ฟังความข้างหมอ กรณีสาวโสดร้อง ถูกมั่วตัดมดลูก รังไข่ ไตหาย!
11 ธ.ค. 2561 16:55 น.
ผอ.รพ.ศูนย์อุดรฯ ตั้งโต๊ะแถลง ยอมรับหมอตัดมดลูก-รังไข่ สาวโสดวัย 33 โดยพลการ ไม่ได้แจ้งให้ผู้ป่วยทราบ ส่วนไตข้างซ้ายยังอยู่แต่เสื่อม ฝ่ายผู้เสียหาย ยังไม่เชื่อ จะขอไปเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อให้แน่ใจว่าไตไม่หาย
จากกรณี น.ส.วรรณลี แสนชาติ อายุ 56 ปี นำ น.ส.ศินวพร หอมกลาง อายุ 33 ปี บุตรสาว เข้าร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุดรธานี ว่า น.ส.ศินวพร ได้เข้ารักษาโรคลำไส้อุดตัน และเนื้องอก “ช็อกโกแลตซีส” แต่แพทย์ศัลยกรรมบอกเป็นมะเร็ง ต้องผ่าตัดมดลูก และรังไข่ออก พร้อมเปิดหน้าท้องเปลี่ยนทางเดินไต ทำให้การดำรงชีวิตเปลี่ยนไป สุดท้ายแพทย์แจ้งว่าไม่ได้เป็นมะเร็ง เคยร้องเรียนหลายหน่วยงานมาแล้ว และมีการใช้ ม.41 เยียวยามาเป็นเงิน 240,000 บาทแต่ยังไม่พอใจได้อุทธรณ์อยู่ระหว่างรอผล แถมเหลือไตข้างเดียว ทำให้ร้องขอความเป็นธรรม ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น (อ่าน สาวร้อง หมอมั่วอ้างเจอมะเร็ง ตัดมดลูก รังไข่ ช็อกซ้ำ เพิ่งรู้ ไตหาย)
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 11 ธันวาคม 2561 ที่ห้องประชุมชั้น 7 โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี นพ.ณรงค์ ธาดาเดช ผอ.รพ.ศูนย์อุดรธานี นพ.เกรียงศักดิ์ พิมพ์ดา รอง ผอ. นพ.ธวัช ธรรมบวร หน.แพทย์ศัลยกรรม นพ.สุรพงษ์ แสนโภชน์ หัวหน้าแพทย์สูตินรีเวช ร่วมแถลงข่าวชี้แจงกรณี น.ส.ศินวพร หอมกลาง อายุ 33 ปี ชาว อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ที่เข้ารับการรักษาอาการปวดท้องลำไส้อุดตัน เข้าร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรมอุดรธานี ว่าวินิจฉัยโรคผิดพลาด และไตด้านหนึ่งได้หายไป
นพ.ณรงค์ ธาดาเดช ผอ.รพ.ศูนย์อุดรธานี กล่าวว่า วันนี้ได้เชิญผู้ป่วยที่เข้าร้องเรียน พร้อมญาติ และทนายความ เข้ารับฟังคำชี้แจงของแพทย์ โดยมีตัวแทนยุติธรรมจังหวัดอุดรธานี และประธานเครือข่ายภาคประชาชน จ.อุดรธานี ร่วมเป็นสักขีพยาน
ในประเด็นที่กำลังถูกสังคมสนใจคือ ไตด้านซ้าย ไม่ได้หายไปไหน โดยขออนุญาตผู้ป่วยนำภาพเอกซเรย์ มาชี้แจงต่อสื่อมวลชนเพื่อยืนยัน แต่ผู้ป่วยยังไม่อนุญาต การแถลงข่าวจึงอาจมีข้อจำกัดอยู่บ้าง
คณะแพทย์ชี้แจงว่า
ผู้ป่วยเข้ารักษาลำไส้อุดตัน แพทย์ได้ตรวจวินิจฉัย ผ่าตัดเอามดลูก รังไข่ เปลี่ยนทางเดินไต และเปิดทวารใหม่ที่หน้าท้องซ้าย จากภาพเอกซเรย์ไตด้านซ้าย ยังคงอยู่ในร่างกายของผู้ป่วย แต่การทำงานของไตด้านซ้ายน้อยมาก เป็นไตฝ่อก่อนการผ่าตัด ลักษณะไตด้านขวาทำงานด้านเดียว คงเกิดจากการสื่อสารที่ผิดพลาด ของผู้ทำการตรวจรักษาว่า “มีไตทำหน้าที่ข้างเดียว” ทำให้เข้าใจผิดว่าไตถูกตัดออกไป รวมทั้งไม่ได้ทำความใจให้ถูกต้อง ซึ่งมีขั้นตอนตั้งแต่หลังผ่าตัด ตลอดจนการเตรียมตัวกลับบ้าน
