黃成風 ยอดบุรุษซ่อนคมพยัคฆ์ : ภาคหวงเฉิงเฟิง บทที่ ๑๕. ลิขิตแห่งรัก

บทนำ https://pantip.com/topic/38091648
บททั้งหมดก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

เกริ่นนำ : นิยายเรื่องนี้ดำเนินเรื่องหลักที่ซ่างไห่ (เซี่ยงไฮ้) ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางนะคะ ,นิยายเรื่องนี้และบางสถานที่เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด  
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ





"บทที่ ๑๕.ลิขิตแห่งรัก "


              เฉิงเฟิงก้มมองดูหญิงสาวที่อยู่ภายในวงแขน เป็นจังหวะเดียวกับที่ม่านอี้ก็แหงนหน้าขึ้นมองเขา ตลอดเวลาที่เต้นรำพวกเขาทั้งสองคนไม่ได้พูดคุยกันเลย แต่ม่านอี้ก็รู้สึกถึงความอ่อนโยน ถึงแม้ว่าเขามักจะชอบแกล้งเธอก็ตาม  
                   สองหนุ่มสาวเต้นรำกันจนกระทั่งบทเพลงแสนหวานได้จบลง  เฉิงเฟิงยิ้มแล้วบอกกับเธอ “คุณยืนรอผมตรงนี้ก่อน”
                   เขาพูดแล้วเดินไปที่ด้านหน้าของเวที ม่านอี้ได้แต่มองตามโดยไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรต่อไป
              
                 ชายหนุ่มร่างสูงเดินไปถึงเวทีแล้วกระซิบพูดภาษาอังกฤษกับนักดนตรี พร้อมกับถอดสูทที่สวมออกยื่นให้พนักงานคนหนึ่งเพื่อช่วยถือไว้
                เพียงครู่เดียว นักร้องชายชาวต่างชาติร่างท้วมก็ประกาศเป็นภาษาอังกฤษให้กับบรรดาลูกค้าที่อยู่กลางฟลอร์เต้นรํา ประโยคที่เต็มไปด้วยความบันเทิงและสร้างความสุขให้กับแขกก็เรียกเสียงหัวเราะและปรบมือชอบใจ ทันทีที่นักร้องชายผู้นั้นกล่าวจบ

                 นักดนตรีก็เริ่มต้นบรรเลงเพลงผสานด้วยเสียงร้องทรงพลังของนักร้องชาวต่างชาติคนนั้นน้ำเสียงทุ้ม ไพเราะ กับบทเพลง ‘Happy Feet’  ทำให้บรรดานักเต้นเท้าไฟทั้งหลายได้ฟังแล้วถึงกับนั่งเฉยอยู่อีกไม่ได้ ต่างก็ต้องลุกขึ้นมาร่วมวงด้วยทันที

                เฉิงเฟิงในชุดเสื้อเชิ้ตผูกเนกไทสวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีเข้มยืนอยู่ในกลุ่มของนักเต้นแจ๊ส รูปร่างสูง สมาร์ตดูโดดเด่น เขาเริ่มขยับเท้า นักเต้นแจ๊สทุกคนเริ่มก้าวเท้าตามจังหวะ เฉิงเฟิงก็ก้าวเท้ายาวขยับตามไปด้วยเช่นกัน
                เสียงของเปียโน ทรัมเป็ต ผสมผสานกับทรอมโบน แซกโซโฟน  ทำนองสนุกสนานประสานไปพร้อมกับลีลานักเต้นของวงดนตรี เสียงดนตรีคลาริเนตที่ดังขึ้นช่วยเร่งแรงกระตุ้นเร่าร้อนให้เสียงปลายรองเท้ากระทบพื้นตามจังหวะเพลง ทำให้แขกต่างก็เต้นพร้อมปรบมือไปด้วย ทั้งทำนองทั้งเสียงเคาะปลายเท้า ทำให้ม่านอี้ที่ยืนดูอยู่ถึงกับยกมือขึ้นปิดปาก นัยน์ตาคู่สวยเฝ้ามองชายหนุ่มร่างสูงที่เต้นอยู่กับกลุ่มนักเต้นแจ๊สด้วยความทึ่ง
            
