ประเทศ “ ฝรั่งเศส ” แซบมาก ชาวไทย en France ว่าอย่างไรกันบ้าง

เกิดการประท้วงที่ใหญ่ทั่วทั้งประเทศฝรั่งเศส ทั้งจากกลุ่ม Gilets jaunes, กลุ่มนักเรียนกับนิสิต, และกลุ่มอื่นๆ

ชาวไทยที่ประเทศฝรั่งเศสสบายดีไหม ฮิฮิฮิ

ติดตามรับชมท่านประธานาธิบดีแถลงในวันพรุ่งนี้

ผมมีคำถามที่อยากจะถาม “ เฉพาะ ” ชาวไทยที่อยู่หรือที่เคยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ว่าคุณอยากที่จะให้คุณมาครง (Macron) ทำการบริหารประเทศต่อหรือไม่ครับ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 21
ผมขอแชร์ข้อมูลเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อที่จะได้นำไปต่อเนื่องกับเหตุการณ์ในฝรั่งเศสที่จะเกิดตามมาหลังจากนี้  จะออกหัวออกก้อยอย่างไรก็ติดตามกันต่อไป   ช่วงนี้เหตุการณ์การเมืองของโลกผันผวนไปทั่วทุกทวีป  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสไตล์บริหารประเทศของทรัมป์ที่ทำเอาโลกปั่นป่วนไปหมด   การออกจาก อียู ของ อังกฤษ   และการเปลี่ยนแปลงการเมืองของยุโรปไปในทางนิยมขวามากขึ้นเรื่อยๆ ในหลายประเทศ

1)   อันดับแรกเลย  ต้องขอโทษคุณ zodiac ก่อนที่ผมด่วนตอบไปเรื่องการที่ตัวแทนผู้ประท้วงเสื้อกั๊กเหลืองหรือ  („gilets jaunes“) ได้เรียกร้องให้นายพล Pierre de Villiers มาเป็นผู้นำประเทศนั้น    เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ โดยผู้ที่พูดคือ  Christophe Chalençon ซึ่งเป็นตัวแทนเสื้อกั๊กเหลืองจาก  Département Vaucluse เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา    เรื่องนี้ที่ผมมาทราบในตอนนี้เนื่องจากนักการเมืองฝรั่งเศสซึ่งมีเชื้อสายเยอรมันด้วย   สังกัดพรรคกรีนในรัฐสภา อียู  คือ Daniel Cohn-Bendit ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์การประทัวงในครั้งนี้   Daniel Cohn-Bendit มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาจากการที่เคยเป็นผู้นำประท้วง  "เสื้อกั๊กเหลือง" ในอดีตเมื่อปี 1968 ในขณะที่ตนเองเป็นนักศึกษาในครั้งนั้นเป็นการประท้วงเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดี นายพล ชาร์ล เดอ โกล  ออกจากตำแหน่ง    แต่เหตุการณ์กลายกลับเป็นว่าตัวแทนผู้ชุมนุมเส์้อกั๊กเหลืองในวันนี้กลับเรียกร้องให้นายพลทหารขึ้นมาเป็นผู้นำแทน

แท้ที่จริงแล้วการที่ผู้ชุมนุมเสื้อกั๊กเหลืองเรียกร้องการเป็นผู้นำทางการเมืองฝรั่งเศสโดยนายพล Pierre de Villiers  นั้นมีที่มาจากเบื้องหลังที่ว่า  Pierre de Villiers  ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพบกก่อนเกษียณอายุเนื่องจากไม่เห็นด้วยการนโยบายของ Macron ที่ทำการลดงบประมาณใช้จ่ายของกองทัพลงจำนวนเงิน 850 ล้านยูโรในปีงบประมาณ 2018   ซึ่ง Pierre de Villiers เห็นว่าจะทำให้กองทัพฝรั่งเศสอ่อนแอลงจนขาดสมรรถภาพในการปกป้องประเทศลงไป    Pierre de Villiers  ลาออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนกรกฏาคม ปี 2017  ขณะมีอายุได้ 60 ปี

Pierre de Villiers ได้แสดงจุดยืนในฐานะทหารอาชีพที่แตกต่างกันคนละขั้วกับ Macron ที่เป็นนักการเมือง   นอกจากเรื่องงบประมาณทางทหารแล้วที่ยังเห็นแตกต่างคือ  การให้ความสำคัญกับ อียู  ซึ่ง Macron เห็นว่ายุโรปจะมีความอยู่รอดก็ด้วยการร่วมกันของสหภาพยุโรปเท่านั้น   ในขณะที่ Pierre de Villiers  ต้องการเห็นความเป็นอธิปไตยของฝรั่งเศสเท่านั้น

