จุดเริ่มต้น
ย้อนกลับไปสมัยอังกฤษ(สหราชอาณาจักร)ปฏิวัตรอุตสาหกรรมใหม่ๆ ได้มีการนำเครื่องมือ เครื่องจักรมาใช้แทนแรงงานของคนและสัตว์ทำให้ผลิตสินค้าได้มีคุณภาพดีขึ้น ผลิตได้รวดเร็วและเป็นจำนวนมาก อุตสาหกรรมยุคแรกเริ่มคืออุตสาหกรรมสิ่งทอ
เมืองแมนเชสเตอร์ เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของอังกฤษและเป็นเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดในโลกผลิตสิ่งทอได้มากที่สุดในโลกในขณะนั้น และเป็นตลาดสินค้าฝ้ายที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ในการขนส่งสินค้าจะใช้การขนส่งทางเรือเป็นหลักเมืองแมนเชสเตอร์ไม่ได้ตั้งอยู่ติดกับทะเลจึงต้องขนล่องมาตาม
แม่น้ำเมอร์ซีย์ มาขึ้นเรือเดินสมุทรที่
ท่าเรือลิเวอร์พูล แล้วจึงส่งไปขายทั่วโลก ต่อมาอุตสาหกรรมได้ขยายตัวการขนส่งโดยการล่องมาตามแม่น้ำทำได้ช้าและส่งได้ปริมาณน้อยแม้จะมีการขุดคลองเพิ่มก็ยังขนส่งไม่ทัน ประกอบกับได้มีการปฏิวัตรอุตสาหกรรมด้านเหล็กแล้วนำมาสร้างรถไฟและทางรถไฟทำให้ขนส่งสินค้าได้รวดเร็วขึ้น เมืองแมนเชสเตอร์ กับ เมืองลิเวอร์พูลจึงมีการสร้างทางรถไฟเชื่อมกันนับเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างเมือง
การขนส่งสินค้ามากมายดังกล่าวทำให้ในปลายศตวรรษที่ 18 เมืองลิเวอร์พูล ได้เจริญเติบโตขึ้นมากกลายเป็นท่าเรือที่สำคัญของโลกว่ากันว่าในยุคนั้นสินค้ามากกว่า 40% ของโลกใบนี้ต้องมาเทียบท่าเรือที่เมอร์ซี่ย์ไซด์ การเจริญเติบโตของเมืองลิเวอร์พูลส่วนใหญ่มีรายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมและค่าขนส่งสินค้าที่ส่งมาจากแมนเชสเตอร์ ไม่ว่าจะส่งมาทางน้ำ ทางรถไฟก็ต้องเสียเงินให้เมืองลิเวอร์พูล แม้แต่จะซื้อฝ้ายดิบมาทอก็ต้องซื้อจากลิเวอร์พูล ชาวเมืองแมนเชสเตอร์ที่เป็นพ่อค้าและที่เป็นกรรมกรแรงงานจึงไม่พอใจชาวเมืองลิเวอร์พูลที่วันๆ ไม่ต้องทำงานทำการอะไรหนักๆ และเสี่ยงเหมือนพวกเขาแต่กลับอยู่ดีกินดีเพราะรายได้ที่เก็บจากพวกเขานั้นเอง ชาวเมืองแมนเชสเตอร์รู้สึกว่าพวกตนถูกข่มขี่ข่มเหงมาตลอดหลายร้อยปี ดังนั้นในปี 1894 ชาวเมืองแมนเชสเตอร์จึงรวมตัวกันขุดคลองออกสู่ทะเลโดยตรงเพื่อลดอำนาจต่อรองของเมืองลิเวอร์พูล คลอง "แมนเชสเตอร์ชิพ" มีความยาวกว่า 36 ไมล์จากทะเลมุ่งสู่เมืองแมนเชสเตอร์โดยตรงสามารถเข้ามาเทียบท่าถึงเมืองแมนเชสเตอร์ได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องจอดเทียบท่าที่เมืองลิเวอร์พูลอีกต่อไป นอกจากมีคลองลัดสู่ทะเลโดยตรงแล้ววิวัฒนาการรถไฟมีความก้าวหน้าเป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในและมีการสร้างทางรถไฟเชื่อมกันทั่วทั้งเกาะอังกฤษชาวเมืองแมนเชสเตอร์จึงใช้รถไฟขนส่งเลี่ยงไปส่งสินค้าที่ท่าเรืออื่นได้อีกด้วย ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้เมืองลิเวอร์พูลที่เคยรุ่งเรืองจากกิจการท่าเรือและการค้าต้องเสื่อมลง มีคนตกงานจำนวนมากสร้างความไม่พอใจให้ชาวเมืองลิเวอร์พูล