                บัดนี้เฉิงเฟิงทิ้งมาดเคร่งขรึมไปจนหมด เขาดูราวกับเด็กหนุ่มที่ร่าเริงคนหนึ่ง ปล่อยตัวตามสบายไปกับจังหวะ โยกตัวและสะบัดปลายเท้าไปกลับ หมุนตัวแล้วเคาะเท้าสร้างจังหวะเสียงได้อย่างน่าฟัง เธอยิ้มแล้วปรบมือตามจังหวะไปกับเขาด้วย
                 แขกหลายคนที่นั่งอยู่ก็เริ่มลุกขึ้นส่ายตัวเต้นและพาคู่เต้นรำตามจังหวะที่สนุกสนาน  เฉิงเฟิงก้าวเท้ายาวมาจนหยุดอยู่ตรงหน้าของม่านอี้พร้อมกับยื่นมือให้เธอ หญิงสาวมีรอยยิ้มหวานแล้ววางมือนุ่มบนฝ่ามืออุ่นของเขา

                เฉิงเฟิงกับม่านอี้จับมือกันเต้นรำ รองเท้าส้นสูงไม่เป็นอุปสรรคต่อม่านอี้เลยแม้แต่น้อย เธอเร่งจังหวะเท้าเต้นตามเขาไปด้วย หนุ่มสาวทั้งสองคนไม่สนใจอะไรอีกต่อไป เธอและเขาต่างก็มีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กันและกันอย่างสนุกสนาน

                เวลาผ่านไปไม่นานนัก เมื่อดนตรีที่ทั้งไพเราะทั้งสนุกได้จบลง หนุ่มสาวทั้งสองต่างก็ยืนอยู่ที่ฟลอร์เต้นรําโดยที่ทั้งคู่ยังจับมือกันอยู่ข้างหนึ่ง  ม่านอี้ยืนหอบหายใจจนต้องยกมือขึ้นทาบที่อก แต่นึกแปลกใจที่เฉิงเฟิงดูราวกับไม่มีความเหน็ดเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย
    
               ในขณะที่ทั้งสองหนุ่มสาวยืนมองสบตากันอยู่นั้น ก็มีชายผู้หนึ่งร่างเล็กสวมชุดสูท เดินโซเซมาชนเข้ากับเฉิงเฟิง  ชายผู้นั้นรีบเกาะแขนของเฉิงเฟิงไว้แล้วพูดจาฟังไม่รู้เรื่อง กลิ่นเหล้าคลุ้งออกจากปาก คล้ายกับคนเมาที่ยืนทรงตัวไม่ค่อยตรงนัก ชายร่างเล็กหันมาหรี่ตามองม่านอี้แล้วใช้สายตาแทะโลมไปตามรูปร่างของเธอ
                    เฉิงเฟิงจึงคว้าตัวชายผู้นั้นให้เดินออกจากฟลอร์ไป โดยมีพนักงานชายร่างกำยำตามมาช่วยดูแล
                    “เขาคงจะเมามาก ไม่มีอะไรหรอก” เฉิงเฟิงหันไปโบกมือบอกกับพนักงาน  

                    อีกด้านหนึ่งชายคนที่นั่งจับตาดูหัวหน้าอินทรีอยู่ เมื่อเฝ้าดูจนมั่นใจแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไปทันที

