ด้วยความสงสัยมานาน ทำไม ทีม “หงส์แดง“ ลิเวอร์พูล และ “ผีแดง” แมนยู ถึง เกลียดกัน นักหนา เกลียดใครก็ไม่เท่าคู่อริ เหยียดหยามใครก็ไม่สะใจเท่าคู่อริ ชนะใครก็ไม่เท่าชนะคู่อริ
บางคนก็บอกว่า ไม่รู้ล่ะว่าเริ่มต้นที่ไหน ก็ เกลียดกัน มา หยามมา ก็เกลียดกลับ หยามกลับน่ะ ผมก็รักทีม หงส์/ผี ของผมนี่นา
บางคนก็บอกว่า คนบริหารทีม อาจจะอาฆาตกันมาก่อน แบบ เมืองทอง – บุรีรัมย์ ก็เป็นได้?
ขุดตำนาน เมืองอริ แมนยู – ลิเวอร์พูล เกลียดกัน เหตุการค้า
ย้อนกลับไปเมือ 120 กว่าปีที่แล้ว (ตอนนั้น ยังไม่มีทีมฟุตบอล) เมือง แมนเชสเตอร์ (Manchester) คือ เมืองอุตสาหกรรมที่เจริญรุ่งเรือง ในการผลิต ฝ้ายดิบ ส่วน ลิเวอร์พูล (Liverpool) คือ เมืองท่า (ท่าเรือ) ที่เงินไหนมาเทมา จากการ เป็นตัวเชื่อมในอังกฤษ ไปยังแดนตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ และไปยังอเมริกา
สองเมืองพึ่งพากันดี เพราะ แมนเชสเตอร์ ไม่มีจุดขนส่งออกแม่น้ำและทะเล แต่ในทศวรรษ 1870 เริ่มมีวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ทุกคนดิ้นรนเอาตัวรอด และ แมนเชสเตอร์ ก็รู้สึกว่า ทาง ลิเวอร์พูล เก็บค่าผ่านทาง ทั้งทางเรือ และรถไฟ สูงเกินไป จนคนแมนเชสเตอร์เดือดร้อน
บังเกิดความคิดที่จะสร้างท่าเรือ และขุดคลองเข้ามายัง แมนเชสเตอร์ ของตนเอง จึงระดมเงินขุดคลองยาวจาก แม่น้ำ Mersey เข้ามายังแมนเชสเตอร์ เปิดทำการเมื่อ 1894 การขุดคลองดังกล่าว ทำให้ เมืองลิเวอร์พูล ขาดรายได้ทันที รวมทั้ง มีคนตกงานเพิ่มขึ้น เป็นความแค้น เกลียดกัน แรกๆในอดีตกาล
แมนยู ลิเวอร์พูล เกลียดกัน ในแชมป์เกมส์ บอล
เรื่องของเรื่อง ก็มาจาก การที่สองทีม ไล่บี้กันเก็บคะแนน ถ้วย ในยุคนั้น ที่เรียกว่า มีเพียงสองทีมที่ยิ่งใหญ่สูสีกัน
บิล แชงคลีย์ นำ LFC ให้ได้แชมป์ลีคใน ปี 1963-1964 ซึ่งปีต่อมา มัตต์ บัสบี้ นำ แมนยู ได้แชมป์ลีก ตามด้วย LFC และ แมนยู สลับกันแบบนี้ ปีต่อปี บี้กันรดต้นคอ
ต่อมาเมื่อ แมนยู ได้แชมป์ ยูโรเปี้ยนคัพได้ ปี 1968 ทาง ลิเวอร์พูล ก็ตามมาเก็บ ยูโรเปี้ยนคัพบ้าง ไปอีก 4 ครั้ง สร้างหน้าตาให้กับ อังกฤษได้มากโข และเป็นหน้าเป็นตาแก่สโมสรอย่างมาก รวมทั้งเก็บ ถ้วยดิวิชั่น 1 ในบ้านได้ช้วน 11 สมัย (ณ จุดนี้ การเปลี่ยนมือจากกุนซือ บิล แชงคลีย์ ไปยัง บ็อบ เพลสลี่ย์ และ โจ เฟแกน ล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จ เป็นกุนซือมือทองทั้งนั้น)
