บทนำ https://pantip.com/topic/38091648
บททั้งหมดก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้อารัมภบท "รำลึกถึงเฉาโจว" https://pantip.com/topic/38091648
บทที่๑ "ซ่อนกายที่เฉาโจว"https://pantip.com/topic/38163232
บทที่๒ "ชะตาชีวิต"https://pantip.com/topic/38199618
บทที่๓ "พระจันทร์ขึ้นที่ซ่างไห่" https://pantip.com/topic/38203543
บทที่๔ "ความรักที่เจ็บปวด" https://pantip.com/topic/38213699
บทที่๕ "อินทรีหน้าบาก" https://pantip.com/topic/38233678
บทที่ ๖ "แม่กุหลาบน้อย" https://pantip.com/topic/38244845
เกริ่นนำ : ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางแทนนะคะ ส่วนบทสนทนาซึ่งควรจะเป็นภาษาแต้จิ๋ว จะบรรยายแทนด้วยคำว่าพูดภาษาจีนสำเนียงท้องถิ่น ,นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ
"บทที่ ๗. ดวงใจอินทรี "
หลังจากที่ออกมาจากตลาดหงโข่ว หัวหน้าแก๊งอินทรีพบกับลูกน้องคนสนิทที่เขาส่งไปคอยติดตามข่าวคนที่ได้ปล่อยตัวไป อาเล่อค้อมศีรษะคำนับให้ก่อนรายงานให้เจ้านายได้รับทราบ
“เป็นคนของแก๊งตงเปาจริง ๆ ครับ”
เฉิงเฟิงพยักหน้าพร้อมกับนึกในใจ หลายปีมานี้แม้สถานการณ์โดยรอบจะเต็มไปด้วยอันตรายจากเหล่าจารชนและการแสวงหาผลประโยชน์ระหว่างหลายกลุ่มแก๊ง ก็ยังไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องถึงสถานที่ในเขตของแก๊งอินทรี แต่ช่วงสองปีที่ผ่านมานี้กลับเริ่มมีเรื่องก่อกวนเกิดขึ้นมาภายในเขตที่เขาดูแลอยู่
“สั่งคนคอยจับตาแบบทิ้งระยะไว้ก่อน” เฉิงเฟิงหันไปสั่งกับลูกน้องคนสนิท พร้อมกับบอกให้เตรียมตัวเพื่อติดตามเขาไปที่งานเลี้ยงในเย็นวันนี้ อาเล่อค้อมศีรษะรับทราบคำสั่ง..
เฉิงเฟิงกลับถึงคฤหาสน์บิดาบุญธรรมในเวลาบ่าย
บรรดาคนรับใช้ที่ต่างก็ยังง่วนอยู่กับงานของตน เมื่อเห็นเจ้านายเดินมา ทุกคนต่างก็หยุดมือแล้วหันมาค้อมศีรษะแสดงความเคารพพร้อมกับเรียก “นายน้อย”
ชายหนุ่มร่างสูงหันมายิ้มให้กับพวกเขา คนรับใช้ต่างก็คุ้นเคยกับสีหน้ายิ้มแย้มและความมีอัธยาศัยดี ไม่ถือตัวของผู้เป็นนายน้อยอย่างเสมอตนเสมอปลาย
เพียงครู่เดียวเฉิงเฟิงก็เดินขึ้นมาถึงชั้นบน เลี้ยวไปทางปีกตะวันออก เมื่อได้เข้ามาอยู่ในห้อง สิ่งแรกที่เขาเห็นคือชุดเสื้อสูทที่ถูกจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดี เฉิงเฟิงยิ้มกับตนเองพร้อมกับนึกในใจลุงตัวฝูเป็นผู้ช่วยอาวุโสที่ช่างรู้ใจเขาเสียจริง