                    เฉิงเฟิงเดินไปหาม่านอี้บอกว่าไม่มีปัญหาอะไรแล้วพาเธอกลับไปนั่งที่โซฟา
                    พนักงานเดินตามไปส่งเสื้อสูทคืนให้เจ้าของ เฉิงเฟิงรับแล้ววางไว้ด้านข้าง
                   “คุณหวงเต้นแจ๊สเก่งมากเลยค่ะ คุณเรียนจากที่ไหนคะ”
                    “ครูสอนเต้นรำผมมีหลายคน” เฉิงเฟิงพูดแล้วชี้มือไปที่กลุ่มนักเต้น
                   “ พวกนักเต้น บางคนก็เป็นเพื่อนของผม” เฉิงเฟิงพูดแล้วก็ยกมือขึ้นโบกให้กับนักเต้นแจ๊สกลุ่มนั้น  
                     “ถึงแม้พวกเขาจะเป็นชาวต่างชาติ แต่ผมคบกับพวกเขาได้สนิทใจ”
                     ม่านอี้มองหน้าของเฉิงเฟิงแล้วพอจะเข้าใจคำพูดของเขา
                   “คุณหนูหลี่ก็มีฝีเท้าไม่เบาเลยนี่นา” เฉิงเฟิงหันไปยิ้มให้กับม่านอี้ แล้วยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นชนแก้วกัน ทั้งสองคนหนุ่มสาวนั่งดื่มกันได้สักครู่ใหญ่ก่อนที่จะลุกขึ้นเพื่อกลับบ้าน

                   เฉิงเฟิงเดินออกมากับม่านอี้ เธอมองไม่เห็นรถยนต์ “ลุงฝูไปไหนแล้วล่ะคะ”
                  “ผมให้ลุงตัวฝูกลับไปก่อน เดี๋ยวพวกเรารอให้รถอีกคันมารับ” เฉิงเฟิงบอกและพาม่านอี้เดินห่างออกมาจากสถานที่เต้นรำ
                
                   บรรยากาศภายนอกเย็นสบาย เฉิงเฟิงพาเธอเดินเลี้ยวไปที่หัวมุมถนนเพื่อไปอีกเส้นทางหนึ่ง เขาพาเธอมาหยุดอยู่ที่ริมกำแพงด้านหนึ่ง ม่านอี้หันไปเห็นต้นเมเปิ้ลที่กำลังจะเปลี่ยนสี  เฉิงเฟิงพลิกตัวมายืนอยู่เบื้องหน้าของม่านอี้ สายตาของเขาจับจ้องมองที่นัยน์ตาคู่สวยและมองลงมาที่ริมฝีปากอิ่ม เธอเห็นรอยยิ้มที่ทำให้หนวดของเขารั้งขึ้น

                   ม่านอี้รู้สึกใจเต้นทุกครั้งที่เห็นรอยยิ้มเช่นนี้ เสียงหัวใจของตนเองรัวเป็นกลองทีเดียว บัดนี้ทั้งเนื้อตัวทั้งใบหน้านั้นร้อนผ่าวจนเปล่งประกายแดง เธอไม่รู้ว่าเพราะดื่มหนักเกินไปหรือเปล่าจึงรู้สึกเหมือนกับฝ่ามืออุ่นของเฉิงเฟิงประคองที่ใบหน้าของเธอ  ทั้งสองคนหนุ่มสาวยืนมองสบสายตากัน ม่านอี้รู้สึกชินกับใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นของเขาและไม่นึกกลัวอีกต่อไป
                   ใบหน้าคมคายของเฉิงเฟิงใกล้เข้ามาจนกระทั่งม่านอี้รู้สึกถึงลมหายใจอุ่นและกลิ่นน้ำหอมจากกายของเขา ริมฝีปากของเฉิงเฟิงกำลังใกล้จะแตะถึงริมฝีปากของเธอ
                  หากแต่ม่านอี้เห็นร่างของใครคนหนึ่งอยู่เบื้องหลังพวกเขา “คุณหวงระวังค่ะ!”
          
