(ต่อจาก 4/1)
ทีนี้เราก็ต้องมาฝึกการจัดวางไฟล์วัฒนธรรมในสมองของเราก่อน เราต้องรู้จักดึงไฟล์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์มาใช้และการที่เราจะสามารถจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ต้องเกิดจากการที่เราฝึกฝนและทำความเข้าใจก่อนว่า ทั้งสองวัฒนธรรมมันมีข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัว เพียงแต่เราต้องรู้แยกแยะให้ได้ว่า ข้อดีของวัฒนธรรมไหน ควรถูกนำมาใช้ได้ในสถานการณ์จริง ณ โมเม้นนั้นๆ อย่างถ้าอยู่กับฝรั่ง ทำงานกับฝรั่ง เราก็ต้องยอมรับฟังความคิดเห็นของเขาให้ได้ ไม่เก็บไปโกรธ เกลียด เคียดแค้น เผาพริกเผาเกลือสาปแช่งเขา (รู้นะว่าเคยยยยย!!) เพราะฝรั่งไม่ได้นำทุกคำพูดของเราเก็บไปคิดเล็กคิดน้อยเหมือนอย่างที่เราเป็น คือเราจะแบบละเอียดอ่อนไง อ่อนไปถึงปัญญาด้วยบางครั้ง อันนี้เจนไม่ได้ว่าใคร ว่าตัวเองนี่ละ เพราะเคยคิดเยอะจนตัวเองไม่มีความสุข เมื่อถุงจุดบรรลุโสดาบัน ถึงเข้าใจและปล่อยวางได้ ฝรั่งเขาพูดแล้วเขาก็จะจบ อีกห้านาทีเขาก็กลับมาคุยกับเราปกติแล้ว คือเราก็ต้องเข้าใจธรรมชาติเขา เพราะเรามาอยู่ในบ้านเมืองเขาเรียนรู้วัฒนธรรมเขา เราจะต้องแกร่ง พยายามอย่าขี้น้อยใจจนเกินเหตุ ฝรั่งเขาไม่ได้มีเวลามานั่งอธิบายและโอ๋เราเหมือนคนในครอบครัวเราท่ีเมืองไทยนะคะ ตัวเจนเองก็ใช้เวลาประมาณหนึ่งกว่าจะปรับทัศนคติของตัวเองให้เข้าที่ได้ และที่ว่าปรับนี่คือปรับมาตั้งแต่ตอนทำงานที่เมืองไทยแล้ว คือโชคดีหน่อยที่ตัวเองเลือกทำงานกับบริษัทฝรั่งเสียส่วนใหญ่ ตลอดระยะเวลาแปดปีที่ทำงานมันก็มีภูมิต้านทานอยู่แล้ว ประกอบกับเคยไปเป็นแอร์สายการบินแขกมาก่อน ถึงแม้จะอยู่ไม่นานแต่ก็มีเพื่อนสาวแอร์ที่มั่นพูดจาตรงไปตรงมากันทั้งนั้น มันเลยได้ฝึกทำความเข้าใจว่าคนที่พูดจาแรงๆตรงๆ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนไม่ดีนะ เราต่างหาก อย่าอ่อนแอเกินไป เพราะจะทำให้เราใช้ชีวิตในโลกที่แข็งกระด้างใบนี้ได้อย่างลำบาก พอเจนย้ายมาอยู่อเมริกาก็หนังหนาแล้วสิคะThick Skin อยู่แล้ว ใครว่าอะไรมาก็ฟังคะ ถ้าเขาว่ามาเป็นเรื่องจริงก็เอามาปรับ ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงก็สวนกลับ สนุกดี การที่เราได้ใช้ภาษาอังกฤษเพื่ออธิบายกับฝรั่งและพิสูจน์ตัวเองได้จนฝรั่งยอมรับ มันจะสร้างความภูมิใจให้กับตัวเองเพิ่มขึ้นทุกๆครั้ง ถือได้ว่าเป็นความท้าทายอีกอย่างหนึ่งคะ ไม่เชื่อลองดู
