เที่ยวโอกินาวะด้วยตัวเอง ตอนที่ 1 : ลองเที่ยวเกาะใต้ของญี่ปุ่นบ้างดีกว่า



มีอยู่วันนึงเพื่อนทักมา ชวนไปเที่ยวโอกินาวะเป็นเวลาสั้นๆแค่ 5 วัน 4 คืน เราก็ชั่งใจอยู่นานเพราะจังหวัดนี้ไม่เคยอยู่ในลิสของที่เที่ยวที่อยากจะไปมาก่อนเลย แถมไปแค่เวลาสั้นๆเองกลัวว่าจะไม่คุ้ม เราเคยไปญี่ปุ่นมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งแรกคือเมื่อ 3 ปีที่แล้ว เราได้ทุนมาจากรัฐบาลญี่ปุ่นในโครงการ "Jenesys Japan" เปิดโอกาสให้ได้ไปเรียนรู้วัฒนธรรมของที่นั่น ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในโตเกียว และอยู่กับ Host Family ที่กิฟุซึ่งพวกเค้าก็ใจดีพาเราไปเที่ยวเกียวโตด้วย เป็นเวลารวมทั้งหมด 9 วัน ครั้งนั้นทำให้เราตกหลุมรักญี่ปุ่นเข้าอย่างเต็มเปา ใครไปก็ต้องตกหลุมรักประเทศนี้กันทั้งนั้น จะกินอะไรไม่ว่าจะของคาวของหวานก็อร่อยไปซะหมด จะมองทางซ้ายก็เข้าตา จะมองทางขวา โอ๊ะโอ้ยก็โดน มีแต่ของน่ารักๆอยากซื้อกลับไปครอบครอง อากาศช่วงมกรานี่ก็หนาวสุด คนไทยอย่างเราก็เลยได้สนุกกับการแต่งตัวแบบหนาวๆกันเพราะที่ไทยทำแบบนี้ไม่ได้ ได้แต่งชุดกิโมโนไปเที่ยววัดเป็นครั้งแรก ได้เห็นหิมะเป็นครั้งแรก ได้นั่งชินคันเซนและเห็นภูเขาไฟฟูจิเป็นครั้งแรก ได้กินซูชิต้นตำรับเป็นครั้งแรก.. ได้ไปออนเซ็นเป็นครั้งแรกซึ่งมันสบายตัวแบบดีย์เหลือเกินค่ะคุณขา


ทางเดินไปปราสาทชุริ : ช่วงประมาณบ่าย 3 แม่บ้านญี่ปุ่นกำลังเดินจับมือลูกกลับบ้าน


เกือบ 1 ปีผ่านไป.. เพื่อนอีกแกงค์ก็ชวนไปเที่ยวญี่ปุ่นแถบคันไซบ้างคือ โอซากา เกียวโต นารา และโกเบ จากความประทับใจคราวที่แล้วเลยไม่ยากที่จะตอบตกลงเพื่อกลับไปที่ญี่ปุ่นอีกครั้ง เพราะอยากไปหาแฮร์รี่ หนังในดวงใจตลอดกาล ที่ Universal Studio Japan ครั้งนี้ก็ไปเดือนมกราอีกเช่นกัน อากาศหนาวจนทรมาน ทั้ง 2 ครั้งเรารู้สึกเหมือนกับจะไม่สบายตลอดเวลา จนต้องกินยาพาราเกือบทุกวัน ช่วงนั้นชอบดูรายการท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นมากคือสุโก้ยเจแปนและมาจิเด๊ะเจแปน อยากให้เพื่อนๆได้ลองไปดูกัน เค้าให้เห็นว่าประเทศนี้ไม่ว่าจะเป็นที่ไหน จังหวัดไหนก็ตาม แต่ละที่ล้วนมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองที่ไม่เหมือนที่ไหน ทำให้เราอยากลองไปเที่ยวที่อื่นๆที่ไม่เคยคิดว่าจะไปมาก่อนดูบ้าง หนีญี่ปุ่นแบบหนาวๆบ้าง ขึ้นชื่อว่าญี่ปุ่นแล้วจะต้องน่ารักและดีอย่างแน่นอน พี่มั่นใจ ฮ่าๆ


เด็กญี่ปุ่นกำลังสนุกกับการเล่นจับแมลงในสวนสาธารณะใกล้บ้าน แอบไปขอน้องดูเหมือนจะเป็นจักจั่น เก่งไม่เบา จับได้หลายตัวเลยหละ เจอระหว่างทางเดินไป  Manko Water Bird Wetland Center