เรื่องของฟุตบอล
ความโกรธแค้นของผู้คนทั้งสองเมืองจากจุดเริ่มต้นตรงนั้นได้ก่อตัวลุกลามมายังกีฬาฟุตบอล ทั้งสองเมืองได้ก่อตั้งทีมฟุตบอลเพื่อทำการแข่งขันในประเทศ โดยเกมแดงเดือดเกมแรกของทั้งสองเมือง เกิดขึ้นในปี 1894 ซึ่งเป็นเกมที่ นิวตันฮีท ชื่อเดิมของทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้พบกับลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นทีมน้องใหม่ที่เพิ่งแยกตัวมาจาก ทีมเอฟเวอร์ตัน ลงแข่งขันกันเพื่อชิงสิทธิ์ว่าใครจะได้สิทธิ์ไปเล่นดิวิชั่น 1 อังกฤษ ผลของเกมแดงเดือดนัดแรกจบลงด้วยชัยชนะของทีมน้องใหม่แห่งแม่น้ำเมอร์ซี่ไซต์ ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 2 - 0 จากนั้นทีมลิเวอร์พูลก็รุดหน้าอย่างรวดเร็ว ชาวเมืองแมนเชสเตอร์จึงรู้สึกว่าไม่เพียงแต่ถูกเมืองลิเวอร์พูลข่มเหงในเชิงเศรษฐกิจเท่านั้น ในศึกการแข่งขันลูกหนังทีมลิเวอร์พูลซึ่งมีฐานะทางการเงินดีกว่าสามารถจ้างผู้เล่นที่มีฝีเท้าดีมาร่วมทีมก็เอาชนะทีมแมนเชสเตอร์เสมอเสมือนว่าข่มเหงแมนเชสเตอร์มาตลอด นานๆ ทีที่ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์จะสามารถเอาชนะทีมลิเวอร์พูลได้ก็จะสร้างความยินดีปรีดาออกมาเฉลิมฉลองกัน ดีใจประหนึ่งว่าได้รับเอกราชจากลิเวอร์พูลหรือหลุดพ้นจากลิเวอร์พูลแล้ว อีกทั้งสองทีมใช้สีแดงเป็นสีประจำทีมจึงอยากให้สีแดงของพวกตนยิ่งใหญ่อยู่เหนือสีแดงอื่นใด การชิงดีชิงเด่นของทั้งสองทีมเป็นเวลาเนิ่นนานร้อยปีที่แมนเชสเตอร์ต้องอยู่ไต้ร่มเงาความยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูล จนวันหนึ่งมีมหาบุรุษชื่อ "อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน" ก้าวเข้ามารับตำแห่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีมเมื่อปี 1986 และพาทีมชนะเลิศเอฟเอคัพ 5 สมัย ชนะเลิศเอฟเอพรีเมียร์ลีก 13 สมัย และชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 สมัย จึงถือเป็นการประกาศเอกราชทางฟุตบอลหลุดพ้นร่มเงาความยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูลอย่างแท้จริง ความยิ่งใหญ่ของท่านสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง แห่งสหราชอาณาจักร ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น"อัศวินแห่งอังกฤษ" นามเต็มว่า "เซอร์ อเล็กซานเดอร์ "อเล็กซ์" แชปแมน เฟอร์กูสัน (อังกฤษ: Sir Alexander “Alex” Chapman Ferguson)" ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฟุตบอล และเป็นทูตประจำสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
#เขียนเองไม่ต้องให้เครดิตใคร
ตำนานแดงเดือด Story of Red War...
