฉิงเฟิงในชุดเสื้อเชิ้ตผูกเนกไทสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีเข้มยืนอยู่ในกลุ่มของนักเต้นแจ๊ส รูปร่างสูง สมาร์ตดูโดดเด่น เขาเริ่มขยับเท้า นักเต้นแจ๊สทุกคนเริ่มก้าวเท้าตามจังหวะ เฉิงเฟิงก็ก้าวเท้ายาวขยับตามไปด้วยเช่นกัน
เสียงของเปียโน ทรัมเป็ต ผสมผสานกับทรอมโบน แซกโซโฟน ทำนองสนุกสนานประสานไปพร้อมกับลีลานักเต้นของวงดนตรี เสียงดนตรีคลาริเนตที่ดังขึ้นช่วยเร่งแรงกระตุ้นเร่าร้อนให้เสียงปลายรองเท้ากระทบพื้นตามจังหวะเพลง ทำให้แขกต่างก็เต้นพร้อมปรบมือไปด้วย ทั้งทำนองทั้งเสียงเคาะปลายเท้า ทำให้ม่านอี้ที่ยืนดูอยู่ถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก นัยน์ตาคู่สวยเฝ้ามองชายหนุ่มร่างสูงที่เต้นอยู่กับกลุ่มนักเต้นแจ๊สด้วยความทึ่ง
บัดนี้เฉิงเฟิงทิ้งมาดเคร่งขรึมไปจนหมด เขาดูราวกับเด็กหนุ่มที่ร่าเริงคนหนึ่ง ปล่อยตัวตามสบายไปกับจังหวะ โยกตัวและสะบัดปลายเท้าไปกลับ หมุนตัวแล้วเคาะเท้าสร้างจังหวะเสียงได้อย่างน่าฟัง เธอยิ้มแล้วปรบมือตามจังหวะไปกับเขาด้วย
แขกหลายคนที่นั่งอยู่ก็เริ่มลุกขึ้นส่ายตัวเต้นและพาคู่เต้นรำตามจังหวะที่สนุกสนาน เฉิงเฟิงก้าวเท้ายาวมาจนหยุดอยู่ตรงหน้าของม่านอี้พร้อมกับยื่นมือให้เธอ หญิงสาวมีรอยยิ้มหวานแล้ววางมือนุ่มบนฝ่ามืออุ่นของเขา
เฉิงเฟิงกับม่านอี้จับมือกันเต้นรำ รองเท้าส้นสูงไม่เป็นอุปสรรคต่อม่านอี้เลยแม้แต่น้อย เธอเร่งจังหวะเท้าเต้นตามเขาไปด้วย หนุ่มสาวทั้งสองคนไม่สนใจอะไรอีกต่อไป เธอและเขาต่างก็มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กันและกันอย่างสนุกสนาน
เวลาผ่านไปไม่นานนัก เมื่อดนตรีที่ทั้งไพเราะทั้งสนุกได้จบลง หนุ่มสาวทั้งสองต่างก็ยืนอยู่ที่ฟลอร์เต้นรําโดยที่ทั้งคู่ยังจับมือกันอยู่ข้างหนึ่ง ม่านอี้ยืนหอบหายใจจนต้องยกมือขึ้นทาบที่อก แต่นึกแปลกใจที่เฉิงเฟิงดูราวกับไม่มีความเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย
ในขณะที่ทั้งสองหนุ่มสาวยืนมองสบตากันอยู่นั้น ก็มีชายผู้หนึ่งร่างเล็กสวมชุดสูท เดินโซเซมาชนเข้ากับเฉิงเฟิง ชายผู้นั้นรีบเกาะแขนของเฉิงเฟิงไว้แล้วพูดจาฟังไม่รู้เรื่อง กลิ่นเหล้าคลุ้งออกจากปาก คล้ายกับคนเมาที่ยืนทรงตัวไม่ค่อยตรงนัก ชายร่างเล็กหันมาหรี่ตามองม่านอี้แล้วใช้สายตาแทะโลมไปตามรูปร่างของเธอ