ชายหนุ่มถอดชุดเก่าที่สวมออก จัดแจงอาบน้ำเพื่อผลัดเปลี่ยนชุดใหม่ เมื่อสวมเสื้อเชิ้ตเรียบร้อย ติดกระดุมเสื้อกั๊ก แล้วเดินไปหยิบเสื้อสูทที่ตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อดีมาสวมทับ
เฉิงเฟิงมาหยุดที่หน้ากระจกบานใหญ่พร้อมกับยืดตัวขยับแขนจัดทรงสูทให้เรียบร้อยอีกครั้ง เย็นวันนี้เขาต้องเดินทางไปที่โรงแรมเพื่อร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเถ้าแก่หม่าหยงเต๋อ
เวลาหนึ่งทุ่มตรง บรรดารถยนต์แบรนด์ยุโรปคันหรู ต่างก็แล่นผ่านเข้ามาที่โรงแรม จนทั่วบริเวณลานจอดรถแน่นขนัด เพียงสักครู่รถยนต์คันหนึ่งก็มาหยุดจอดตรงทางเข้าที่จัดเตรียมไว้ให้ ลูกน้องคนหนึ่งลงมาเปิดประตูด้านหลังให้ เฉิงเฟิงก้าวลงมาจากรถ พร้อมกับอาเล่อคนสนิท
ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทหรูหรา ผู้ช่วยของเขาอยู่ในชุดจงซานสีเทาเข้ม โดยมีพนักงานอำนวยความสะดวกตลอดทางเดินเข้าสู่ล็อบบี้จนกระทั่งถึงห้องจัดเลี้ยงนั้น เฉิงเฟิงได้หยุดทักทายกับนักธุรกิจทั้งชาวจีนและต่างชาติหลายคนที่รู้จักเป็นอย่างดี โดยเฉพาะมิสเตอร์เอลวินที่มาร่วมงาน ตลอดเวลาหลายปีพวกเขาก็ยังคงติดต่อกันในสถานะของนายแพทย์กับลูกค้าคนสำคัญ ทั้งสองคนจึงยื่นจับมือกันอย่างหนักแน่นเป็นการยืนยันความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่ต่างก็นับถือกัน
“สวัสดีค่ะนายน้อยหวง” เสียงเรียกเขาดังมาจากด้านหลังพร้อมกับการปรากฏกายของเจ้าของน้ำเสียงหวาน หญิงสาวในชุดฉีผาวสีส้มสดปักลวดลายดอกไม้อ่อนช้อยช่วยขับผิวขาวเนียนละเอียดของเธอจนผุดผ่อง เรือนผมดัดตามแบบนิยม ใบหน้างดงามแม้วัยจะเข้าสี่สิบสองปีแล้วก็ตาม แต่รูปร่างยังดูเต่งตึงเย้ายวนไม่แพ้รุ่นสาว เธอคือมาดามเอลดาเบล หรือที่ทุกคนเรียกกันอย่างติดปากว่า “มาดามซิง” เจ้าของสำนักนางโลมชั้นสูง “ซิงหรู” มาดามซิงคลี่พัดในมือโบกเข้ากับตัว
“ไม่เห็นนายน้อยหวงไปที่สำนักเลย สาว ๆ ที่นั่นคิดถึงแย่เลยนะคะ” มาดามขยับตัวมากระซิบใกล้ ๆ พร้อมกับส่งรอยยิ้มเย้ายวน เฉิงเฟิงมีรอยยิ้มกว้างแล้วก้มลงกระซิบกลับ
“ช่วงนี้งานยุ่ง ไว้มีเวลาผมจะแวะไป”
มาดามเอลดาเบลรู้หน้าที่ของตน เพียงแค่คำตอบนั้นของเฉิงเฟิงก็ทำให้เธอพึงใจมาก
จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันเดินไปทักทายเพื่อนนักธุรกิจคนอื่น
ที่หน้างาน เถ้าแก่หม่าสวมชุดฉางซานสวมทับด้วยเสื้อคลุมหม่ากว้าผ้าไหมเนื้อดีสีแดงเข้ม ยืนต้อนรับแขกที่ร่วมอวยพรและรับมอบของขวัญ สีหน้ายิ้มแย้มจนแทบจะหุบไม่ลง โดยมีหม่าฮั่นเชาลูกชายคนเดียวในชุดสูทหรู คอยช่วยบิดาต้อนรับแขกอยู่ด้านข้าง