ส่วน แมนยู นั้น ร้างถ้วยรางวัลนาน 26 ปีเลยทีเดียวจน กระทั่ง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เข้ามาเป็นกุนซือมือทองให้ผีแดง ในปี 1986 แล้วก็คว้าถ้วยลีกที่ 8 ให้กับ แมนยู ในฤดูกาล 1992-1993 ในอายุการทำงานกุมบังเหียนทั้ง 26 ปีกว่าๆให้กับแมนยู ป๋า ก็คว้าถ้วยลีกมาอีกเพียบ จนได้ครบ 20 ครั้ง! นำหน้า ลิเวอร์พูล เลยคราวนี้
ส่วน ลิเวอร์พูล เอง ก็ก้าวสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง เมื่อได้ครอง ยูโรเปี้ยนคัพ ถ้วยที่ 5 ในปี 2004-2005
ทุกครั้งที่มีศึก แดงเดือด ก็จะมี คนแห่มาชมกันแน่นสนาม พร้อมทั้งมีการเหยียดหยาม นักเลงตีกันต่างๆนานา ซึ่ง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บอกว่า “ไม่แปลกที่คนจะรอดู การแข่งขันของทีมสโมสรที่มีประวัติประสบความสำเร็จมากที่สุดสองทีม” นับว่าเป็นการให้เกียรติคู่แข่งอย่างดีเลย
อย่างไรก็ตาม ย้อนกลับไปในช่วงที่ผลัดกันได้แชมป์นั้น ถือว่าเป็นช่วงที่ทั้งสองเมือง สร้างรายได้เพิ่มขึ้นมาก เรียกได้ว่าเงินสะพัดจาก ทีมฟุตบอล มากโข (แต่ แมนเชสเตอร์ ก็ยังคงเป็นต่อในเรื่องของธุรกิจที่เฟื่องฟู และบ้านเมืองพัฒนามากกว่าอยู่ดี)
ดราม่า อื่นๆ
หมูพริ้ว เวนย์ รูนี่ย์ ที่เป็นกองหน้าสำคัญของ แมนยู เติบโตจากเมือง ลิเวอร์พูล และเป็นเด็กปั้นของ เอฟเวอร์ตัน อีกหนึ่งคู่แข่งตัวยง (Derby) ของ ลิเวอร์พูล (เรียกได้ว่า เฮียรูน จองล้างจองผลาญกับ LFC มาโดยตลอดนั่นเอง ส่วนแหล่งข่าวลือว่า เฮียรูนประกาศตัวเลยว่า เกลียด the Reds มานานแล้ว และจะอยู่กับทีมใดๆก็ตามที่จะตัดฝันสามแต้มของ หงส์ ให้ได้)
ส่วน เฮียเจิด สตีเฟ่น เจอร์รราร์ดก็ไม่น้อยหน้า เห็นหงิมๆนิสัยงาม เฮียบอกว่า แลกเสื้อกับนักเตะทีมอื่นมาหมดเลยแล้วมาแขวนไว้ที่บ้าน ยกเว้น แมนยู
ส่วนพ่อเหยิน กัดแหลก หลุยส์ ซัวเรซ (ลิเวอร์พูล) ก็สร้างประเด็นพูดถึง ปาทริซ เอฟร่า (แมนยู) ในเชิงดูถูกชาติพันธุ์ ทำให้ ถูกแบน 8 นัด และหลังจากนั้นพอมาเจอกันอีก เฮียเหยินก็ไม่ยอมจับมือกับ เอฟร่า อีก สร้างความขัดเคืองระหว่างแฟนทั้งสองทีม (แต่จริงๆ แล้ว ทุกคนก็รู้นิสัย พ่อเหยิน ว่า เฮียแกว่งมากขนาดไหนในเกมส์ต่อๆมา)
เรื่องราวนักเตะต่อๆมา หลายๆคนก็เป็นดราม่า ไม่ว่าจะกระทบกระทั่งในเกมส์ นอกเกมส์ ก็ดูเป็นเรื่องเป็นราวเสียหมด รวมทั้ง การย้ายทีมของนักเตะ ถ้าย้ายระหว่างสองทีมนี้ ถือว่า “ทรยศ” แฟนๆอย่างมาก ซึ่ง ไมเคิล โอเว่นเจ้าหนูมหัศจรรย์ ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ เติบโตจากทีมเยาวชนของ LFC หงส์แดง จนติดในทีมตัวจริง ต่อมาย้ายไป เรอัล มาดริด จากนั้นก็ย้ายไปอยู่กับนิวคาลเซิล ยูไนเต็ด แล้วมาอยู่กับ แมนยู แถมทะลึ่งได้แชมป์ลีกกับผีแดงอีกจนทำให้แฟนหงส์ ช้ำใจว่า เด็กปั้น ทรยศ (บางคน ถึงขนาดไม่อยากเรียกเขาเป็น LFC Legend ด้วยซ้ำ)