เฉิงเฟิงจึงคว้าตัวชายผู้นั้นให้เดินออกจากฟลอร์ไป โดยมีพนักงานชายร่างกำยำตามมาช่วยดูแล
“เขาคงจะเมามาก ไม่มีอะไรหรอก” เฉิงเฟิงหันไปโบกมือบอกกับพนักงาน
อีกด้านหนึ่งชายคนที่นั่งจับตาดูหัวหน้าอินทรีอยู่ เมื่อเฝ้าดูจนมั่นใจแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไปทันที
เฉิงเฟิงเดินไปหาม่านอี้บอกว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้วพาเธอกลับไปนั่งที่โซฟา
พนักงานเดินตามไปส่งเสื้อสูทคืนให้เจ้าของ เฉิงเฟิงรับแล้ววางไว้ด้านข้าง
“คุณหวงเต้นแจ๊สเก่งมากเลยค่ะ คุณเรียนจากที่ไหนคะ”
“ครูสอนเต้นรำผมมีหลายคน” เฉิงเฟิงพูดแล้วชี้มือไปที่กลุ่มนักเต้น
“ พวกนักเต้น บางคนก็เป็นเพื่อนของผม” เฉิงเฟิงพูดแล้วก็ยกมือขึ้นโบกให้กับนักเต้นแจ๊สกลุ่มนั้น
“ถึงแม้พวกเขาจะเป็นชาวต่างชาติ แต่ผมคบกับพวกเขาได้สนิทใจ”
ม่านอี้มองหน้าของเฉิงเฟิงแล้วพอจะเข้าใจคำพูดของเขา
“คุณหนูหลี่ก็มีฝีเท้าไม่เบาเลยนี่นา” เฉิงเฟิงหันไปยิ้มให้กับม่านอี้ แล้วยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นชนแก้วกัน ทั้งสองคนหนุ่มสาวนั่งดื่มกันได้สักครู่ใหญ่ก่อนที่จะลุกขึ้นเพื่อกลับบ้าน
เฉิงเฟิงเดินออกมากับม่านอี้ เธอมองไม่เห็นรถยนต์ “ลุงฝูไปไหนแล้วล่ะคะ”
“ผมให้ลุงตัวฝูกลับไปก่อน เดี๋ยวพวกเรารอให้รถอีกคันมารับ” เฉิงเฟิงบอกและพาม่านอี้เดินห่างออกมาจากสถานที่เต้นรำ
บรรยากาศภายนอกเย็นสบาย เฉิงเฟิงพาเธอเดินเลี้ยวไปที่หัวมุมถนนเพื่อไปอีกเส้นทางหนึ่ง เขาพาเธอมาหยุดอยู่ที่ริมกำแพงด้านหนึ่ง ม่านอี้หันไปเห็นต้นเมเปิ้ลที่กำลังจะเปลี่ยนสี เฉิงเฟิงพลิกตัวมายืนอยู่เบื้องหน้าของม่านอี้ สายตาของเขาจับจ้องมองที่นัยน์ตาคู่สวยและมองลงมาที่ริมฝีปากอิ่ม เธอเห็นรอยยิ้มที่ทำให้หนวดของเขารั้งขึ้น
ม่านอี้รู้สึกใจเต้นทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มเช่นนี้ เสียงหัวใจของตนเองรัวเป็นกลองทีเดียว บัดนี้ทั้งเนื้อตัวทั้งใบหน้านั้นร้อนผ่าวจนเปล่งประกายแดง เธอไม่รู้ว่าเพราะดื่มหนักเกินไปหรือเปล่าจึงรู้สึกเหมือนกับฝ่ามืออุ่นของเฉิงเฟิงประคองที่ใบหน้าของเธอ ทั้งสองคนหนุ่มสาวยืนมองสบสายตากัน ม่านอี้รู้สึกชินกับใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นของเขาและไม่นึกกลัวอีกต่อไป