                 ทันใดนั้นก็มีเสียงวัตถุแหวกอากาศแทรกเข้ามาทันที เฉิงเฟิงรีบคว้าไหล่ม่านอี้ให้เบี่ยงตัวหลบกับเขาอย่างว่องไวจนทำให้คนที่ลงมือพลาดเป้า คนผู้นั้นจึงรีบจู่โจมเข้ามาอีก
                 เฉิงเฟิงป้องตัวม่านอี้ให้อยู่ด้านหลัง พร้อมกับซัดหมัดแข็งแกร่งออกไปที่ลำตัวฝ่ายตรงข้ามอย่างแรงจนทำให้มันถึงกับผงะตัวหงายหลัง
                 เฉิงเฟิงบอกให้ม่านอี้ไปยืนหลบอยู่อีกด้าน หญิงสาวกระชับกระเป๋าแน่นรีบวิ่งไปหลบตามที่เขาบอก
                 คนผู้นั้นตั้งหลักได้ก็กระชับอาวุธมีดยาวในมือ โถมตัวกลับเข้ามา แต่ก็เจอเข้ากับกระบองอินทรีของเฉิงเฟิงที่ยกขึ้นต้านรับและฟาดไปที่ตำแหน่งสำคัญจนมันทรุดตัวลง หัวหน้าอินทรีปัดอาวุธในมือของอีกฝ่ายกระเด็นไป แล้วยกเท้าขึ้นถีบมันไปจนล้มลงกับพื้น

                เพียงพริบตาพวกของมันอีกสี่ห้าคนก็วิ่งตามมาสมทบ ม่านอี้ยืนเฝ้ามองด้วยใจระทึกแล้วตัดสินใจเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบปืนพกออกมา
                ฝ่ายศัตรูเริ่มรู้สึกกระหยิ่มเมื่อเห็นว่าเฉิงเฟิงตกอยู่ในวงล้อม คนเป็นหัวหน้าจึงพูดขึ้น
                 “เขาร่ำลือกันว่าอินทรีหน้าบากร้ายกาจนัก วันนี้ขอพิสูจน์ดูสิว่าเป็นจริงไหม”
                หากแต่เฉิงเฟิงกลับยังมีสีหน้าท่าทางเยือกเย็นราวกับไม่สะทกสะท้านแม้แต่น้อย
                “พวกแกอยากจะลองก็เข้ามา” หัวหน้าอินทรีพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่มุมปากจนหนวดรั้งขึ้นแล้วหัวเราะลั่น
                “แต่คงต้องผ่านด่านลูกน้องของฉันเสียก่อน”

                คนเป็นหัวหน้าของอีกฝ่ายขมวดคิ้วมองจ้องหน้ากับอินทรีหน้าบาก ทันใดนั้นเสียงฝีเท้านับสิบก็ใกล้เข้า มันจึงเริ่มรู้ตัวว่าพวกมันหลงกลแล้ว
                “พวกมันตามมาได้อย่างไงกัน”  

                 ลูกน้องสำนักอินทรีพากันเข้ามาล้อมวงพวกมันอีกที หัวหน้าอินทรีจึงสั่งการไป ลูกน้องต่างแก๊งก็พากันจู่โจมอีกฝ่ายทันที พวกมันยังคงใช้เพียงอาวุธมีดกับขวาน
                หัวหน้าฝ่ายตรงข้ามต่อสู้และฝ่าวงล้อมออกมาได้ก็โถมตัวเข้ามาหาเฉิงเฟิงโดยไม่ยั้ง
                หัวหน้าอินทรีหยิบอาวุธคู่ใจออกมาดึงเป็นกระบอกยาว หัวหน้าผู้นั้นกัดฟัดกรอดแล้วใช้ดาบยาวของตนเพื่อวัดฝีมือกับหัวหน้าอินทรี ระหว่างการต่อสู้เฉิงเฟิงก็รู้ว่าฝีมือของหัวหน้าคนนี้ไม่เบาเลยทีเดียว ทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือดจนคนเป็นหัวหน้าของอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกสนุกเมื่อได้ปะทะฝีมือกับหัวหน้าอินทรีและอยากรู้ว่าใครจะมีฝีมือเป็นที่ประจักษ์
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่