Peach Airline เป็นสายการบินเดียวที่มีให้บริการบินตรงจากกรุงเทพ สนามบินสุวรรณภูมิ ไปยัง โอกินาวะ สนามบินนาฮะ (Naha airport) ใช้เวลาไม่นานแค่ 4 ชั่วโมงก็ถึง ตอนนั้นเราซื้อตั๋วราคาปกติไป-กลับอยู่ที่ประมาณ 8,000 บาท แต่บางครั้งก็มีโปรโมชั่นออกมาแบบถูกมากไป-กลับแค่ประมาณ 4,000 บาทเท่านั้น จากประสบการณ์ของตัวเอง การเดินทางเป็นไปได้ด้วยดี ไม่มีปัญหาอะไร ทุกคนสามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยค่ะ Peach Airline Booking https://www.flypeach.com/pc/th



พอใกล้ถึงสนามบิน ก็จะค่อยๆเห็นสีฟ้าสวยของทะเลจีนใต้บนเครื่องบินมาแต่ไกล (Reference: Primitivellife)


ถึงแล้ว.. โอกินาวะ ออกจากเครื่องบินมา ผ่านตม. เสร็จเรียบร้อยก็ต้องยืนรอ Shuttle Bus ไปยังอาคาร Domestic Terminal เพื่อนั่งรถไฟเข้าเมืองกัน ซึ่งนี่ก็เป็นครั้งแรกของการนั่ง monorail รถไฟขนาดเล็กบนรางเดียวของเรา ก็ตื่นเต้นกันไป สถานีรถไฟที่นี่มีเพียงแค่ 15 สถานีเพื่อเดินทางในเมืองนาฮะเองเท่านั้น


ถ้าที่นั่งข้างหน้าว่างละก็ รีบจับจองกันเพื่อดูวิวของเมืองจากหน้าต่างบานใหญ่นี้กันดูนะ



โอ่ย น่ารัก


เราแบกเป้แล้วเดินทางจากสนามบินตรงไปยัง Shuri castle กันเลยก่อนเข้าที่พัก ราคาค่าตั๋ว 1 สถานีอยู่ที่ประมาณ 150 เยน หรือ 45 บาท (100 เยนอยู่ที่ประมาณ 30 บาทไทย) 2-6 สถานี 230-260 เยน 7-10 สถานี 300 เยน และ 11-14 สถานี 330 เยน ซึ่งจาก Naha airport station (1) จนถึง Shuri station (15) สถานีปลายทางสุดท้าย 14 สถานีก็ 330 เยน หรือประมาณ 100 บาท วันแรกเราไม่มีแพลนไปไหนต่อนอกจากกลับที่พักเลย คิดว่าซื้อตั๋วเที่ยวเดียวถูกกว่าเพราะ one day ticket เดินทางไม่อั้นใน 1 วันราคาอยู่ที่ 800 เยน 2 day ticket 1,400 เยนแต่บัตรเติมเงินน่ารักมาก ถ้าอยากมีเก็บไว้เป็นที่ระลึกแบบเพื่อนเราก็ 1,000 เยน แต่จะใช้ได้แค่ 500 เยนเพราะอีก 500 เยนคือค่าบัตรค่ะ สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่นี่เลยค่ะ Okinawa Ticket Information https://www.yui-rail.co.jp/en/faretable.html


บัตรเที่ยวเดียว ซื้อที่เครื่องกดบัตรอัติโนมัติที่หน้าสถานีได้เลย


1 day pass: 800 yen


Reference: Okinawainformation.com


จาก Shuri station ถึง Shuri castle สามารถเดินไปได้ใช้เวลาประมาณ 15 นาที แดดช่วงเดือนกรกฎาคมที่พี่ไปมันร้อนมากกกเลยละ หนีหนาวก็ลองมาเจอร้อนของญี่ปุ่นกันบ้าง พี่บอกได้เลยว่าไทยคือชิดซ้ายอ่ะ ฮ่าๆ แต่ว่าระหว่างทางก็เดินดูนั่นนี่ได้เพลินๆ

ทุกอย่างน่ารักไปหมด แม้กระทั่งดอกไม้ข้างทาง ฮือออ


เพื่อนเราพูดภาษาญี่ปุ่นได้ ได้ยินเด็กคุยกันก็เล่าให้เราฟังว่า "เอ้ย มีคนแอบถ่ายรูปพวกแกอยู่ด้วยอ้ะ" แล้วก็หัวเราะกัน ฮ่าๆ

ปราสาทชุริ (Shuri castle)


Reference: Intojapan


ที่นี่เป็นพระราชวังในสมัยอาณาจักรริวกิว ที่ประทับของกษัตริย์โช ฮาชิ ในปี 1945 กองทัพญี่ปุ่นได้ใช้บริเวณใต้ดินของปราสาทเป็นฐานบัญชาการในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ต่อมาเรือรบอเมริกันได้ระดมยิงและเผาทำลายปราสาทเหลือเพียงแค่กำแพงบางส่วนและสูงไม่ถึง 1 ฟุตเท่านั้น ภายหลังปราสาทถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในปี 1992 ให้มีลักษณะเดิม โดยอ้างอิงจากภาพถ่าย บันทึกทางประวัติศาสตร์ และความทรงจำของผู้คนแถวนั้น สุดยอดจริงๆคนญี่ปุ่น เหลือแค่ฐานให้เห็น แต่ก็สร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมดได้ ทำให้ปราสาทดูไม่เก่ามากตอนเราไป และก็กำลังมีการบูรณะซ่อมแซมอยู่ในช่วงนั้นอีกเช่นกัน