ทันทีที่เถ้าแก่หม่าเห็นชายหนุ่มร่างสูงที่เดินตรงมาหาพร้อมกับของขวัญชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นม้าทองคำเรียงกันแปดตัว เฉิงเฟิงประสานมือคำนับพร้อมกับกล่าวประโยคอวยพร เจ้าของวันเกิด ยังไม่ละสายตาจากของขวัญชิ้นพิเศษนี้ ถึงกับมองชื่นชมแล้วยิ้มดีใจถูกใจเป็นที่สุด
“ขอบใจนายน้อยหวง” เถ้าแก่หม่าเรียกเฉิงเฟิงอย่างให้เกียรติเพราะรู้ถึงสถานภาพของชายหนุ่มในตอนนี้ ถึงแม้เฉิงเฟิงจะให้หม่าหยงเต๋อเรียกเพียงชื่อของเขาเช่นเดิมก็ตาม แต่คนมีธรรมเนียมปฏิบัติอย่างหม่าหยงเต๋อมักต้องทำตามกฎและมารยาทดั่งเดิม เถ้าแก่หม่าจึงยังคงเรียกเฉิงเฟิงอย่างให้เกียรติเช่นนั้น
เจ้าของวันเกิดร่างท้วมตรงเข้าไปประคองแขนของเฉิงเฟิงแล้วถอยตัวออกมายืนมองชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้า เวลาผ่านไปแปดปีแล้ว มันช่างรวดเร็วนัก
เมื่อหวนนึกถึงวันแรกที่ทั้งสองคนได้พบกัน หม่าหยงเต๋อชนะการพนันแข่งม้าชั้นที่หนึ่งจนได้เงินรางวัลจำนวนมาก ซึ่งเขายอมทุ่มทุนเพียงเพราะได้รับคำแนะนำจากเฉิงเฟิง จนทำให้หม่าหยงเต๋อถึงกับไว้วางใจเสนอผลตอบแทนให้เฉิงเฟิงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจภาพยนตร์…
ฮั่นเชาเดินนำเฉิงเฟิงไปนั่งลงที่โต๊ะแล้วลูกชายเจ้าของวันเกิดก็หย่อนตัวนั่งลงด้านข้าง เฉิงเฟิงหยิบซิการ์ออกมาจากกล่องแล้วยื่นให้ฮั่นเชา โดยมีอาเล่อช่วยตัดเตรียมและจุดซิการ์ให้เจ้านายอย่างรู้งานดี ทั้งสองคนต่างก็สูบซิการ์ ควันขาวพร้อมกลิ่นหอมของใบยาสูบชั้นดีลอยล่อง
“ผมขอบคุณคุณเฉิงเฟิงมากที่ช่วยผมกับซูหยวนในวันนั้น”ฮั่นเชาพูดเสียงเบาคล้ายกระซิบ
“เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องรับผิดชอบ คุณชายหม่าอย่าได้เกรงใจ” เฉิงเฟิงยิ้มเป็นกันเอง
ฮั่นเชาสูบซิการ์ปล่อยอารมณ์ไปกับควันของมัน หันไปมองบิดาที่ยังยืนต้อนรับแขก แล้วหันกลับมาพร้อมกับระบายเสียงถอนหายใจ ทำให้เฉิงเฟิงต้องขมวดคิ้วเข้มแล้วสอบถามกับฮั่นเชา
“คุณชายหม่ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจอย่างนั้นหรือ”
ฮั่นเชาหันไปมองอาเล่อ เฉิงเฟิงจึงหันไปพยักหน้ากับลูกน้องคนสนิท ซึ่งก็รู้ความหมายของเจ้านายโดยไม่ต้องมีคำพูดสั่ง อาเล่อเดินเลี่ยงออกไปยืนอยู่ที่อีกด้านหนึ่งทันที
“เรื่องของซูหยวน”
ความร้อนอกร้อนใจทำให้ฮั่นเชาอึดอัดจนไม่รู้จะพูดให้ใครฟังได้ แต่เขาไว้วางใจเฉิงเฟิง