จากนั้นคณะแพทย์ฯ ได้ตอบข้อซักถามกรณีการตัดมดลูกและรังไข่ออกว่า เป็นการผ่าตัดของแพทย์ศัลยกรรมทั่วไป ซึ่งแพทย์สูตินรีเวช ไม่สามารถทำได้ โดยแพทย์จะประเมินภาวะ หากพบความรุนแรงส่วนไหนก็ต้องตัดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อร้ายมะเร็ง หรือเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ หรือช็อกโกแลตซีสต์ หากไม่เอาออกมาทั้งหมด ก็อาจกลับเกิดลุกลามอันตรายเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การจะนำอวัยวะใดออก จะต้องแจ้งและขออนุญาตผู้ป่วย และครั้งนี้ไม่มีการแจ้ง หรือขออนุญาต
"ขณะนี้โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี รวมทั้งสำนักงานสาธารณสุข จ.อุดรธานี กำลังรวบรวมหลักฐานการตรวจรักษา ส่งไปให้ราชวิทยาลัยศัลยกรรมแห่งประเทศไทย และราชวิทยาลัยสูตินรีเวชแห่งประเทศไทย วินิจฉัยว่าการผ่าตัดครั้งนี้ จนนำไปสู่การตัดมดลูก รังไข่ และอื่นๆ มีมาตรฐานการประกอบวิชาชีพหรือไม่ เมื่อผลออกมาจึงจะมีคำสั่ง ดำเนินการขั้นตอนต่อไป คาดว่าจะส่งข้อมูลได้ภายใน 2 สัปดาห์"
นพ.ณรงค์ ธาดาเดช ผอ.รพ.ศูนย์อุดรธานี กล่าวอีกว่า ผู้ป่วยได้รับการเยียวยาตาม ม.41 แม้คนไข้ยังไม่พอใจ อุทธรณ์ต่อ แต่ก็จะได้รับการดูแลหลังผ่าตัด รวมทั้งการนำลำไส้หน้าท้องกลับเข้าที่เดิม คาดว่าจะใช้เวลาราว 2 สัปดาห์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายการไปรักษาสถานพยาบาลที่อื่น ยอมรับว่าหลายเรื่องเกิดจากการสื่อสารผิดพลาด ซึ่งโรงพยาบาลจะต้องรับไปปรับปรุงแก้ไข
ด้าน น.ส.ศินวพร ผู้ป่วยถูกตัดมดลูกและรังไข่ เปิดเผยว่า วันนี้โรงพยาบาลฯ โทรแจ้ง ให้มาตรวจรักษาปิดทวารหน้าท้อง เมื่อมาถึงโรงพยาบาลพร้อมแม่ ถูกเรียกให้เข้าไปคุยที่ห้อง ผอ.โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี มีแพทย์รังสี ยุติธรรมจังหวัด และทนายความของโรงพยาบาล มีการนำฟิล์มเอกซเรย์มาให้ดู พร้อมกับชี้ยืนยันว่าไตข้างซ้ายไม่ได้ถูกตัด ยังอยู่ในร่างกายตามปกติ แต่ไตมีอาการเสื่อมไม่ทำงาน พร้อมเกลี้ยกล่อมให้ลงลายมือชื่อยอมรับ และยินยอมให้แถลงข่าว
"ฟิล์มเอกซเรย์ที่นำมาให้ดูมืดทั้งแผ่น ดูไม่ออกว่าไตอยู่ตรงไหน ส่วนที่ผ่านมาก็ไม่เคยรับแจ้งว่า ไตข้างหนึ่งมีอาการฝ่อ ทำงานไม่เต็มที่ ในรายงานก็เคยเขียนไว้ จึงยังไม่เชื่อว่าไตยังอยู่ที่เดิม และไม่ยินยอมลงลายมือชื่อ แต่จะขอไปเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจหาไตว่ายังอยู่ให้แน่ใจ โดยปรึกษากันว่า จะไปตรวจที่โรงพยาบาลเป็นกลาง อาจจะเป็นโรงพยาบาลศิริราช หรือโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น เพื่อพิสูจน์ความจริงต่อไป"
https://www.thairath.co.th/content/1442301
ฟังความข้างหมอ กรณีสาวโสดร้อง ถูกมั่วตัดมดลูก รังไข่ ไตหาย!
11 ธ.ค. 2561 16:55 น.
