สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 21
ผมขอแชร์ข้อมูลเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อที่จะได้นำไปต่อเนื่องกับเหตุการณ์ในฝรั่งเศสที่จะเกิดตามมาหลังจากนี้ จะออกหัวออกก้อยอย่างไรก็ติดตามกันต่อไป ช่วงนี้เหตุการณ์การเมืองของโลกผันผวนไปทั่วทุกทวีป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสไตล์บริหารประเทศของทรัมป์ที่ทำเอาโลกปั่นป่วนไปหมด การออกจาก อียู ของ อังกฤษ และการเปลี่ยนแปลงการเมืองของยุโรปไปในทางนิยมขวามากขึ้นเรื่อยๆ ในหลายประเทศ
1) อันดับแรกเลย ต้องขอโทษคุณ zodiac ก่อนที่ผมด่วนตอบไปเรื่องการที่ตัวแทนผู้ประท้วงเสื้อกั๊กเหลืองหรือ („gilets jaunes“) ได้เรียกร้องให้นายพล Pierre de Villiers มาเป็นผู้นำประเทศนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ โดยผู้ที่พูดคือ Christophe Chalençon ซึ่งเป็นตัวแทนเสื้อกั๊กเหลืองจาก Département Vaucluse เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เรื่องนี้ที่ผมมาทราบในตอนนี้เนื่องจากนักการเมืองฝรั่งเศสซึ่งมีเชื้อสายเยอรมันด้วย สังกัดพรรคกรีนในรัฐสภา อียู คือ Daniel Cohn-Bendit ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์การประทัวงในครั้งนี้ Daniel Cohn-Bendit มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาจากการที่เคยเป็นผู้นำประท้วง "เสื้อกั๊กเหลือง" ในอดีตเมื่อปี 1968 ในขณะที่ตนเองเป็นนักศึกษาในครั้งนั้นเป็นการประท้วงเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดี นายพล ชาร์ล เดอ โกล ออกจากตำแหน่ง แต่เหตุการณ์กลายกลับเป็นว่าตัวแทนผู้ชุมนุมเส์้อกั๊กเหลืองในวันนี้กลับเรียกร้องให้นายพลทหารขึ้นมาเป็นผู้นำแทน
แท้ที่จริงแล้วการที่ผู้ชุมนุมเสื้อกั๊กเหลืองเรียกร้องการเป็นผู้นำทางการเมืองฝรั่งเศสโดยนายพล Pierre de Villiers นั้นมีที่มาจากเบื้องหลังที่ว่า Pierre de Villiers ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพบกก่อนเกษียณอายุเนื่องจากไม่เห็นด้วยการนโยบายของ Macron ที่ทำการลดงบประมาณใช้จ่ายของกองทัพลงจำนวนเงิน 850 ล้านยูโรในปีงบประมาณ 2018 ซึ่ง Pierre de Villiers เห็นว่าจะทำให้กองทัพฝรั่งเศสอ่อนแอลงจนขาดสมรรถภาพในการปกป้องประเทศลงไป Pierre de Villiers ลาออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนกรกฏาคม ปี 2017 ขณะมีอายุได้ 60 ปี
Pierre de Villiers ได้แสดงจุดยืนในฐานะทหารอาชีพที่แตกต่างกันคนละขั้วกับ Macron ที่เป็นนักการเมือง นอกจากเรื่องงบประมาณทางทหารแล้วที่ยังเห็นแตกต่างคือ การให้ความสำคัญกับ อียู ซึ่ง Macron เห็นว่ายุโรปจะมีความอยู่รอดก็ด้วยการร่วมกันของสหภาพยุโรปเท่านั้น ในขณะที่ Pierre de Villiers ต้องการเห็นความเป็นอธิปไตยของฝรั่งเศสเท่านั้น
บุคลิกหนึ่งของ Pierre de Villiers ในฐานะนายพลผู้นำกองทัพสูงสุดคือ การแสดงให้เห็นเสมอมาว่า "การมีอำนาจสั่งการ" นั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเป็นผู้นำแต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือการใส่ใจต่อความรู้สึกและสภาพความเป็นอยู่ของผู้ที่อยู่เบื้องล่างลงไปด้วย ซึ่งเขาได้เขียนระบุในรายละเอียดไว้ในหนังสือ 2 เล่มที่เขียนขึ้นหลังจากที่ลงจากตำแหน่งแล้ว
และนี่เองคือสาเหตุที่ผู้ชุมนุมเสื้อกั๊กเหลืองถึงได้นำชื่อ Pierre de Villiers มาเป็นตัวชูโรงในการแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่ Macron กระทำการทางการเมืองลงไปโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อชนชั้นล่าง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องการให้ de Villiers มาเป็นผู้นำจริงๆ