ศึกแห่ง สี แดงเดือด
ฟ้าบันดาลหรือไร สองทีมนี้ ดันมีสีนำโชค สีหลักเป็นสีแดงเหมือนกัน ดังนั้น เวลาไปเยือนถิ่นอีกฝั่งก็ต้องใส่สีทีมเยือน
เรียกว่า เป็นอริ สีแดงเหมือนกัน คนไทยเรียก ศึก แดงเดือด คนอังกฤษเรียก Red War
ปัจจุบัน แฟนบอลรุ่นใหม่จะรู้สึกถึง ความอาฆาตระหว่างสองทีมน้อยลงไป เพราะว่า ทั้งแมนยู และ ลิเวอร์พูล ต่างก็มีช่วงถดถอย โดยมี อาร์เซน่อล, เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดดเด่นขึ้นมา ก็เรียกได้ว่า ความสำเร็จของดาวเด่นเหล่านี้ กลบความบาดหมางของทีมใหญ่สองทีมนี้ไปได้บ้าง (คู่แข่งเยอะขึ้น ประมาทไม่ได้)
สีสันแฟนบอล หยามกัน
คดี ปีกพ่อมด ไรอัน กิ๊กส์ มีชู้กับเมียน้องชายตนเองถึงแปดปี รวมทั้งนอกใจเมียตนเองด้วย เป็นเรื่องร้ายแรงเชิงศีลธรรมมากๆ ซึ่งน้องชายก็แฉว่า ปีกแมนยูที่ปัจจุบันทำหน้าที่จัดการทีม พูดสารภาพหน้าด้านๆว่า “ไม่มีอะไรในกอไผ่เลยนะน้องรัก แค่เซ็กซ์ล้วนๆ” แฟนบอลชาว ผีแดง ส่ายหัวในพฤติกรรม แต่บอกว่า เรื่องในสนาม ในเตียง คนละเรื่องกันแยกแยะได้ (เพราะ กิ๊กส์ คือ หนึ่งในนักเตะมีฝีมือที่มีระเบียบดีที่สุด) ส่วนแฟนบอล หงส์แดง หยามว่า พฤติกรรมแบบนี้หรือที่แฟนผี ยกย่อง?
ช็อตพลาด ไม่ว่าจะยาม ลื่น หรือ โดนใบแดง ของเฮียเจิด เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ชาว the Kop พร้อมให้อภัยเมื่อคิดถึงคุณความดีของเฮียเจิดที่มีต่อหงส์แดงมาตั้งแต่เป็นนักเตะเยาวชน แต่ ชาว ปิศาจแดง บอกได้คำเดียวว่า น่าอายโคตรๆ
เรื่องถ้วยใครเยอะกว่า ยังคงเย้ยหยันกันได้เสมอ อยู่ที่ว่าใครจะนับถ้วยอะไรมาข่ม เพราะแมนยูครองถ้วยลีก 20 ครั้ง (ลิเวอร์พูล 18) ในขณะที่ ลิเวอร์พูล ครองถ้วยยูโรเปี้ยนคัพ 5 ครั้ง (แมนยู 3 ครั้ง) และถ้ามองเรื่องถ้วยลีก ทาง ลิเวอร์พูล ห่างเหินถ้วยลีกมานานกว่า 24 ปีแล้ว (ครั้งสุดท้าย ฤดูกาล 1989-1990)
รักสโมสรใดก็รักกันไป และขอให้ การข่มกัน หยามกันเป็นสีสันการเชียร์บอลแล้วกัน ว่าแล้วก็มาดู ภาพการหยามกันไปมา ของสองฝ่ายนะครับ (ใจเย็นๆนะ เราไม่ได้เสี้ยมนะ เรานำเสนอเฉยๆ ให้เห็นความคิดสร้างสรรค์ของแฟนคลับสองฝ่าย เพราะทีมงาน MThai เอง ก็มีแฟนคลับทั้งสองฝ่ายจ้า เราเข้าใจดีเลย สุดท้ายก็อยากให้แซวเป็นสีสัน แค่เกมส์กีฬานะจ๊ะ มีแพ้มีชนะ มีขึ้น มีลง)
ที่มา
http://sport.mthai.com/sport-variety/228056.html
ขุดคุ้ย! ทำไม แมนยู ลิเวอร์พูล เกลียดกัน นักหนา?