ดังนั้นฮั่นเชาก็เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับนักแสดงชายถังซูหยวนที่แสดงเป็นนางเอกงิ้วว่าพวกเขาร่ำเรียนวิชาศิลปะด้วยกัน กระทั่งพูดคุยกันถูกคอ จากความสนิทสนมของพวกเขาก็ก่อเกิดเป็นความรู้สึกที่มากเกินความเป็นเพื่อนจนพัฒนาสัมพันธภาพเป็นคนรู้ใจ
เมื่อฮั่นเชาเล่ามาถึงตรงนี้ ก็หยุดชะงักไป เป็นจังหวะเดียวกับที่เถ้าแก่หม่าเดินตรงมาที่โต๊ะนี้ “มาคุยอยู่กับนายน้อยหวงนี่เอง” หม่าฮั่นเชาเดินมาตบบ่าของลูกชายแล้วลงมานั่งร่วมโต๊ะ
การสนทนาระหว่างฮั่นเชากับเฉิงเฟิงจึงยุติลง มีแขกมานั่งร่วมโต๊ะกับเขาเพิ่ม โดยมาดามซิงมีความประสงค์จะนั่งข้างเฉิงเฟิง อาเล่อจึงทำหน้าที่ยกเก้าอี้ให้มาดามซิงตามมารยาท เธอหันไปมองอาเล่อหนุ่มผู้ช่วยรูปหล่อของเฉิงเฟิงด้วยสายตาที่ชื่นชม เธอหย่อนตัวลงนั่งพร้อมกับสงวนท่าที
ตามมารยาทแต่ท่วงท่าราวกับนางพญา ยังมีนักธุรกิจชาวจีนสองคนและต่างชาติอีกสองคนซึ่งเขารู้จักดีโดยเฉพาะมิสเตอร์เอลวินที่เฉิงเฟิงให้ความนับถือมาก ส่วนชาวต่างชาติอีกคนที่เพิ่งมาใหม่นั้น เถ้าแก่หม่าแนะนำว่าชื่อมิสเตอร์เจมส์
เจ้าภาพประกาศเริ่มงานเลี้ยง คนทั้งหมดรับประทานอาหารชุดที่จัดว่ารายการอาหารจีนนั้นล้วนเลิศรสสมฐานะ บรรยากาศบนโต๊ะยังคงเป็นไปด้วยดีกับการสนทนาในเชิงธุรกิจและบันเทิง
สักครู่มิสเตอร์เจมส์นักธุรกิจชาวอังกฤษคนนั้นก็สอบถามกับหม่าหยงเต่อ เรื่องคู่ครองของบุตรชาย ทำให้ฮั่นเชาชะงักมือที่กำลังใช้ตะเกียบเอื้อมไปคืบอาหาร เฉิงเฟิงเหลือบไปเห็นจึงเป็นฝ่ายช่วยคืบอาหารจานนั้นให้แทน ฮั่นเชารู้สึกตัวจึงได้หันมากล่าวขอบคุณ
หม่าหยงเต่อจึงหันไปมองลูกชายแล้วพูดกับนักธุรกิจชาวอังกฤษคนนั้น
“ตอนนี้ก็มีแม่สื่อมาแนะนำ แต่ต้องขอติดต่อผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงเสียก่อน”
ฮั่นเชาฟังแล้วถึงกับยิ้มไม่ออก แต่มิสเตอร์เจมส์นั้นยังคงมีรอยยิ้มที่ซ่อนความอยากรู้บางอย่าง “คุณฮั่นเชาสีหน้าไม่ค่อยดี ไม่ถูกใจหรือเปล่า”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเหมือนคะยั้นคะยอแกมสอบถาม เฉิงเฟิงจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นแทน
“คุณชายหม่าคงจะตื่นเต้น” เฉิงเฟิงพูดแล้วหัวเราะร่าเริงด้วยอารมณ์ขัน
แต่มิสเตอร์เจมส์กลับหัวเราะเสียงดัง แล้วหันมาพูดกับเฉิงเฟิง
“โอ้จริงสิ! คุณเฉิงเฟิง ผมเกือบลืมไปว่าคุณฮั่นเชาคงไม่เหมือนกับคุณสินะ”
มิสเตอร์ยกแก้วเหล้าบรั่นดีขึ้นดื่มก่อนแล้วถือแก้วไว้ในมือพร้อมกับคำพูดที่โพล่งออกมา
“คุณเฉิงเฟิงถึงจะยังเป็นโสด แต่ก็คงจะชอบสไตล์ผู้หญิง..ที่มีเจ้าของ!”