2) EMMANUEL MACRON ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของฝรั่งเศสขึ้นครองตำแหน่งด้วยการรับเสียงสนับสนุนข้างมากในรัฐสภาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2017 Macron แสดงจุดยืนนโยบายการเมืองด้วยการเน้นเศรษฐกิจและดูแลสังคม ก่อนหน้านี้เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเศรษฐกิจฝรั่งเศสระหว่างปี 2014-2016 ภายใต้การนำของประธานาธิบดี François Hollande โดยการศึกษาและอาชีพแล้ว Macron มาทางด้านสายการเงินการธนาคารโดยทำงานกับ Investment Bank มาก่อน ซึ่งน่าจะเป็นคุณสมบัติที่ได้เปรียบของผู้นำประเทศที่ประสบสถานะการณ์การแข่งขันทางเศรษฐกิจของโลกสูงในปัจจุบัน
เนื่องจากการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีด้วยอายุยังน้อยแต่มีไฟในการทำงานเต็มที่ Macron จึงมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจของฝรั่งเศสที่ย่ำแย่มาช้านานจนได้รับสมญานามว่า the sick man of Europe (The eight charts that show France is the sick man of Europe - https://www.telegraph.co.uk/business/2017/03/06/eight-charts-show-france-sick-man-europe/) Macron จึงไม่มีทางเลือกอื่นใดเลยนอกจากจะต้องปฏิรูปการเมืองเพื่อนำเศรษฐกิจที่เข้มแข็งกลับมาสู่ฝรั่งเศสอีกครั้ง
Macron เข้ามารับตำแหน่งด้วยความตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยมที่จะปฏิรูประบบการเมืองทั้งของฝรั่งเศสและ อียู ในหลายๆ ด้าน เขาได้เสนอมาตรการการแก้ไขปัญหาในหลายเรื่องและได้รับการถูกจับตามองจากผู้นำยุโรปทั้งหลายว่า เป็นผู้นำหนุ่มที่มีพรสวรรค์ แต่การที่เขาขาดประสบการณ์ทางการเมืองทำให้การนำมาตรการต่างๆ มาใช้นั้นขาดความรอบคอบที่จะพิจารณาถึงผลกระทบต่างๆ ที่จะตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมของฝรั่งเศสที่แยกกลุ่มคนจนคนรวยอยู่อย่างชัดเจน และแน่นอนว่าการปฏิรุปในทุกเรื่องจะต้องส่งผลกระทบต่อชนชั้นล่างมากกว่ากลุ่มผู้มีรายได้ดี เช่น มาตรการการปฏิรูปตลาดแรงงานที่จะแก้ไขอัตราการว่างงานในฝรั่งเศสสูง หนึ่งในมาตรการนั้นคือการหย่อนกฏหมายการคุ้มครองลูกจ้างลงมาเพื่อให้นายจ้างได้มีโอกาสจ้างงานเพิ่มขึ้นได้ ก็ถูกสหภาพแรงงานต่อต้านประท้วงเสียจนไม่สามารถผ่านไปได้
รวมทั้งมาตรการที่เขาได้ยกเลิกภาษีที่ดินและสิ่งก่อสร้างซึ่งแน่นอนว่า ผู้มีรายได้ดีเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์นี้
และมาถึงเรื่องนี้อีกที่ Macron ขึ้นภาษีน้ำมันเพราะต้องการจะนำเงินไปพัฒนาเทคโนโลยี่ด้านพลังานธรรมชาติทดแทนซึ่งปัจจุบันฝรั่งเศสยังล้าหลังประเทศอื่นอย่างมากเนื่องจากฝรั่งเศสยังยึดติดอยู่กับการใช้พลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์ และสนับสนุนให้ผู้คนหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นเพื่อลดมลพิษลงก็พบกับการประท้วงของเสือกั๊กเหลืองอีก
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วมีเหตุผลสำคัญๆ มากมายที่ฝรั่งเศสต้องทำการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงเนื่องจากปัจจุบันฝรั่งเศสเองมีหนี้กู้ยืมเงินเกินงบประมาณประจำปีของประเทศเกินกว่าที่กฏเกณฑ์ อียู กำหนดไว้ที่ 3% มาหลายปีจนกระทั่งขณะนี้คณะกรรมการ อียู ได้ยื่นเรื่องพิจารณาโทษหากฝรั่งเศสไม่สามารถลดหนี้ลงมาให้อยู่ในกำหนดได้
3) ผู้ประท้วงกลุ่มเสื้อกั๊กเหลืองคือใคร? และมีจุดประสงค์อะไรในการประท้วงครั้งนี้?