การอยู่กับฝรั่งที่เราคัดสรรอย่างดีก็ช่วยสร้างความอุ่นใจทางด้านความปลอดภัยให้กับตัวเราเองด้วยอย่างเจนบอกตรงๆเลยว่าเป็นคนท่ีให้ความสำคัญกับที่อยู่มากๆ คือหลายๆคนจะประหยัดในเรื่องที่อยู่ แต่ไปฟุ้งเฟ้อในเรื่องอื่น อย่างการออกไปปาร์ตี้ท่องราตรีและดื่มเหล้าเป็นต้น เจนจะยอมจ่ายค่าบ้านแต่ไปประหยัดในเรื่องช้อปปิ้ง หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ คือถ้าเราอยู่ในย่านดีๆ อยู่กับคนดีๆความปลดภัยในชีวิตเราก็ดีไปด้วยตามลำดับ ยิ่งเจนเป็นผู้หญิงที่ใช้ชีวิตคนเดียวในอเมริกาจุดนี้ต้องนำเข้ามาร่วมคำนวนหาตัวแปรในการเลือกบ้านของเจนด้วย
ข้อดีอีกอย่าหนึ่งเวลาเราอยู่กับฝรั่งคือเทศกาลสำคัญของทางชาติเขา เราก็สามารถให้เขาอธิบายให้เราฟังได้อย่างลึกซึ้ง จริงอยู่ว่าสมัยนี้เรามีผู้มีพระคุณอย่างกูเกิ้ลที่สามารถช่วยเราได้ทุกเรื่อง ทุกที่ ทุกเวลา แต่การได้ฟังเรื่องราวต่างๆจากเจ้าของวัฒนธรรมเอง อินเน่อมันจะมาคะ เวลาเขาเล่า มันก็เป็นประสบการณ์ดีๆอีกอย่างที่อากู๋ กูเกิ้ลให้เราไม่ได้
-รอติดตามภาค 5 นะคะ-
อเมริกาเจ้าขา ชีวิตป้าเจน ภาคต่อ 4/2
ทีนี้เราก็ต้องมาฝึกการจัดวางไฟล์วัฒนธรรมในสมองของเราก่อน เราต้องรู้จักดึงไฟล์ที่เหมาะสมกับสถานการณ์มาใช้และการที่เราจะสามารถจัดการกับมันได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ต้องเกิดจากการที่เราฝึกฝนและทำความเข้าใจก่อนว่า ทั้งสองวัฒนธรรมมันมีข้อดีและข้อเสียอยู่ในตัว เพียงแต่เราต้องรู้แยกแยะให้ได้ว่า ข้อดีของวัฒนธรรมไหน ควรถูกนำมาใช้ได้ในสถานการณ์จริง ณ โมเม้นนั้นๆ อย่างถ้าอยู่กับฝรั่ง ทำงานกับฝรั่ง เราก็ต้องยอมรับฟังความคิดเห็นของเขาให้ได้ ไม่เก็บไปโกรธ เกลียด เคียดแค้น เผาพริกเผาเกลือสาปแช่งเขา (รู้นะว่าเคยยยยย!!) เพราะฝรั่งไม่ได้นำทุกคำพูดของเราเก็บไปคิดเล็กคิดน้อยเหมือนอย่างที่เราเป็น คือเราจะแบบละเอียดอ่อนไง อ่อนไปถึงปัญญาด้วยบางครั้ง อันนี้เจนไม่ได้ว่าใคร ว่าตัวเองนี่ละ เพราะเคยคิดเยอะจนตัวเองไม่มีความสุข เมื่อถุงจุดบรรลุโสดาบัน ถึงเข้าใจและปล่อยวางได้ ฝรั่งเขาพูดแล้วเขาก็จะจบ อีกห้านาทีเขาก็กลับมาคุยกับเราปกติแล้ว คือเราก็ต้องเข้าใจธรรมชาติเขา