แอร้ยความมาเป็นคู่ ส่วนเรามากับเพื่อน ฮ่าๆ


วิวจากหน้าต่าง เหมือนภาพวาดเลยละ





ประตูหินปูนแกะสลักของศาลเจ้าโซะโนะฮยัน (Sonohyan utaki) ถูกสร้างขึ้นในปี 1519 โดยกษัตริย์โชชินพระองค์ที่สามแห่งราชวงศ์โชที่สอง ซึ่งท่านจะทรงสวดภาวนาเพื่อความปลอดภัยก่อนออกเดินทางทุกครั้งที่นี่ ประตูนี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยแยกรายชื่อจากปราสาทชุริด้วย



ความน่ารักและใส่ใจในรายละเอียดของญี่ปุ่นมีให้เห็นอีกแล้ว ตรงทางเข้าจะมีให้หยอดเหรียญเพื่อลุ้นว่าจะได้เข็มกลัดแบบไหน 100 เยน 30 บาท ตั๊ลล๊ากก อีกอันพี่ได้เป็นรูปงู พี่หยุดหยอดเลย ฮ่าๆ เพื่อนบอกว่าเพื่อนญี่ปุ่นนางเล่าให้ฟังว่างูเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของโอกินาวะ เพราะที่นี่อุดุมสมบูรณ์มากและมีงูชนิดนี้อยู่เยอะ ฉกทีเดียวตายเลย เห้ย นึกว่าเถื่อน Travel โหดจัง ตอนไปชายหาด Minnajima พี่ก็เห็นสัญลักษณ์ระวังงูอีก หลีกเลี่ยงหญ้าที่รกชันแปป



ขากลับเราแวะเข้า Art gallery ร้านนึงที่เจอระหว่างทาง งานศิลปะของร้านจะเกี่ยวกับทะเลบวกกับจินตนาการที่สวยงามของเค้า โดยเพิ่มตัวละครและเรื่องราวทำให้ภาพออกมาพิเศษไม่เหมือนใคร ทั้งสวยและน่ารักในเวลาเดียวกัน ทางร้านเปิดให้เข้าชมภาพวาดภายในร้านได้ฟรี หากใครงบน้อยแบบเรา ก็สามารถอุดหนุนโปสการ์ดจากภาพต่างๆเหล่านั้นเป็นของที่ระลึกแบบเราได้ เดินเลยร้านไปอีกนิดเดียวก็เป็นไปรษณีย์แล้ว ซื้อแสตมป์ นั่งเขียนที่เก้าอี้ด้านหน้าก็เอาไปหย่อนตู้ข้างๆได้เลย ง่ายแบบ ฟิ้ว ฟึ๊บ ปี๊ปๆ เสร็จ





"No border"


ก่อนนั่งรถไฟไปที่พัก เราแวะนั่งกินไอติม  Brand ของโอกินาวะเองกันก่อน "Blue seal" ไอติมหวานๆหอมๆจะเยียวยาจากอากาศร้อนๆของโอกินาวะให้เราเอง




จัดไป Sweet potato มันม่วงอันแสนเลื่องชื่อของโอกินาวะ พี่ฟินนน


แบรนด์ไอศกรีม Foremost ที่มีต้นกำเนิดจากอเมริกาได้มาตั้งโรงงานที่ฐานทัพของอเมริกาในโอกินาวะที่เมือง Urume ตั้งแต่ปี 1948 ต่อมาได้ขยายกิจการและเปลี่ยนมาใช้ชื่อว่า Blue Seal โดยรู้จักกันในนามของ Okinawa Ice Cream ปัจจุบันมีสาขามากมายที่เกาะโอกินาวะ ตอนเราไปเห็นร้านขายเจ้าไอติมนี่เต็มไปหมด (Reference: http://www.tiewyeepoon.com)

อ่านตอนต่อไปได้ที่นี่ : ตอนที่ 2 : แนะนำร้านโซบะโอกินาวะและเดินเล่นใน Kokusaidori Street https://takemeaway.life/travel/japan-okinawa-kokusaidori-street/

ติดตามเรื่องราวการเดินทางตอนอื่นๆได้ที่นี่เลยค่ะ https://takemeaway.life/travel
อ่านเกี่ยวกับศรีลังกาได้ที่นี่: 9 วันในศรีลังกา ตอนที่ 1 : ก่อนออกเดินทาง https://takemeaway.life/travel/sril-anka-before-we-go/
อ่านเกี่ยวกับอินเดียได้ที่นี่: นั่งรถไฟในอินเดีย ตอนที่ 1 : เมืองชัยปุระ เมืองสีชมพู https://takemeaway.life/travel/india-jaipur-pinkcity/
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่