ใบหน้าคมคายของเฉิงเฟิงใกล้เข้ามาจนกระทั่งม่านอี้รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นและกลิ่นน้ำหอมจากกายของเขา ริมฝีปากของเฉิงเฟิงกำลังใกล้จะแตะถึงริมฝีปากของเธอ
หากแต่ม่านอี้เห็นร่างของใครคนหนึ่งอยู่เบื้องหลังพวกเขา “คุณหวงระวังค่ะ!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงวัตถุแหวกอากาศแทรกเข้ามาทันที เฉิงเฟิงรีบคว้าไหล่ม่านอี้ให้เบี่ยงตัวหลบกับเขาอย่างว่องไวจนทำให้คนที่ลงมือพลาดเป้า คนผู้นั้นจึงรีบจู่โจมเข้ามาอีก
เฉิงเฟิงป้องตัวม่านอี้ให้อยู่ด้านหลัง พร้อมกับซัดหมัดแข็งแกร่งออกไปที่ลำตัวฝ่ายตรงข้ามอย่างแรงจนทำให้มันถึงกับผงะตัวหงายหลัง
เฉิงเฟิงบอกให้ม่านอี้ไปยืนหลบอยู่อีกด้าน หญิงสาวกระชับกระเป๋าแน่นรีบวิ่งไปหลบตามที่เขาบอก
คนผู้นั้นตั้งหลักได้ก็กระชับอาวุธมีดยาวในมือ โถมตัวกลับเข้ามา แต่ก็เจอเข้ากับกระบองอินทรีของเฉิงเฟิงที่ยกขึ้นต้านรับและฟาดไปที่ตำแหน่งสำคัญจนมันทรุดตัวลง หัวหน้าอินทรีปัดอาวุธในมือของอีกฝ่ายกระเด็นไป แล้วยกเท้าขึ้นถีบมันไปจนล้มลงกับพื้น
เพียงพริบตาพวกของมันอีกสี่ห้าคนก็วิ่งตามมาสมทบ ม่านอี้ยืนเฝ้ามองด้วยใจระทึกแล้วตัดสินใจเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบปืนพกออกมา
ฝ่ายศัตรูเริ่มรู้สึกกระหยิ่มเมื่อเห็นว่าเฉิงเฟิงตกอยู่ในวงล้อม คนเป็นหัวหน้าจึงพูดขึ้น
“เขาร่ำลือกันว่าอินทรีหน้าบากร้ายกาจนัก วันนี้ขอพิสูจน์ดูสิว่าเป็นจริงไหม”
หากแต่เฉิงเฟิงกลับยังมีสีหน้าท่าทางเยือกเย็นราวกับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“พวกแกอยากจะลองก็เข้ามา” หัวหน้าอินทรีพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากจนหนวดรั้งขึ้นแล้วหัวเราะลั่น
“แต่คงต้องผ่านด่านลูกน้องของฉันเสียก่อน”
คนเป็นหัวหน้าของอีกฝ่ายขมวดคิ้วมองจ้องหน้ากับอินทรีหน้าบาก ทันใดนั้นเสียงฝีเท้านับสิบก็ใกล้เข้า มันจึงเริ่มรู้ตัวว่าพวกมันหลงกลแล้ว
“พวกมันตามมาได้อย่างไงกัน”
ลูกน้องสำนักอินทรีพากันเข้ามาล้อมวงพวกมันอีกที หัวหน้าอินทรีจึงสั่งการไป ลูกน้องต่างแก๊งก็พากันจู่โจมอีกฝ่ายทันที พวกมันยังคงใช้เพียงอาวุธมีดกับขวาน
หัวหน้าฝ่ายตรงข้ามต่อสู้และฝ่าวงล้อมออกมาได้ก็โถมตัวเข้ามาหาเฉิงเฟิงโดยไม่ยั้ง