บางคนก็บอกว่า ไม่รู้ล่ะว่าเริ่มต้นที่ไหน ก็ เกลียดกัน มา หยามมา ก็เกลียดกลับ หยามกลับน่ะ ผมก็รักทีม หงส์/ผี ของผมนี่นา
บางคนก็บอกว่า คนบริหารทีม อาจจะอาฆาตกันมาก่อน แบบ เมืองทอง – บุรีรัมย์ ก็เป็นได้?
ขุดตำนาน เมืองอริ แมนยู – ลิเวอร์พูล เกลียดกัน เหตุการค้า
ย้อนกลับไปเมือ 120 กว่าปีที่แล้ว (ตอนนั้น ยังไม่มีทีมฟุตบอล) เมือง แมนเชสเตอร์ (Manchester) คือ เมืองอุตสาหกรรมที่เจริญรุ่งเรือง ในการผลิต ฝ้ายดิบ ส่วน ลิเวอร์พูล (Liverpool) คือ เมืองท่า (ท่าเรือ) ที่เงินไหนมาเทมา จากการ เป็นตัวเชื่อมในอังกฤษ ไปยังแดนตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ และไปยังอเมริกา
สองเมืองพึ่งพากันดี เพราะ แมนเชสเตอร์ ไม่มีจุดขนส่งออกแม่น้ำและทะเล แต่ในทศวรรษ 1870 เริ่มมีวิกฤตเศรษฐกิจตกต่ำ ทำให้ทุกคนดิ้นรนเอาตัวรอด และ แมนเชสเตอร์ ก็รู้สึกว่า ทาง ลิเวอร์พูล เก็บค่าผ่านทาง ทั้งทางเรือ และรถไฟ สูงเกินไป จนคนแมนเชสเตอร์เดือดร้อน
บังเกิดความคิดที่จะสร้างท่าเรือ และขุดคลองเข้ามายัง แมนเชสเตอร์ ของตนเอง จึงระดมเงินขุดคลองยาวจาก แม่น้ำ Mersey เข้ามายังแมนเชสเตอร์ เปิดทำการเมื่อ 1894 การขุดคลองดังกล่าว ทำให้ เมืองลิเวอร์พูล ขาดรายได้ทันที รวมทั้ง มีคนตกงานเพิ่มขึ้น เป็นความแค้น เกลียดกัน แรกๆในอดีตกาล
แมนยู ลิเวอร์พูล เกลียดกัน ในแชมป์เกมส์ บอล
เรื่องของเรื่อง ก็มาจาก การที่สองทีม ไล่บี้กันเก็บคะแนน ถ้วย ในยุคนั้น ที่เรียกว่า มีเพียงสองทีมที่ยิ่งใหญ่สูสีกัน
บิล แชงคลีย์ นำ LFC ให้ได้แชมป์ลีคใน ปี 1963-1964 ซึ่งปีต่อมา มัตต์ บัสบี้ นำ แมนยู ได้แชมป์ลีก ตามด้วย LFC และ แมนยู สลับกันแบบนี้ ปีต่อปี บี้กันรดต้นคอ
ต่อมาเมื่อ แมนยู ได้แชมป์ ยูโรเปี้ยนคัพได้ ปี 1968 ทาง ลิเวอร์พูล ก็ตามมาเก็บ ยูโรเปี้ยนคัพบ้าง ไปอีก 4 ครั้ง สร้างหน้าตาให้กับ อังกฤษได้มากโข และเป็นหน้าเป็นตาแก่สโมสรอย่างมาก รวมทั้งเก็บ ถ้วยดิวิชั่น 1 ในบ้านได้ช้วน 11 สมัย (ณ จุดนี้ การเปลี่ยนมือจากกุนซือ บิล แชงคลีย์ ไปยัง บ็อบ เพลสลี่ย์ และ โจ เฟแกน ล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จ เป็นกุนซือมือทองทั้งนั้น)
ส่วน แมนยู นั้น ร้างถ้วยรางวัลนาน 26 ปีเลยทีเดียวจน กระทั่ง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เข้ามาเป็นกุนซือมือทองให้ผีแดง ในปี 1986 แล้วก็คว้าถ้วยลีกที่ 8 ให้กับ แมนยู ในฤดูกาล 1992-1993 ในอายุการทำงานกุมบังเหียนทั้ง 26 ปีกว่าๆให้กับแมนยู ป๋า ก็คว้าถ้วยลีกมาอีกเพียบ จนได้ครบ 20 ครั้ง! นำหน้า ลิเวอร์พูล เลยคราวนี้