ย้อนกลับไปสมัยอังกฤษ(สหราชอาณาจักร)ปฏิวัตรอุตสาหกรรมใหม่ๆ ได้มีการนำเครื่องมือ เครื่องจักรมาใช้แทนแรงงานของคนและสัตว์ทำให้ผลิตสินค้าได้มีคุณภาพดีขึ้น ผลิตได้รวดเร็วและเป็นจำนวนมาก อุตสาหกรรมยุคแรกเริ่มคืออุตสาหกรรมสิ่งทอ เมืองแมนเชสเตอร์ เป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองของอังกฤษและเป็นเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ที่สุดในโลกผลิตสิ่งทอได้มากที่สุดในโลกในขณะนั้น และเป็นตลาดสินค้าฝ้ายที่ใหญ่ที่สุดในโลกอีกด้วย ในการขนส่งสินค้าจะใช้การขนส่งทางเรือเป็นหลักเมืองแมนเชสเตอร์ไม่ได้ตั้งอยู่ติดกับทะเลจึงต้องขนล่องมาตาม แม่น้ำเมอร์ซีย์ มาขึ้นเรือเดินสมุทรที่ ท่าเรือลิเวอร์พูล แล้วจึงส่งไปขายทั่วโลก ต่อมาอุตสาหกรรมได้ขยายตัวการขนส่งโดยการล่องมาตามแม่น้ำทำได้ช้าและส่งได้ปริมาณน้อยแม้จะมีการขุดคลองเพิ่มก็ยังขนส่งไม่ทัน ประกอบกับได้มีการปฏิวัตรอุตสาหกรรมด้านเหล็กแล้วนำมาสร้างรถไฟและทางรถไฟทำให้ขนส่งสินค้าได้รวดเร็วขึ้น เมืองแมนเชสเตอร์ กับ เมืองลิเวอร์พูลจึงมีการสร้างทางรถไฟเชื่อมกันนับเป็นครั้งแรกของโลกที่มีการเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อระหว่างเมือง
การขนส่งสินค้ามากมายดังกล่าวทำให้ในปลายศตวรรษที่ 18 เมืองลิเวอร์พูล ได้เจริญเติบโตขึ้นมากกลายเป็นท่าเรือที่สำคัญของโลกว่ากันว่าในยุคนั้นสินค้ามากกว่า 40% ของโลกใบนี้ต้องมาเทียบท่าเรือที่เมอร์ซี่ย์ไซด์ การเจริญเติบโตของเมืองลิเวอร์พูลส่วนใหญ่มีรายได้จากการเก็บค่าธรรมเนียมและค่าขนส่งสินค้าที่ส่งมาจากแมนเชสเตอร์ ไม่ว่าจะส่งมาทางน้ำ ทางรถไฟก็ต้องเสียเงินให้เมืองลิเวอร์พูล แม้แต่จะซื้อฝ้ายดิบมาทอก็ต้องซื้อจากลิเวอร์พูล ชาวเมืองแมนเชสเตอร์ที่เป็นพ่อค้าและที่เป็นกรรมกรแรงงานจึงไม่พอใจชาวเมืองลิเวอร์พูลที่วันๆ ไม่ต้องทำงานทำการอะไรหนักๆ และเสี่ยงเหมือนพวกเขาแต่กลับอยู่ดีกินดีเพราะรายได้ที่เก็บจากพวกเขานั้นเอง ชาวเมืองแมนเชสเตอร์รู้สึกว่าพวกตนถูกข่มขี่ข่มเหงมาตลอดหลายร้อยปี ดังนั้นในปี 1894 ชาวเมืองแมนเชสเตอร์จึงรวมตัวกันขุดคลองออกสู่ทะเลโดยตรงเพื่อลดอำนาจต่อรองของเมืองลิเวอร์พูล คลอง "แมนเชสเตอร์ชิพ" มีความยาวกว่า 36 ไมล์จากทะเลมุ่งสู่เมืองแมนเชสเตอร์โดยตรงสามารถเข้ามาเทียบท่าถึงเมืองแมนเชสเตอร์ได้เลย โดยไม่จำเป็นต้องจอดเทียบท่าที่เมืองลิเวอร์พูลอีกต่อไป นอกจากมีคลองลัดสู่ทะเลโดยตรงแล้ววิวัฒนาการรถไฟมีความก้าวหน้าเป็นเครื่องยนต์สันดาปภายในและมีการสร้างทางรถไฟเชื่อมกันทั่วทั้งเกาะอังกฤษชาวเมืองแมนเชสเตอร์จึงใช้รถไฟขนส่งเลี่ยงไปส่งสินค้าที่ท่าเรืออื่นได้อีกด้วย ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทำให้เมืองลิเวอร์พูลที่เคยรุ่งเรืองจากกิจการท่าเรือและการค้าต้องเสื่อมลง มีคนตกงานจำนวนมากสร้างความไม่พอใจให้ชาวเมืองลิเวอร์พูล