หัวหน้าอินทรีหยิบอาวุธคู่ใจออกมาดึงเป็นกระบอกยาว หัวหน้าผู้นั้นกัดฟัดกรอดแล้วใช้ดาบยาวของตนเพื่อวัดฝีมือกับหัวหน้าอินทรี ระหว่างการต่อสู้เฉิงเฟิงก็รู้ว่าฝีมือของหัวหน้าคนนี้ไม่เบาเลยทีเดียว ทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนคนเป็นหัวหน้าของอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกสนุกเมื่อได้ปะทะฝีมือกับหัวหน้าอินทรีและอยากรู้ว่าใครจะมีฝีมือเป็นที่ประจักษ์
黃成風 ยอดบุรุษซ่อนคมพยัคฆ์ : ภาคหวงเฉิงเฟิง บทที่ ๑๕. ลิขิตแห่งรัก
บททั้งหมดก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เกริ่นนำ : นิยายเรื่องนี้ดำเนินเรื่องหลักที่ซ่างไห่ (เซี่ยงไฮ้) ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางนะคะ ,นิยายเรื่องนี้และบางสถานที่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ
เฉิงเฟิงก้มมองดูหญิงสาวที่อยู่ภายในวงแขน เป็นจังหวะเดียวกับที่ม่านอี้ก็แหงนหน้าขึ้นมองเขา ตลอดเวลาที่เต้นรำพวกเขาทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกันเลย แต่ม่านอี้ก็รู้สึกถึงความอ่อนโยน ถึงแม้ว่าเขามักจะชอบแกล้งเธอก็ตาม
สองหนุ่มสาวเต้นรำกันจนกระทั่งบทเพลงแสนหวานได้จบลง เฉิงเฟิงยิ้มแล้วบอกกับเธอ “คุณยืนรอผมตรงนี้ก่อน”
เขาพูดแล้วเดินไปที่ด้านหน้าของเวที ม่านอี้ได้แต่มองตามโดยไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป
ชายหนุ่มร่างสูงเดินไปถึงเวทีแล้วกระซิบพูดภาษาอังกฤษกับนักดนตรี พร้อมกับถอดสูทที่สวมออกยื่นให้พนักงานคนหนึ่งเพื่อช่วยถือไว้
เพียงครู่เดียว นักร้องชายชาวต่างชาติร่างท้วมก็ประกาศเป็นภาษาอังกฤษให้กับบรรดาลูกค้าที่อยู่กลางฟลอร์เต้นรํา ประโยคที่เต็มไปด้วยความบันเทิงและสร้างความสุขให้กับแขกก็เรียกเสียงหัวเราะและปรบมือชอบใจ ทันทีที่นักร้องชายผู้นั้นกล่าวจบ
นักดนตรีก็เริ่มต้นบรรเลงเพลงผสานด้วยเสียงร้องทรงพลังของนักร้องชาวต่างชาติคนนั้นน้ำเสียงทุ้ม ไพเราะ กับบทเพลง ‘Happy Feet’ ทำให้บรรดานักเต้นเท้าไฟทั้งหลายได้ฟังแล้วถึงกับนั่งเฉยอยู่อีกไม่ได้ ต่างก็ต้องลุกขึ้นมาร่วมวงด้วยทันที
เฉิงเฟิงในชุดเสื้อเชิ้ตผูกเนกไทสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีเข้มยืนอยู่ในกลุ่มของนักเต้นแจ๊ส รูปร่างสูง สมาร์ตดูโดดเด่น เขาเริ่มขยับเท้า นักเต้นแจ๊สทุกคนเริ่มก้าวเท้าตามจังหวะ เฉิงเฟิงก็ก้าวเท้ายาวขยับตามไปด้วยเช่นกัน