ประโยคคำพูดนั้นทำให้หัวหน้าอินทรีเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศที่เริ่มจะคุกรุ่นไปด้วยคำพูดจากลมปากเหม็นของอีกฝ่าย ซึ่งเฉิงเฟิงรู้ดีกว่ามิสเตอร์เจมส์หมายถึงใคร
พลันนึกในใจหากว่าตอนนี้เขาไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะภายใต้งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของหม่าหยงเต่อแล้วล่ะก็ เขาคงจะได้ลากคอเจ้ามิสเตอร์เจมส์ไปสั่งสอนแล้วประกาศใส่หน้าไปว่า “เซียงเหยา” เป็นผู้หญิงของเขา ส่วนคนอย่างไอ้หลิวสุนไม่มีคุณสมบัติที่คู่ควร
黃成風 ยอดบุรุษซ่อนคมพยัคฆ์ : ภาคหวงเฉิงเฟิง บทที่ ๗. ดวงใจอินทรี
บททั้งหมดก่อนหน้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เกริ่นนำ : ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางแทนนะคะ ส่วนบทสนทนาซึ่งควรจะเป็นภาษาแต้จิ๋ว จะบรรยายแทนด้วยคำว่าพูดภาษาจีนสำเนียงท้องถิ่น ,นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ
หลังจากที่ออกมาจากตลาดหงโข่ว หัวหน้าแก๊งอินทรีพบกับลูกน้องคนสนิทที่เขาส่งไปคอยติดตามข่าวคนที่ได้ปล่อยตัวไป อาเล่อค้อมศีรษะคำนับให้ก่อนรายงานให้เจ้านายได้รับทราบ
“เป็นคนของแก๊งตงเปาจริง ๆ ครับ”
เฉิงเฟิงพยักหน้าพร้อมกับนึกในใจ หลายปีมานี้แม้สถานการณ์โดยรอบจะเต็มไปด้วยอันตรายจากเหล่าจารชนและการแสวงหาผลประโยชน์ระหว่างหลายกลุ่มแก๊ง ก็ยังไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องถึงสถานที่ในเขตของแก๊งอินทรี แต่ช่วงสองปีที่ผ่านมานี้กลับเริ่มมีเรื่องก่อกวนเกิดขึ้นมาภายในเขตที่เขาดูแลอยู่
“สั่งคนคอยจับตาแบบทิ้งระยะไว้ก่อน” เฉิงเฟิงหันไปสั่งกับลูกน้องคนสนิท พร้อมกับบอกให้เตรียมตัวเพื่อติดตามเขาไปที่งานเลี้ยงในเย็นวันนี้ อาเล่อค้อมศีรษะรับทราบคำสั่ง..
เฉิงเฟิงกลับถึงคฤหาสน์บิดาบุญธรรมในเวลาบ่าย
บรรดาคนรับใช้ที่ต่างก็ยังง่วนอยู่กับงานของตน เมื่อเห็นเจ้านายเดินมา ทุกคนต่างก็หยุดมือแล้วหันมาค้อมศีรษะแสดงความเคารพพร้อมกับเรียก “นายน้อย”
ชายหนุ่มร่างสูงหันมายิ้มให้กับพวกเขา คนรับใช้ต่างก็คุ้นเคยกับสีหน้ายิ้มแย้มและความมีอัธยาศัยดี ไม่ถือตัวของผู้เป็นนายน้อยอย่างเสมอตนเสมอปลาย
เพียงครู่เดียวเฉิงเฟิงก็เดินขึ้นมาถึงชั้นบน เลี้ยวไปทางปีกตะวันออก เมื่อได้เข้ามาอยู่ในห้อง สิ่งแรกที่เขาเห็นคือชุดเสื้อสูทที่ถูกจัดเตรียมไว้เป็นอย่างดี เฉิงเฟิงยิ้มกับตนเองพร้อมกับนึกในใจลุงตัวฝูเป็นผู้ช่วยอาวุโสที่ช่างรู้ใจเขาเสียจริง