ส่วน ลิเวอร์พูล เอง ก็ก้าวสู่จุดสูงสุดอีกครั้ง เมื่อได้ครอง ยูโรเปี้ยนคัพ ถ้วยที่ 5 ในปี 2004-2005
ทุกครั้งที่มีศึก แดงเดือด ก็จะมี คนแห่มาชมกันแน่นสนาม พร้อมทั้งมีการเหยียดหยาม นักเลงตีกันต่างๆนานา ซึ่ง เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน บอกว่า “ไม่แปลกที่คนจะรอดู การแข่งขันของทีมสโมสรที่มีประวัติประสบความสำเร็จมากที่สุดสองทีม” นับว่าเป็นการให้เกียรติคู่แข่งอย่างดีเลย
อย่างไรก็ตาม ย้อนกลับไปในช่วงที่ผลัดกันได้แชมป์นั้น ถือว่าเป็นช่วงที่ทั้งสองเมือง สร้างรายได้เพิ่มขึ้นมาก เรียกได้ว่าเงินสะพัดจาก ทีมฟุตบอล มากโข (แต่ แมนเชสเตอร์ ก็ยังคงเป็นต่อในเรื่องของธุรกิจที่เฟื่องฟู และบ้านเมืองพัฒนามากกว่าอยู่ดี)
ดราม่า อื่นๆ
หมูพริ้ว เวนย์ รูนี่ย์ ที่เป็นกองหน้าสำคัญของ แมนยู เติบโตจากเมือง ลิเวอร์พูล และเป็นเด็กปั้นของ เอฟเวอร์ตัน อีกหนึ่งคู่แข่งตัวยง (Derby) ของ ลิเวอร์พูล (เรียกได้ว่า เฮียรูน จองล้างจองผลาญกับ LFC มาโดยตลอดนั่นเอง ส่วนแหล่งข่าวลือว่า เฮียรูนประกาศตัวเลยว่า เกลียด the Reds มานานแล้ว และจะอยู่กับทีมใดๆก็ตามที่จะตัดฝันสามแต้มของ หงส์ ให้ได้)
ส่วน เฮียเจิด สตีเฟ่น เจอร์รราร์ดก็ไม่น้อยหน้า เห็นหงิมๆนิสัยงาม เฮียบอกว่า แลกเสื้อกับนักเตะทีมอื่นมาหมดเลยแล้วมาแขวนไว้ที่บ้าน ยกเว้น แมนยู
ส่วนพ่อเหยิน กัดแหลก หลุยส์ ซัวเรซ (ลิเวอร์พูล) ก็สร้างประเด็นพูดถึง ปาทริซ เอฟร่า (แมนยู) ในเชิงดูถูกชาติพันธุ์ ทำให้ ถูกแบน 8 นัด และหลังจากนั้นพอมาเจอกันอีก เฮียเหยินก็ไม่ยอมจับมือกับ เอฟร่า อีก สร้างความขัดเคืองระหว่างแฟนทั้งสองทีม (แต่จริงๆ แล้ว ทุกคนก็รู้นิสัย พ่อเหยิน ว่า เฮียแกว่งมากขนาดไหนในเกมส์ต่อๆมา)
เรื่องราวนักเตะต่อๆมา หลายๆคนก็เป็นดราม่า ไม่ว่าจะกระทบกระทั่งในเกมส์ นอกเกมส์ ก็ดูเป็นเรื่องเป็นราวเสียหมด รวมทั้ง การย้ายทีมของนักเตะ ถ้าย้ายระหว่างสองทีมนี้ ถือว่า “ทรยศ” แฟนๆอย่างมาก ซึ่ง ไมเคิล โอเว่นเจ้าหนูมหัศจรรย์ ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ เติบโตจากทีมเยาวชนของ LFC หงส์แดง จนติดในทีมตัวจริง ต่อมาย้ายไป เรอัล มาดริด จากนั้นก็ย้ายไปอยู่กับนิวคาลเซิล ยูไนเต็ด แล้วมาอยู่กับ แมนยู แถมทะลึ่งได้แชมป์ลีกกับผีแดงอีกจนทำให้แฟนหงส์ ช้ำใจว่า เด็กปั้น ทรยศ (บางคน ถึงขนาดไม่อยากเรียกเขาเป็น LFC Legend ด้วยซ้ำ)