เป็นที่น่าสังเกตุว่ากลุ่มประท้วงกลุ่มนี้รวมตัวกันเองโดยทาง social media นัดแนะกันเองทาง facebook และที่ใส่เสื้อกั๊กเหลืองก็เพราะว่าทุกคนมีไว้ประจำในรถยนต์กันอยู่แล้วตามกฏจราจร ฉะนั้นกลุ่มนี้จึงรวมตัวกันขึ้นโดยปราศจากการนำจากสหภาพแรงงานหรือไม่ใช่แม้แต่มีกลุ่มการเมืองใดๆ เป็นผู้นำทั้งสิ้น จึงจะเห็นได้ว่าจากการสำรวจความนิยมของพรรคกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่เป็นฝ่ายค้านกับรัฐบาล Macron ไม่มีพรรคใดได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเลยไม่ว่าจะเป็นฝ่ายซ้ายสังคมนิยมหรือแม้แต่พรรคขวาจัดของ Marine Le Pen และแม้แต่รัฐบาลเองจะต้องการเจรจาหาข้อยุติก็ยังไม่รู้ว่าจะเจรจากับใครกันแน่เนื่องจากผู้นำกลุ่มไม่มีอย่างชัดเจน
เมื่อเริ่มนั้นเป็นการประท้วงการขึ้นภาษีน้ำมันซึ่งมีผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในขณะนี้ข้อเรียกร้องได้ขยายเพิ่มขึ้นไปถึงการเพิ่มเงินค่าจ้างขั้นต่ำ การปฏิรูประบบเงินภาษีที่จะลดภาระสำหรับคนรายได้น้อยลง และเลยไปถึงการเรียกร้องให้ Macron ออกจากตำแหน่ง
ที่น่าสนใจคือจากการสำรวจประชามตินั้น ประชาชนชาวฝรั่งเศสเกินครึ่งของประชากรทั้งหมด 67 ล้านคนให้การสนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อกั๊กเหลีองนี้ นั่นแสดงให้เห็นว่าแม้ว่า Macron จะมีเจตนาดีต่อประเทศชาติ แต่การลงมือปฏิบัตินโยบายนั้นมีความผิดพลาดเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีการเตรียมความพร้อมในการชดเชยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับชนกลุ่มรายได้น้อยไว้อย่างเพียงพอ
ฝรั่งเศสจึงอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ด้านหนึ่งเศรษฐกิจของประเทศก็อยู่ในสภาวะย่ำแย่ อีกด้านหนึ่งที่จำเป็นต้องปฏิรูปแก้ไขแต่ประชาชนในประเทศเองก็ไม่ร่วมมือด้วย
ไม่ว่าจะเป็นใครมาเป็นผู้นำประเทศก็ยากที่จะนำประเทศออกจากวิกฤตเพื่อไปสู่ความสำเร็จได้
1) อันดับแรกเลย ต้องขอโทษคุณ zodiac ก่อนที่ผมด่วนตอบไปเรื่องการที่ตัวแทนผู้ประท้วงเสื้อกั๊กเหลืองหรือ („gilets jaunes“) ได้เรียกร้องให้นายพล Pierre de Villiers มาเป็นผู้นำประเทศนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ โดยผู้ที่พูดคือ Christophe Chalençon ซึ่งเป็นตัวแทนเสื้อกั๊กเหลืองจาก Département Vaucluse เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา เรื่องนี้ที่ผมมาทราบในตอนนี้เนื่องจากนักการเมืองฝรั่งเศสซึ่งมีเชื้อสายเยอรมันด้วย สังกัดพรรคกรีนในรัฐสภา อียู คือ Daniel Cohn-Bendit ได้ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเหตุการณ์การประทัวงในครั้งนี้ Daniel Cohn-Bendit มีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาจากการที่เคยเป็นผู้นำประท้วง "เสื้อกั๊กเหลือง" ในอดีตเมื่อปี 1968 ในขณะที่ตนเองเป็นนักศึกษาในครั้งนั้นเป็นการประท้วงเพื่อโค่นล้มประธานาธิบดี นายพล ชาร์ล เดอ โกล ออกจากตำแหน่ง แต่เหตุการณ์กลายกลับเป็นว่าตัวแทนผู้ชุมนุมเส์้อกั๊กเหลืองในวันนี้กลับเรียกร้องให้นายพลทหารขึ้นมาเป็นผู้นำแทน