ผอ.รพ.ศูนย์อุดรฯ ตั้งโต๊ะแถลง ยอมรับหมอตัดมดลูก-รังไข่ สาวโสดวัย 33 โดยพลการ ไม่ได้แจ้งให้ผู้ป่วยทราบ ส่วนไตข้างซ้ายยังอยู่แต่เสื่อม ฝ่ายผู้เสียหาย ยังไม่เชื่อ จะขอไปเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อให้แน่ใจว่าไตไม่หาย
จากกรณี น.ส.วรรณลี แสนชาติ อายุ 56 ปี นำ น.ส.ศินวพร หอมกลาง อายุ 33 ปี บุตรสาว เข้าร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดอุดรธานี ว่า น.ส.ศินวพร ได้เข้ารักษาโรคลำไส้อุดตัน และเนื้องอก “ช็อกโกแลตซีส” แต่แพทย์ศัลยกรรมบอกเป็นมะเร็ง ต้องผ่าตัดมดลูก และรังไข่ออก พร้อมเปิดหน้าท้องเปลี่ยนทางเดินไต ทำให้การดำรงชีวิตเปลี่ยนไป สุดท้ายแพทย์แจ้งว่าไม่ได้เป็นมะเร็ง เคยร้องเรียนหลายหน่วยงานมาแล้ว และมีการใช้ ม.41 เยียวยามาเป็นเงิน 240,000 บาทแต่ยังไม่พอใจได้อุทธรณ์อยู่ระหว่างรอผล แถมเหลือไตข้างเดียว ทำให้ร้องขอความเป็นธรรม ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น (อ่าน สาวร้อง หมอมั่วอ้างเจอมะเร็ง ตัดมดลูก รังไข่ ช็อกซ้ำ เพิ่งรู้ ไตหาย)
ความคืบหน้ากรณีดังกล่าว เมื่อเวลา 10.30 น. วันที่ 11 ธันวาคม 2561 ที่ห้องประชุมชั้น 7 โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี นพ.ณรงค์ ธาดาเดช ผอ.รพ.ศูนย์อุดรธานี นพ.เกรียงศักดิ์ พิมพ์ดา รอง ผอ. นพ.ธวัช ธรรมบวร หน.แพทย์ศัลยกรรม นพ.สุรพงษ์ แสนโภชน์ หัวหน้าแพทย์สูตินรีเวช ร่วมแถลงข่าวชี้แจงกรณี น.ส.ศินวพร หอมกลาง อายุ 33 ปี ชาว อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี ที่เข้ารับการรักษาอาการปวดท้องลำไส้อุดตัน เข้าร้องเรียนต่อศูนย์ดำรงธรรมอุดรธานี ว่าวินิจฉัยโรคผิดพลาด และไตด้านหนึ่งได้หายไป
นพ.ณรงค์ ธาดาเดช ผอ.รพ.ศูนย์อุดรธานี กล่าวว่า วันนี้ได้เชิญผู้ป่วยที่เข้าร้องเรียน พร้อมญาติ และทนายความ เข้ารับฟังคำชี้แจงของแพทย์ โดยมีตัวแทนยุติธรรมจังหวัดอุดรธานี และประธานเครือข่ายภาคประชาชน จ.อุดรธานี ร่วมเป็นสักขีพยาน ในประเด็นที่กำลังถูกสังคมสนใจคือ ไตด้านซ้าย ไม่ได้หายไปไหน โดยขออนุญาตผู้ป่วยนำภาพเอกซเรย์ มาชี้แจงต่อสื่อมวลชนเพื่อยืนยัน แต่ผู้ป่วยยังไม่อนุญาต การแถลงข่าวจึงอาจมีข้อจำกัดอยู่บ้าง
คณะแพทย์ชี้แจงว่า ผู้ป่วยเข้ารักษาลำไส้อุดตัน แพทย์ได้ตรวจวินิจฉัย ผ่าตัดเอามดลูก รังไข่ เปลี่ยนทางเดินไต และเปิดทวารใหม่ที่หน้าท้องซ้าย จากภาพเอกซเรย์ไตด้านซ้าย ยังคงอยู่ในร่างกายของผู้ป่วย แต่การทำงานของไตด้านซ้ายน้อยมาก เป็นไตฝ่อก่อนการผ่าตัด ลักษณะไตด้านขวาทำงานด้านเดียว คงเกิดจากการสื่อสารที่ผิดพลาด ของผู้ทำการตรวจรักษาว่า “มีไตทำหน้าที่ข้างเดียว” ทำให้เข้าใจผิดว่าไตถูกตัดออกไป รวมทั้งไม่ได้ทำความใจให้ถูกต้อง ซึ่งมีขั้นตอนตั้งแต่หลังผ่าตัด ตลอดจนการเตรียมตัวกลับบ้าน