ชายหนุ่มถอดชุดเก่าที่สวมออก จัดแจงอาบน้ำเพื่อผลัดเปลี่ยนชุดใหม่ เมื่อสวมเสื้อเชิ้ตเรียบร้อย ติดกระดุมเสื้อกั๊ก แล้วเดินไปหยิบเสื้อสูทที่ตัดเย็บด้วยผ้าเนื้อดีมาสวมทับ
เฉิงเฟิงมาหยุดที่หน้ากระจกบานใหญ่พร้อมกับยืดตัวขยับแขนจัดทรงสูทให้เรียบร้อยอีกครั้ง เย็นวันนี้เขาต้องเดินทางไปที่โรงแรมเพื่อร่วมงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของเถ้าแก่หม่าหยงเต๋อ
เวลาหนึ่งทุ่มตรง บรรดารถยนต์แบรนด์ยุโรปคันหรู ต่างก็แล่นผ่านเข้ามาที่โรงแรม จนทั่วบริเวณลานจอดรถแน่นขนัด เพียงสักครู่รถยนต์คันหนึ่งก็มาหยุดจอดตรงทางเข้าที่จัดเตรียมไว้ให้ ลูกน้องคนหนึ่งลงมาเปิดประตูด้านหลังให้ เฉิงเฟิงก้าวลงมาจากรถ พร้อมกับอาเล่อคนสนิท
ชายหนุ่มร่างสูงในชุดสูทหรูหรา ผู้ช่วยของเขาอยู่ในชุดจงซานสีเทาเข้ม โดยมีพนักงานอำนวยความสะดวกตลอดทางเดินเข้าสู่ล็อบบี้จนกระทั่งถึงห้องจัดเลี้ยงนั้น เฉิงเฟิงได้หยุดทักทายกับนักธุรกิจทั้งชาวจีนและต่างชาติหลายคนที่รู้จักเป็นอย่างดี โดยเฉพาะมิสเตอร์เอลวินที่มาร่วมงาน ตลอดเวลาหลายปีพวกเขาก็ยังคงติดต่อกันในสถานะของนายแพทย์กับลูกค้าคนสำคัญ ทั้งสองคนจึงยื่นจับมือกันอย่างหนักแน่นเป็นการยืนยันความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่ต่างก็นับถือกัน
“สวัสดีค่ะนายน้อยหวง” เสียงเรียกเขาดังมาจากด้านหลังพร้อมกับการปรากฏกายของเจ้าของน้ำเสียงหวาน หญิงสาวในชุดฉีผาวสีส้มสดปักลวดลายดอกไม้อ่อนช้อยช่วยขับผิวขาวเนียนละเอียดของเธอจนผุดผ่อง เรือนผมดัดตามแบบนิยม ใบหน้างดงามแม้วัยจะเข้าสี่สิบสองปีแล้วก็ตาม แต่รูปร่างยังดูเต่งตึงเย้ายวนไม่แพ้รุ่นสาว เธอคือมาดามเอลดาเบล หรือที่ทุกคนเรียกกันอย่างติดปากว่า “มาดามซิง” เจ้าของสำนักนางโลมชั้นสูง “ซิงหรู” มาดามซิงคลี่พัดในมือโบกเข้ากับตัว
“ไม่เห็นนายน้อยหวงไปที่สำนักเลย สาว ๆ ที่นั่นคิดถึงแย่เลยนะคะ” มาดามขยับตัวมากระซิบใกล้ ๆ พร้อมกับส่งรอยยิ้มเย้ายวน เฉิงเฟิงมีรอยยิ้มกว้างแล้วก้มลงกระซิบกลับ
“ช่วงนี้งานยุ่ง ไว้มีเวลาผมจะแวะไป”
มาดามเอลดาเบลรู้หน้าที่ของตน เพียงแค่คำตอบนั้นของเฉิงเฟิงก็ทำให้เธอพึงใจมาก
จากนั้นพวกเขาก็แยกย้ายกันเดินไปทักทายเพื่อนนักธุรกิจคนอื่น
ที่หน้างาน เถ้าแก่หม่าสวมชุดฉางซานสวมทับด้วยเสื้อคลุมหม่ากว้าผ้าไหมเนื้อดีสีแดงเข้ม ยืนต้อนรับแขกที่ร่วมอวยพรและรับมอบของขวัญ สีหน้ายิ้มแย้มจนแทบจะหุบไม่ลง โดยมีหม่าฮั่นเชาลูกชายคนเดียวในชุดสูทหรู คอยช่วยบิดาต้อนรับแขกอยู่ด้านข้าง