เสียงของเปียโน ทรัมเป็ต ผสมผสานกับทรอมโบน แซกโซโฟน ทำนองสนุกสนานประสานไปพร้อมกับลีลานักเต้นของวงดนตรี เสียงดนตรีคลาริเนตที่ดังขึ้นช่วยเร่งแรงกระตุ้นเร่าร้อนให้เสียงปลายรองเท้ากระทบพื้นตามจังหวะเพลง ทำให้แขกต่างก็เต้นพร้อมปรบมือไปด้วย ทั้งทำนองทั้งเสียงเคาะปลายเท้า ทำให้ม่านอี้ที่ยืนดูอยู่ถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก นัยน์ตาคู่สวยเฝ้ามองชายหนุ่มร่างสูงที่เต้นอยู่กับกลุ่มนักเต้นแจ๊สด้วยความทึ่ง
บัดนี้เฉิงเฟิงทิ้งมาดเคร่งขรึมไปจนหมด เขาดูราวกับเด็กหนุ่มที่ร่าเริงคนหนึ่ง ปล่อยตัวตามสบายไปกับจังหวะ โยกตัวและสะบัดปลายเท้าไปกลับ หมุนตัวแล้วเคาะเท้าสร้างจังหวะเสียงได้อย่างน่าฟัง เธอยิ้มแล้วปรบมือตามจังหวะไปกับเขาด้วย
แขกหลายคนที่นั่งอยู่ก็เริ่มลุกขึ้นส่ายตัวเต้นและพาคู่เต้นรำตามจังหวะที่สนุกสนาน เฉิงเฟิงก้าวเท้ายาวมาจนหยุดอยู่ตรงหน้าของม่านอี้พร้อมกับยื่นมือให้เธอ หญิงสาวมีรอยยิ้มหวานแล้ววางมือนุ่มบนฝ่ามืออุ่นของเขา
เฉิงเฟิงกับม่านอี้จับมือกันเต้นรำ รองเท้าส้นสูงไม่เป็นอุปสรรคต่อม่านอี้เลยแม้แต่น้อย เธอเร่งจังหวะเท้าเต้นตามเขาไปด้วย หนุ่มสาวทั้งสองคนไม่สนใจอะไรอีกต่อไป เธอและเขาต่างก็มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กันและกันอย่างสนุกสนาน
เวลาผ่านไปไม่นานนัก เมื่อดนตรีที่ทั้งไพเราะทั้งสนุกได้จบลง หนุ่มสาวทั้งสองต่างก็ยืนอยู่ที่ฟลอร์เต้นรําโดยที่ทั้งคู่ยังจับมือกันอยู่ข้างหนึ่ง ม่านอี้ยืนหอบหายใจจนต้องยกมือขึ้นทาบที่อก แต่นึกแปลกใจที่เฉิงเฟิงดูราวกับไม่มีความเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย
ในขณะที่ทั้งสองหนุ่มสาวยืนมองสบตากันอยู่นั้น ก็มีชายผู้หนึ่งร่างเล็กสวมชุดสูท เดินโซเซมาชนเข้ากับเฉิงเฟิง ชายผู้นั้นรีบเกาะแขนของเฉิงเฟิงไว้แล้วพูดจาฟังไม่รู้เรื่อง กลิ่นเหล้าคลุ้งออกจากปาก คล้ายกับคนเมาที่ยืนทรงตัวไม่ค่อยตรงนัก ชายร่างเล็กหันมาหรี่ตามองม่านอี้แล้วใช้สายตาแทะโลมไปตามรูปร่างของเธอ
เฉิงเฟิงจึงคว้าตัวชายผู้นั้นให้เดินออกจากฟลอร์ไป โดยมีพนักงานชายร่างกำยำตามมาช่วยดูแล
“เขาคงจะเมามาก ไม่มีอะไรหรอก” เฉิงเฟิงหันไปโบกมือบอกกับพนักงาน
อีกด้านหนึ่งชายคนที่นั่งจับตาดูหัวหน้าอินทรีอยู่ เมื่อเฝ้าดูจนมั่นใจแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไปทันที
เฉิงเฟิงเดินไปหาม่านอี้บอกว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้วพาเธอกลับไปนั่งที่โซฟา
พนักงานเดินตามไปส่งเสื้อสูทคืนให้เจ้าของ เฉิงเฟิงรับแล้ววางไว้ด้านข้าง
“คุณหวงเต้นแจ๊สเก่งมากเลยค่ะ คุณเรียนจากที่ไหนคะ”
“ครูสอนเต้นรำผมมีหลายคน” เฉิงเฟิงพูดแล้วชี้มือไปที่กลุ่มนักเต้น
“ พวกนักเต้น บางคนก็เป็นเพื่อนของผม” เฉิงเฟิงพูดแล้วก็ยกมือขึ้นโบกให้กับนักเต้นแจ๊สกลุ่มนั้น
“ถึงแม้พวกเขาจะเป็นชาวต่างชาติ แต่ผมคบกับพวกเขาได้สนิทใจ”
ม่านอี้มองหน้าของเฉิงเฟิงแล้วพอจะเข้าใจคำพูดของเขา
“คุณหนูหลี่ก็มีฝีเท้าไม่เบาเลยนี่นา” เฉิงเฟิงหันไปยิ้มให้กับม่านอี้ แล้วยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นชนแก้วกัน ทั้งสองคนหนุ่มสาวนั่งดื่มกันได้สักครู่ใหญ่ก่อนที่จะลุกขึ้นเพื่อกลับบ้าน
เฉิงเฟิงเดินออกมากับม่านอี้ เธอมองไม่เห็นรถยนต์ “ลุงฝูไปไหนแล้วล่ะคะ”
“ผมให้ลุงตัวฝูกลับไปก่อน เดี๋ยวพวกเรารอให้รถอีกคันมารับ” เฉิงเฟิงบอกและพาม่านอี้เดินห่างออกมาจากสถานที่เต้นรำ
บรรยากาศภายนอกเย็นสบาย เฉิงเฟิงพาเธอเดินเลี้ยวไปที่หัวมุมถนนเพื่อไปอีกเส้นทางหนึ่ง เขาพาเธอมาหยุดอยู่ที่ริมกำแพงด้านหนึ่ง ม่านอี้หันไปเห็นต้นเมเปิ้ลที่กำลังจะเปลี่ยนสี เฉิงเฟิงพลิกตัวมายืนอยู่เบื้องหน้าของม่านอี้ สายตาของเขาจับจ้องมองที่นัยน์ตาคู่สวยและมองลงมาที่ริมฝีปากอิ่ม เธอเห็นรอยยิ้มที่ทำให้หนวดของเขารั้งขึ้น
ม่านอี้รู้สึกใจเต้นทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มเช่นนี้ เสียงหัวใจของตนเองรัวเป็นกลองทีเดียว บัดนี้ทั้งเนื้อตัวทั้งใบหน้านั้นร้อนผ่าวจนเปล่งประกายแดง เธอไม่รู้ว่าเพราะดื่มหนักเกินไปหรือเปล่าจึงรู้สึกเหมือนกับฝ่ามืออุ่นของเฉิงเฟิงประคองที่ใบหน้าของเธอ ทั้งสองคนหนุ่มสาวยืนมองสบสายตากัน ม่านอี้รู้สึกชินกับใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นของเขาและไม่นึกกลัวอีกต่อไป
ใบหน้าคมคายของเฉิงเฟิงใกล้เข้ามาจนกระทั่งม่านอี้รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นและกลิ่นน้ำหอมจากกายของเขา ริมฝีปากของเฉิงเฟิงกำลังใกล้จะแตะถึงริมฝีปากของเธอ
หากแต่ม่านอี้เห็นร่างของใครคนหนึ่งอยู่เบื้องหลังพวกเขา “คุณหวงระวังค่ะ!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงวัตถุแหวกอากาศแทรกเข้ามาทันที เฉิงเฟิงรีบคว้าไหล่ม่านอี้ให้เบี่ยงตัวหลบกับเขาอย่างว่องไวจนทำให้คนที่ลงมือพลาดเป้า คนผู้นั้นจึงรีบจู่โจมเข้ามาอีก