จากนั้นคณะแพทย์ฯ ได้ตอบข้อซักถามกรณีการตัดมดลูกและรังไข่ออกว่า เป็นการผ่าตัดของแพทย์ศัลยกรรมทั่วไป ซึ่งแพทย์สูตินรีเวช ไม่สามารถทำได้ โดยแพทย์จะประเมินภาวะ หากพบความรุนแรงส่วนไหนก็ต้องตัดทิ้ง ไม่ว่าจะเป็นเนื้อร้ายมะเร็ง หรือเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ หรือช็อกโกแลตซีสต์ หากไม่เอาออกมาทั้งหมด ก็อาจกลับเกิดลุกลามอันตรายเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การจะนำอวัยวะใดออก จะต้องแจ้งและขออนุญาตผู้ป่วย และครั้งนี้ไม่มีการแจ้ง หรือขออนุญาต
"ขณะนี้โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี รวมทั้งสำนักงานสาธารณสุข จ.อุดรธานี กำลังรวบรวมหลักฐานการตรวจรักษา ส่งไปให้ราชวิทยาลัยศัลยกรรมแห่งประเทศไทย และราชวิทยาลัยสูตินรีเวชแห่งประเทศไทย วินิจฉัยว่าการผ่าตัดครั้งนี้ จนนำไปสู่การตัดมดลูก รังไข่ และอื่นๆ มีมาตรฐานการประกอบวิชาชีพหรือไม่ เมื่อผลออกมาจึงจะมีคำสั่ง ดำเนินการขั้นตอนต่อไป คาดว่าจะส่งข้อมูลได้ภายใน 2 สัปดาห์"
นพ.ณรงค์ ธาดาเดช ผอ.รพ.ศูนย์อุดรธานี กล่าวอีกว่า ผู้ป่วยได้รับการเยียวยาตาม ม.41 แม้คนไข้ยังไม่พอใจ อุทธรณ์ต่อ แต่ก็จะได้รับการดูแลหลังผ่าตัด รวมทั้งการนำลำไส้หน้าท้องกลับเข้าที่เดิม คาดว่าจะใช้เวลาราว 2 สัปดาห์ รวมทั้งค่าใช้จ่ายการไปรักษาสถานพยาบาลที่อื่น ยอมรับว่าหลายเรื่องเกิดจากการสื่อสารผิดพลาด ซึ่งโรงพยาบาลจะต้องรับไปปรับปรุงแก้ไข
ด้าน น.ส.ศินวพร ผู้ป่วยถูกตัดมดลูกและรังไข่ เปิดเผยว่า วันนี้โรงพยาบาลฯ โทรแจ้ง ให้มาตรวจรักษาปิดทวารหน้าท้อง เมื่อมาถึงโรงพยาบาลพร้อมแม่ ถูกเรียกให้เข้าไปคุยที่ห้อง ผอ.โรงพยาบาลศูนย์อุดรธานี มีแพทย์รังสี ยุติธรรมจังหวัด และทนายความของโรงพยาบาล มีการนำฟิล์มเอกซเรย์มาให้ดู พร้อมกับชี้ยืนยันว่าไตข้างซ้ายไม่ได้ถูกตัด ยังอยู่ในร่างกายตามปกติ แต่ไตมีอาการเสื่อมไม่ทำงาน พร้อมเกลี้ยกล่อมให้ลงลายมือชื่อยอมรับ และยินยอมให้แถลงข่าว
"ฟิล์มเอกซเรย์ที่นำมาให้ดูมืดทั้งแผ่น ดูไม่ออกว่าไตอยู่ตรงไหน ส่วนที่ผ่านมาก็ไม่เคยรับแจ้งว่า ไตข้างหนึ่งมีอาการฝ่อ ทำงานไม่เต็มที่ ในรายงานก็เคยเขียนไว้ จึงยังไม่เชื่อว่าไตยังอยู่ที่เดิม และไม่ยินยอมลงลายมือชื่อ แต่จะขอไปเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เพื่อตรวจหาไตว่ายังอยู่ให้แน่ใจ โดยปรึกษากันว่า จะไปตรวจที่โรงพยาบาลเป็นกลาง อาจจะเป็นโรงพยาบาลศิริราช หรือโรงพยาบาลศรีนครินทร์ จ.ขอนแก่น เพื่อพิสูจน์ความจริงต่อไป"
https://www.thairath.co.th/content/1442301