บุคลิกหนึ่งของ Pierre de Villiers ในฐานะนายพลผู้นำกองทัพสูงสุดคือ   การแสดงให้เห็นเสมอมาว่า   "การมีอำนาจสั่งการ" นั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเป็นผู้นำแต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือการใส่ใจต่อความรู้สึกและสภาพความเป็นอยู่ของผู้ที่อยู่เบื้องล่างลงไปด้วย   ซึ่งเขาได้เขียนระบุในรายละเอียดไว้ในหนังสือ 2 เล่มที่เขียนขึ้นหลังจากที่ลงจากตำแหน่งแล้ว

และนี่เองคือสาเหตุที่ผู้ชุมนุมเสื้อกั๊กเหลืองถึงได้นำชื่อ Pierre de Villiers  มาเป็นตัวชูโรงในการแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่ Macron กระทำการทางการเมืองลงไปโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อชนชั้นล่าง   แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องการให้ de Villiers  มาเป็นผู้นำจริงๆ

2)  EMMANUEL MACRON  ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของฝรั่งเศสขึ้นครองตำแหน่งด้วยการรับเสียงสนับสนุนข้างมากในรัฐสภาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2017  Macron แสดงจุดยืนนโยบายการเมืองด้วยการเน้นเศรษฐกิจและดูแลสังคม   ก่อนหน้านี้เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเศรษฐกิจฝรั่งเศสระหว่างปี 2014-2016  ภายใต้การนำของประธานาธิบดี  François Hollande   โดยการศึกษาและอาชีพแล้ว Macron มาทางด้านสายการเงินการธนาคารโดยทำงานกับ Investment Bank มาก่อน   ซึ่งน่าจะเป็นคุณสมบัติที่ได้เปรียบของผู้นำประเทศที่ประสบสถานะการณ์การแข่งขันทางเศรษฐกิจของโลกสูงในปัจจุบัน

เนื่องจากการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีด้วยอายุยังน้อยแต่มีไฟในการทำงานเต็มที่   Macron จึงมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจของฝรั่งเศสที่ย่ำแย่มาช้านานจนได้รับสมญานามว่า the sick man of Europe  (The eight charts that show France is the sick man of Europe  -  https://www.telegraph.co.uk/business/2017/03/06/eight-charts-show-france-sick-man-europe/)    Macron จึงไม่มีทางเลือกอื่นใดเลยนอกจากจะต้องปฏิรูปการเมืองเพื่อนำเศรษฐกิจที่เข้มแข็งกลับมาสู่ฝรั่งเศสอีกครั้ง

Macron เข้ามารับตำแหน่งด้วยความตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยมที่จะปฏิรูประบบการเมืองทั้งของฝรั่งเศสและ อียู  ในหลายๆ ด้าน   เขาได้เสนอมาตรการการแก้ไขปัญหาในหลายเรื่องและได้รับการถูกจับตามองจากผู้นำยุโรปทั้งหลายว่า   เป็นผู้นำหนุ่มที่มีพรสวรรค์    แต่การที่เขาขาดประสบการณ์ทางการเมืองทำให้การนำมาตรการต่างๆ มาใช้นั้นขาดความรอบคอบที่จะพิจารณาถึงผลกระทบต่างๆ ที่จะตามมา   โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมของฝรั่งเศสที่แยกกลุ่มคนจนคนรวยอยู่อย่างชัดเจน    และแน่นอนว่าการปฏิรุปในทุกเรื่องจะต้องส่งผลกระทบต่อชนชั้นล่างมากกว่ากลุ่มผู้มีรายได้ดี  เช่น  มาตรการการปฏิรูปตลาดแรงงานที่จะแก้ไขอัตราการว่างงานในฝรั่งเศสสูง   หนึ่งในมาตรการนั้นคือการหย่อนกฏหมายการคุ้มครองลูกจ้างลงมาเพื่อให้นายจ้างได้มีโอกาสจ้างงานเพิ่มขึ้นได้    ก็ถูกสหภาพแรงงานต่อต้านประท้วงเสียจนไม่สามารถผ่านไปได้

รวมทั้งมาตรการที่เขาได้ยกเลิกภาษีที่ดินและสิ่งก่อสร้างซึ่งแน่นอนว่า  ผู้มีรายได้ดีเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์นี้

และมาถึงเรื่องนี้อีกที่ Macron ขึ้นภาษีน้ำมันเพราะต้องการจะนำเงินไปพัฒนาเทคโนโลยี่ด้านพลังานธรรมชาติทดแทนซึ่งปัจจุบันฝรั่งเศสยังล้าหลังประเทศอื่นอย่างมากเนื่องจากฝรั่งเศสยังยึดติดอยู่กับการใช้พลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์    และสนับสนุนให้ผู้คนหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นเพื่อลดมลพิษลงก็พบกับการประท้วงของเสือกั๊กเหลืองอีก

ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วมีเหตุผลสำคัญๆ มากมายที่ฝรั่งเศสต้องทำการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงเนื่องจากปัจจุบันฝรั่งเศสเองมีหนี้กู้ยืมเงินเกินงบประมาณประจำปีของประเทศเกินกว่าที่กฏเกณฑ์  อียู กำหนดไว้ที่ 3%  มาหลายปีจนกระทั่งขณะนี้คณะกรรมการ อียู  ได้ยื่นเรื่องพิจารณาโทษหากฝรั่งเศสไม่สามารถลดหนี้ลงมาให้อยู่ในกำหนดได้

3)  ผู้ประท้วงกลุ่มเสื้อกั๊กเหลืองคือใคร?  และมีจุดประสงค์อะไรในการประท้วงครั้งนี้?

เป็นที่น่าสังเกตุว่ากลุ่มประท้วงกลุ่มนี้รวมตัวกันเองโดยทาง social media  นัดแนะกันเองทาง facebook และที่ใส่เสื้อกั๊กเหลืองก็เพราะว่าทุกคนมีไว้ประจำในรถยนต์กันอยู่แล้วตามกฏจราจร    ฉะนั้นกลุ่มนี้จึงรวมตัวกันขึ้นโดยปราศจากการนำจากสหภาพแรงงานหรือไม่ใช่แม้แต่มีกลุ่มการเมืองใดๆ เป็นผู้นำทั้งสิ้น  จึงจะเห็นได้ว่าจากการสำรวจความนิยมของพรรคกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่เป็นฝ่ายค้านกับรัฐบาล Macron  ไม่มีพรรคใดได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเลยไม่ว่าจะเป็นฝ่ายซ้ายสังคมนิยมหรือแม้แต่พรรคขวาจัดของ Marine Le Pen   และแม้แต่รัฐบาลเองจะต้องการเจรจาหาข้อยุติก็ยังไม่รู้ว่าจะเจรจากับใครกันแน่เนื่องจากผู้นำกลุ่มไม่มีอย่างชัดเจน

เมื่อเริ่มนั้นเป็นการประท้วงการขึ้นภาษีน้ำมันซึ่งมีผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น   แต่ในขณะนี้ข้อเรียกร้องได้ขยายเพิ่มขึ้นไปถึงการเพิ่มเงินค่าจ้างขั้นต่ำ  การปฏิรูประบบเงินภาษีที่จะลดภาระสำหรับคนรายได้น้อยลง  และเลยไปถึงการเรียกร้องให้ Macron  ออกจากตำแหน่ง

ที่น่าสนใจคือจากการสำรวจประชามตินั้น  ประชาชนชาวฝรั่งเศสเกินครึ่งของประชากรทั้งหมด 67 ล้านคนให้การสนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อกั๊กเหลีองนี้    นั่นแสดงให้เห็นว่าแม้ว่า Macron จะมีเจตนาดีต่อประเทศชาติ   แต่การลงมือปฏิบัตินโยบายนั้นมีความผิดพลาดเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีการเตรียมความพร้อมในการชดเชยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับชนกลุ่มรายได้น้อยไว้อย่างเพียงพอ

ฝรั่งเศสจึงอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก   ด้านหนึ่งเศรษฐกิจของประเทศก็อยู่ในสภาวะย่ำแย่   อีกด้านหนึ่งที่จำเป็นต้องปฏิรูปแก้ไขแต่ประชาชนในประเทศเองก็ไม่ร่วมมือด้วย

ไม่ว่าจะเป็นใครมาเป็นผู้นำประเทศก็ยากที่จะนำประเทศออกจากวิกฤตเพื่อไปสู่ความสำเร็จได้
ความคิดเห็นที่ 2
ประเทศไทยก็คงไม่พ้นในเมื่อการเลือกตั้ง
ก็ยังไม่เปนธรรม100% ได้ข่าวว่า
มี ส.ว รอลากตั้งไปออกเสียงตั้ง250เสียง
ถ้าลุงได้เสียงอีกแค่162เสียงก็ครบนั่งเก้าอี้
ทันที จริงๆ ส.ว ควรมาจากประชาชนมากที่สุดนะ
เพราะมีหน้าที่ตรวจสอบ สภาผู้แทนให้ประชาชน
พอมาจากการลากตั้งเต็มใบขนาดนี้ จะเกิด
อะไรขึ้นในอนาคตไม่อยากจะคิด
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่