เฉิงเฟิงป้องตัวม่านอี้ให้อยู่ด้านหลัง พร้อมกับซัดหมัดแข็งแกร่งออกไปที่ลำตัวฝ่ายตรงข้ามอย่างแรงจนทำให้มันถึงกับผงะตัวหงายหลัง
เฉิงเฟิงบอกให้ม่านอี้ไปยืนหลบอยู่อีกด้าน หญิงสาวกระชับกระเป๋าแน่นรีบวิ่งไปหลบตามที่เขาบอก
คนผู้นั้นตั้งหลักได้ก็กระชับอาวุธมีดยาวในมือ โถมตัวกลับเข้ามา แต่ก็เจอเข้ากับกระบองอินทรีของเฉิงเฟิงที่ยกขึ้นต้านรับและฟาดไปที่ตำแหน่งสำคัญจนมันทรุดตัวลง หัวหน้าอินทรีปัดอาวุธในมือของอีกฝ่ายกระเด็นไป แล้วยกเท้าขึ้นถีบมันไปจนล้มลงกับพื้น
เพียงพริบตาพวกของมันอีกสี่ห้าคนก็วิ่งตามมาสมทบ ม่านอี้ยืนเฝ้ามองด้วยใจระทึกแล้วตัดสินใจเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบปืนพกออกมา
ฝ่ายศัตรูเริ่มรู้สึกกระหยิ่มเมื่อเห็นว่าเฉิงเฟิงตกอยู่ในวงล้อม คนเป็นหัวหน้าจึงพูดขึ้น
“เขาร่ำลือกันว่าอินทรีหน้าบากร้ายกาจนัก วันนี้ขอพิสูจน์ดูสิว่าเป็นจริงไหม”
หากแต่เฉิงเฟิงกลับยังมีสีหน้าท่าทางเยือกเย็นราวกับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“พวกแกอยากจะลองก็เข้ามา” หัวหน้าอินทรีพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากจนหนวดรั้งขึ้นแล้วหัวเราะลั่น
“แต่คงต้องผ่านด่านลูกน้องของฉันเสียก่อน”
คนเป็นหัวหน้าของอีกฝ่ายขมวดคิ้วมองจ้องหน้ากับอินทรีหน้าบาก ทันใดนั้นเสียงฝีเท้านับสิบก็ใกล้เข้า มันจึงเริ่มรู้ตัวว่าพวกมันหลงกลแล้ว
“พวกมันตามมาได้อย่างไงกัน”
ลูกน้องสำนักอินทรีพากันเข้ามาล้อมวงพวกมันอีกที หัวหน้าอินทรีจึงสั่งการไป ลูกน้องต่างแก๊งก็พากันจู่โจมอีกฝ่ายทันที พวกมันยังคงใช้เพียงอาวุธมีดกับขวาน
หัวหน้าฝ่ายตรงข้ามต่อสู้และฝ่าวงล้อมออกมาได้ก็โถมตัวเข้ามาหาเฉิงเฟิงโดยไม่ยั้ง
หัวหน้าอินทรีหยิบอาวุธคู่ใจออกมาดึงเป็นกระบอกยาว หัวหน้าผู้นั้นกัดฟัดกรอดแล้วใช้ดาบยาวของตนเพื่อวัดฝีมือกับหัวหน้าอินทรี ระหว่างการต่อสู้เฉิงเฟิงก็รู้ว่าฝีมือของหัวหน้าคนนี้ไม่เบาเลยทีเดียว ทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนคนเป็นหัวหน้าของอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกสนุกเมื่อได้ปะทะฝีมือกับหัวหน้าอินทรีและอยากรู้ว่าใครจะมีฝีมือเป็นที่ประจักษ์