เรื่องของฟุตบอล
ความโกรธแค้นของผู้คนทั้งสองเมืองจากจุดเริ่มต้นตรงนั้นได้ก่อตัวลุกลามมายังกีฬาฟุตบอล ทั้งสองเมืองได้ก่อตั้งทีมฟุตบอลเพื่อทำการแข่งขันในประเทศ โดยเกมแดงเดือดเกมแรกของทั้งสองเมือง เกิดขึ้นในปี 1894 ซึ่งเป็นเกมที่ นิวตันฮีท ชื่อเดิมของทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดได้พบกับลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นทีมน้องใหม่ที่เพิ่งแยกตัวมาจาก ทีมเอฟเวอร์ตัน ลงแข่งขันกันเพื่อชิงสิทธิ์ว่าใครจะได้สิทธิ์ไปเล่นดิวิชั่น 1 อังกฤษ ผลของเกมแดงเดือดนัดแรกจบลงด้วยชัยชนะของทีมน้องใหม่แห่งแม่น้ำเมอร์ซี่ไซต์ ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 2 - 0 จากนั้นทีมลิเวอร์พูลก็รุดหน้าอย่างรวดเร็ว ชาวเมืองแมนเชสเตอร์จึงรู้สึกว่าไม่เพียงแต่ถูกเมืองลิเวอร์พูลข่มเหงในเชิงเศรษฐกิจเท่านั้น ในศึกการแข่งขันลูกหนังทีมลิเวอร์พูลซึ่งมีฐานะทางการเงินดีกว่าสามารถจ้างผู้เล่นที่มีฝีเท้าดีมาร่วมทีมก็เอาชนะทีมแมนเชสเตอร์เสมอเสมือนว่าข่มเหงแมนเชสเตอร์มาตลอด นานๆ ทีที่ทีมจากเมืองแมนเชสเตอร์จะสามารถเอาชนะทีมลิเวอร์พูลได้ก็จะสร้างความยินดีปรีดาออกมาเฉลิมฉลองกัน ดีใจประหนึ่งว่าได้รับเอกราชจากลิเวอร์พูลหรือหลุดพ้นจากลิเวอร์พูลแล้ว อีกทั้งสองทีมใช้สีแดงเป็นสีประจำทีมจึงอยากให้สีแดงของพวกตนยิ่งใหญ่อยู่เหนือสีแดงอื่นใด การชิงดีชิงเด่นของทั้งสองทีมเป็นเวลาเนิ่นนานร้อยปีที่แมนเชสเตอร์ต้องอยู่ไต้ร่มเงาความยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูล จนวันหนึ่งมีมหาบุรุษชื่อ "อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน" ก้าวเข้ามารับตำแห่งหัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีมเมื่อปี 1986 และพาทีมชนะเลิศเอฟเอคัพ 5 สมัย ชนะเลิศเอฟเอพรีเมียร์ลีก 13 สมัย และชนะเลิศยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก 2 สมัย จึงถือเป็นการประกาศเอกราชทางฟุตบอลหลุดพ้นร่มเงาความยิ่งใหญ่ของลิเวอร์พูลอย่างแท้จริง ความยิ่งใหญ่ของท่านสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่สอง แห่งสหราชอาณาจักร ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็น"อัศวินแห่งอังกฤษ" นามเต็มว่า "เซอร์ อเล็กซานเดอร์ "อเล็กซ์" แชปแมน เฟอร์กูสัน (อังกฤษ: Sir Alexander “Alex” Chapman Ferguson)" ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการฟุตบอล และเป็นทูตประจำสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
#เขียนเองไม่ต้องให้เครดิตใคร