ทันทีที่เถ้าแก่หม่าเห็นชายหนุ่มร่างสูงที่เดินตรงมาหาพร้อมกับของขวัญชิ้นหนึ่ง ซึ่งเป็นม้าทองคำเรียงกันแปดตัว เฉิงเฟิงประสานมือคำนับพร้อมกับกล่าวประโยคอวยพร เจ้าของวันเกิด ยังไม่ละสายตาจากของขวัญชิ้นพิเศษนี้ ถึงกับมองชื่นชมแล้วยิ้มดีใจถูกใจเป็นที่สุด
“ขอบใจนายน้อยหวง” เถ้าแก่หม่าเรียกเฉิงเฟิงอย่างให้เกียรติเพราะรู้ถึงสถานภาพของชายหนุ่มในตอนนี้ ถึงแม้เฉิงเฟิงจะให้หม่าหยงเต๋อเรียกเพียงชื่อของเขาเช่นเดิมก็ตาม แต่คนมีธรรมเนียมปฏิบัติอย่างหม่าหยงเต๋อมักต้องทำตามกฎและมารยาทดั่งเดิม เถ้าแก่หม่าจึงยังคงเรียกเฉิงเฟิงอย่างให้เกียรติเช่นนั้น
เจ้าของวันเกิดร่างท้วมตรงเข้าไปประคองแขนของเฉิงเฟิงแล้วถอยตัวออกมายืนมองชายหนุ่มร่างสูงตรงหน้า เวลาผ่านไปแปดปีแล้ว มันช่างรวดเร็วนัก
เมื่อหวนนึกถึงวันแรกที่ทั้งสองคนได้พบกัน หม่าหยงเต๋อชนะการพนันแข่งม้าชั้นที่หนึ่งจนได้เงินรางวัลจำนวนมาก ซึ่งเขายอมทุ่มทุนเพียงเพราะได้รับคำแนะนำจากเฉิงเฟิง จนทำให้หม่าหยงเต๋อถึงกับไว้วางใจเสนอผลตอบแทนให้เฉิงเฟิงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจภาพยนตร์…
ฮั่นเชาเดินนำเฉิงเฟิงไปนั่งลงที่โต๊ะแล้วลูกชายเจ้าของวันเกิดก็หย่อนตัวนั่งลงด้านข้าง เฉิงเฟิงหยิบซิการ์ออกมาจากกล่องแล้วยื่นให้ฮั่นเชา โดยมีอาเล่อช่วยตัดเตรียมและจุดซิการ์ให้เจ้านายอย่างรู้งานดี ทั้งสองคนต่างก็สูบซิการ์ ควันขาวพร้อมกลิ่นหอมของใบยาสูบชั้นดีลอยล่อง
“ผมขอบคุณคุณเฉิงเฟิงมากที่ช่วยผมกับซูหยวนในวันนั้น”ฮั่นเชาพูดเสียงเบาคล้ายกระซิบ
“เป็นหน้าที่ของผมที่ต้องรับผิดชอบ คุณชายหม่าอย่าได้เกรงใจ” เฉิงเฟิงยิ้มเป็นกันเอง
ฮั่นเชาสูบซิการ์ปล่อยอารมณ์ไปกับควันของมัน หันไปมองบิดาที่ยังยืนต้อนรับแขก แล้วหันกลับมาพร้อมกับระบายเสียงถอนหายใจ ทำให้เฉิงเฟิงต้องขมวดคิ้วเข้มแล้วสอบถามกับฮั่นเชา
“คุณชายหม่ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจอย่างนั้นหรือ”
ฮั่นเชาหันไปมองอาเล่อ เฉิงเฟิงจึงหันไปพยักหน้ากับลูกน้องคนสนิท ซึ่งก็รู้ความหมายของเจ้านายโดยไม่ต้องมีคำพูดสั่ง อาเล่อเดินเลี่ยงออกไปยืนอยู่ที่อีกด้านหนึ่งทันที
“เรื่องของซูหยวน”
ความร้อนอกร้อนใจทำให้ฮั่นเชาอึดอัดจนไม่รู้จะพูดให้ใครฟังได้ แต่เขาไว้วางใจเฉิงเฟิง
ดังนั้นฮั่นเชาก็เล่าเรื่องความสัมพันธ์ของเขากับนักแสดงชายถังซูหยวนที่แสดงเป็นนางเอกงิ้วว่าพวกเขาร่ำเรียนวิชาศิลปะด้วยกัน กระทั่งพูดคุยกันถูกคอ จากความสนิทสนมของพวกเขาก็ก่อเกิดเป็นความรู้สึกที่มากเกินความเป็นเพื่อนจนพัฒนาสัมพันธภาพเป็นคนรู้ใจ