เพราะเรามาอยู่ในบ้านเมืองเขาเรียนรู้วัฒนธรรมเขา เราจะต้องแกร่ง พยายามอย่าขี้น้อยใจจนเกินเหตุ ฝรั่งเขาไม่ได้มีเวลามานั่งอธิบายและโอ๋เราเหมือนคนในครอบครัวเราท่ีเมืองไทยนะคะ ตัวเจนเองก็ใช้เวลาประมาณหนึ่งกว่าจะปรับทัศนคติของตัวเองให้เข้าที่ได้ และที่ว่าปรับนี่คือปรับมาตั้งแต่ตอนทำงานที่เมืองไทยแล้ว คือโชคดีหน่อยที่ตัวเองเลือกทำงานกับบริษัทฝรั่งเสียส่วนใหญ่ ตลอดระยะเวลาแปดปีที่ทำงานมันก็มีภูมิต้านทานอยู่แล้ว ประกอบกับเคยไปเป็นแอร์สายการบินแขกมาก่อน ถึงแม้จะอยู่ไม่นานแต่ก็มีเพื่อนสาวแอร์ที่มั่นพูดจาตรงไปตรงมากันทั้งนั้น มันเลยได้ฝึกทำความเข้าใจว่าคนที่พูดจาแรงๆตรงๆ ไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนไม่ดีนะ เราต่างหาก อย่าอ่อนแอเกินไป เพราะจะทำให้เราใช้ชีวิตในโลกที่แข็งกระด้างใบนี้ได้อย่างลำบาก พอเจนย้ายมาอยู่อเมริกาก็หนังหนาแล้วสิคะThick Skin อยู่แล้ว ใครว่าอะไรมาก็ฟังคะ ถ้าเขาว่ามาเป็นเรื่องจริงก็เอามาปรับ ถ้าไม่ใช่เรื่องจริงก็สวนกลับ สนุกดี การที่เราได้ใช้ภาษาอังกฤษเพื่ออธิบายกับฝรั่งและพิสูจน์ตัวเองได้จนฝรั่งยอมรับ มันจะสร้างความภูมิใจให้กับตัวเองเพิ่มขึ้นทุกๆครั้ง ถือได้ว่าเป็นความท้าทายอีกอย่างหนึ่งคะ ไม่เชื่อลองดู
การอยู่กับฝรั่งที่เราคัดสรรอย่างดีก็ช่วยสร้างความอุ่นใจทางด้านความปลอดภัยให้กับตัวเราเองด้วยอย่างเจนบอกตรงๆเลยว่าเป็นคนท่ีให้ความสำคัญกับที่อยู่มากๆ คือหลายๆคนจะประหยัดในเรื่องที่อยู่ แต่ไปฟุ้งเฟ้อในเรื่องอื่น อย่างการออกไปปาร์ตี้ท่องราตรีและดื่มเหล้าเป็นต้น เจนจะยอมจ่ายค่าบ้านแต่ไปประหยัดในเรื่องช้อปปิ้ง หรือค่าใช้จ่ายอื่นๆ คือถ้าเราอยู่ในย่านดีๆ อยู่กับคนดีๆความปลดภัยในชีวิตเราก็ดีไปด้วยตามลำดับ ยิ่งเจนเป็นผู้หญิงที่ใช้ชีวิตคนเดียวในอเมริกาจุดนี้ต้องนำเข้ามาร่วมคำนวนหาตัวแปรในการเลือกบ้านของเจนด้วย
ข้อดีอีกอย่าหนึ่งเวลาเราอยู่กับฝรั่งคือเทศกาลสำคัญของทางชาติเขา เราก็สามารถให้เขาอธิบายให้เราฟังได้อย่างลึกซึ้ง จริงอยู่ว่าสมัยนี้เรามีผู้มีพระคุณอย่างกูเกิ้ลที่สามารถช่วยเราได้ทุกเรื่อง ทุกที่ ทุกเวลา แต่การได้ฟังเรื่องราวต่างๆจากเจ้าของวัฒนธรรมเอง อินเน่อมันจะมาคะ เวลาเขาเล่า มันก็เป็นประสบการณ์ดีๆอีกอย่างที่อากู๋ กูเกิ้ลให้เราไม่ได้
-รอติดตามภาค 5 นะคะ-