ศึกแห่ง สี แดงเดือด
ฟ้าบันดาลหรือไร สองทีมนี้ ดันมีสีนำโชค สีหลักเป็นสีแดงเหมือนกัน ดังนั้น เวลาไปเยือนถิ่นอีกฝั่งก็ต้องใส่สีทีมเยือน
เรียกว่า เป็นอริ สีแดงเหมือนกัน คนไทยเรียก ศึก แดงเดือด คนอังกฤษเรียก Red War
ปัจจุบัน แฟนบอลรุ่นใหม่จะรู้สึกถึง ความอาฆาตระหว่างสองทีมน้อยลงไป เพราะว่า ทั้งแมนยู และ ลิเวอร์พูล ต่างก็มีช่วงถดถอย โดยมี อาร์เซน่อล, เชลซี และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดดเด่นขึ้นมา ก็เรียกได้ว่า ความสำเร็จของดาวเด่นเหล่านี้ กลบความบาดหมางของทีมใหญ่สองทีมนี้ไปได้บ้าง (คู่แข่งเยอะขึ้น ประมาทไม่ได้)
สีสันแฟนบอล หยามกัน
คดี ปีกพ่อมด ไรอัน กิ๊กส์ มีชู้กับเมียน้องชายตนเองถึงแปดปี รวมทั้งนอกใจเมียตนเองด้วย เป็นเรื่องร้ายแรงเชิงศีลธรรมมากๆ ซึ่งน้องชายก็แฉว่า ปีกแมนยูที่ปัจจุบันทำหน้าที่จัดการทีม พูดสารภาพหน้าด้านๆว่า “ไม่มีอะไรในกอไผ่เลยนะน้องรัก แค่เซ็กซ์ล้วนๆ” แฟนบอลชาว ผีแดง ส่ายหัวในพฤติกรรม แต่บอกว่า เรื่องในสนาม ในเตียง คนละเรื่องกันแยกแยะได้ (เพราะ กิ๊กส์ คือ หนึ่งในนักเตะมีฝีมือที่มีระเบียบดีที่สุด) ส่วนแฟนบอล หงส์แดง หยามว่า พฤติกรรมแบบนี้หรือที่แฟนผี ยกย่อง?
ช็อตพลาด ไม่ว่าจะยาม ลื่น หรือ โดนใบแดง ของเฮียเจิด เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ชาว the Kop พร้อมให้อภัยเมื่อคิดถึงคุณความดีของเฮียเจิดที่มีต่อหงส์แดงมาตั้งแต่เป็นนักเตะเยาวชน แต่ ชาว ปิศาจแดง บอกได้คำเดียวว่า น่าอายโคตรๆ
เรื่องถ้วยใครเยอะกว่า ยังคงเย้ยหยันกันได้เสมอ อยู่ที่ว่าใครจะนับถ้วยอะไรมาข่ม เพราะแมนยูครองถ้วยลีก 20 ครั้ง (ลิเวอร์พูล 18) ในขณะที่ ลิเวอร์พูล ครองถ้วยยูโรเปี้ยนคัพ 5 ครั้ง (แมนยู 3 ครั้ง) และถ้ามองเรื่องถ้วยลีก ทาง ลิเวอร์พูล ห่างเหินถ้วยลีกมานานกว่า 24 ปีแล้ว (ครั้งสุดท้าย ฤดูกาล 1989-1990)
รักสโมสรใดก็รักกันไป และขอให้ การข่มกัน หยามกันเป็นสีสันการเชียร์บอลแล้วกัน ว่าแล้วก็มาดู ภาพการหยามกันไปมา ของสองฝ่ายนะครับ (ใจเย็นๆนะ เราไม่ได้เสี้ยมนะ เรานำเสนอเฉยๆ ให้เห็นความคิดสร้างสรรค์ของแฟนคลับสองฝ่าย เพราะทีมงาน MThai เอง ก็มีแฟนคลับทั้งสองฝ่ายจ้า เราเข้าใจดีเลย สุดท้ายก็อยากให้แซวเป็นสีสัน แค่เกมส์กีฬานะจ๊ะ มีแพ้มีชนะ มีขึ้น มีลง)
ที่มา http://sport.mthai.com/sport-variety/228056.html