เมื่อฮั่นเชาเล่ามาถึงตรงนี้ ก็หยุดชะงักไป เป็นจังหวะเดียวกับที่เถ้าแก่หม่าเดินตรงมาที่โต๊ะนี้ “มาคุยอยู่กับนายน้อยหวงนี่เอง” หม่าฮั่นเชาเดินมาตบบ่าของลูกชายแล้วลงมานั่งร่วมโต๊ะ
การสนทนาระหว่างฮั่นเชากับเฉิงเฟิงจึงยุติลง มีแขกมานั่งร่วมโต๊ะกับเขาเพิ่ม โดยมาดามซิงมีความประสงค์จะนั่งข้างเฉิงเฟิง อาเล่อจึงทำหน้าที่ยกเก้าอี้ให้มาดามซิงตามมารยาท เธอหันไปมองอาเล่อหนุ่มผู้ช่วยรูปหล่อของเฉิงเฟิงด้วยสายตาที่ชื่นชม เธอหย่อนตัวลงนั่งพร้อมกับสงวนท่าที
ตามมารยาทแต่ท่วงท่าราวกับนางพญา ยังมีนักธุรกิจชาวจีนสองคนและต่างชาติอีกสองคนซึ่งเขารู้จักดีโดยเฉพาะมิสเตอร์เอลวินที่เฉิงเฟิงให้ความนับถือมาก ส่วนชาวต่างชาติอีกคนที่เพิ่งมาใหม่นั้น เถ้าแก่หม่าแนะนำว่าชื่อมิสเตอร์เจมส์
เจ้าภาพประกาศเริ่มงานเลี้ยง คนทั้งหมดรับประทานอาหารชุดที่จัดว่ารายการอาหารจีนนั้นล้วนเลิศรสสมฐานะ บรรยากาศบนโต๊ะยังคงเป็นไปด้วยดีกับการสนทนาในเชิงธุรกิจและบันเทิง
สักครู่มิสเตอร์เจมส์นักธุรกิจชาวอังกฤษคนนั้นก็สอบถามกับหม่าหยงเต่อ เรื่องคู่ครองของบุตรชาย ทำให้ฮั่นเชาชะงักมือที่กำลังใช้ตะเกียบเอื้อมไปคืบอาหาร เฉิงเฟิงเหลือบไปเห็นจึงเป็นฝ่ายช่วยคืบอาหารจานนั้นให้แทน ฮั่นเชารู้สึกตัวจึงได้หันมากล่าวขอบคุณ
หม่าหยงเต่อจึงหันไปมองลูกชายแล้วพูดกับนักธุรกิจชาวอังกฤษคนนั้น
“ตอนนี้ก็มีแม่สื่อมาแนะนำ แต่ต้องขอติดต่อผู้ใหญ่ของฝ่ายหญิงเสียก่อน”
ฮั่นเชาฟังแล้วถึงกับยิ้มไม่ออก แต่มิสเตอร์เจมส์นั้นยังคงมีรอยยิ้มที่ซ่อนความอยากรู้บางอย่าง “คุณฮั่นเชาสีหน้าไม่ค่อยดี ไม่ถูกใจหรือเปล่า”
เมื่อเห็นอีกฝ่ายเหมือนคะยั้นคะยอแกมสอบถาม เฉิงเฟิงจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นแทน
“คุณชายหม่าคงจะตื่นเต้น” เฉิงเฟิงพูดแล้วหัวเราะร่าเริงด้วยอารมณ์ขัน
แต่มิสเตอร์เจมส์กลับหัวเราะเสียงดัง แล้วหันมาพูดกับเฉิงเฟิง
“โอ้จริงสิ! คุณเฉิงเฟิง ผมเกือบลืมไปว่าคุณฮั่นเชาคงไม่เหมือนกับคุณสินะ”
มิสเตอร์ยกแก้วเหล้าบรั่นดีขึ้นดื่มก่อนแล้วถือแก้วไว้ในมือพร้อมกับคำพูดที่โพล่งออกมา
“คุณเฉิงเฟิงถึงจะยังเป็นโสด แต่ก็คงจะชอบสไตล์ผู้หญิง..ที่มีเจ้าของ!”
ประโยคคำพูดนั้นทำให้หัวหน้าอินทรีเริ่มรู้สึกถึงบรรยากาศที่เริ่มจะคุกรุ่นไปด้วยคำพูดจากลมปากเหม็นของอีกฝ่าย ซึ่งเฉิงเฟิงรู้ดีกว่ามิสเตอร์เจมส์หมายถึงใคร พลันนึกในใจหากว่าตอนนี้เขาไม่ได้นั่งอยู่ที่โต๊ะภายใต้งานเลี้ยงฉลองวันเกิดของหม่าหยงเต่อแล้วล่ะก็ เขาคงจะได้ลากคอเจ้ามิสเตอร์เจมส์ไปสั่งสอนแล้วประกาศใส่หน้าไปว่า “เซียงเหยา” เป็นผู้หญิงของเขา ส่วนคนอย่างไอ้หลิวสุนไม่มีคุณสมบัติที่คู่ควร