แท้ที่จริงแล้วการที่ผู้ชุมนุมเสื้อกั๊กเหลืองเรียกร้องการเป็นผู้นำทางการเมืองฝรั่งเศสโดยนายพล Pierre de Villiers นั้นมีที่มาจากเบื้องหลังที่ว่า Pierre de Villiers ประกาศลาออกจากตำแหน่งผู้บัญชาการกองทัพบกก่อนเกษียณอายุเนื่องจากไม่เห็นด้วยการนโยบายของ Macron ที่ทำการลดงบประมาณใช้จ่ายของกองทัพลงจำนวนเงิน 850 ล้านยูโรในปีงบประมาณ 2018 ซึ่ง Pierre de Villiers เห็นว่าจะทำให้กองทัพฝรั่งเศสอ่อนแอลงจนขาดสมรรถภาพในการปกป้องประเทศลงไป Pierre de Villiers ลาออกจากตำแหน่งเมื่อเดือนกรกฏาคม ปี 2017 ขณะมีอายุได้ 60 ปี
Pierre de Villiers ได้แสดงจุดยืนในฐานะทหารอาชีพที่แตกต่างกันคนละขั้วกับ Macron ที่เป็นนักการเมือง นอกจากเรื่องงบประมาณทางทหารแล้วที่ยังเห็นแตกต่างคือ การให้ความสำคัญกับ อียู ซึ่ง Macron เห็นว่ายุโรปจะมีความอยู่รอดก็ด้วยการร่วมกันของสหภาพยุโรปเท่านั้น ในขณะที่ Pierre de Villiers ต้องการเห็นความเป็นอธิปไตยของฝรั่งเศสเท่านั้น
บุคลิกหนึ่งของ Pierre de Villiers ในฐานะนายพลผู้นำกองทัพสูงสุดคือ การแสดงให้เห็นเสมอมาว่า "การมีอำนาจสั่งการ" นั้นไม่ใช่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการเป็นผู้นำแต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือการใส่ใจต่อความรู้สึกและสภาพความเป็นอยู่ของผู้ที่อยู่เบื้องล่างลงไปด้วย ซึ่งเขาได้เขียนระบุในรายละเอียดไว้ในหนังสือ 2 เล่มที่เขียนขึ้นหลังจากที่ลงจากตำแหน่งแล้ว
และนี่เองคือสาเหตุที่ผู้ชุมนุมเสื้อกั๊กเหลืองถึงได้นำชื่อ Pierre de Villiers มาเป็นตัวชูโรงในการแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างที่ Macron กระทำการทางการเมืองลงไปโดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อชนชั้นล่าง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะต้องการให้ de Villiers มาเป็นผู้นำจริงๆ
2) EMMANUEL MACRON ประธานาธิบดีคนปัจจุบันของฝรั่งเศสขึ้นครองตำแหน่งด้วยการรับเสียงสนับสนุนข้างมากในรัฐสภาตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี 2017 Macron แสดงจุดยืนนโยบายการเมืองด้วยการเน้นเศรษฐกิจและดูแลสังคม ก่อนหน้านี้เขาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีเศรษฐกิจฝรั่งเศสระหว่างปี 2014-2016 ภายใต้การนำของประธานาธิบดี François Hollande โดยการศึกษาและอาชีพแล้ว Macron มาทางด้านสายการเงินการธนาคารโดยทำงานกับ Investment Bank มาก่อน ซึ่งน่าจะเป็นคุณสมบัติที่ได้เปรียบของผู้นำประเทศที่ประสบสถานะการณ์การแข่งขันทางเศรษฐกิจของโลกสูงในปัจจุบัน
เนื่องจากการขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีด้วยอายุยังน้อยแต่มีไฟในการทำงานเต็มที่ Macron จึงมีความมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ที่จะปฏิรูปเศรษฐกิจของฝรั่งเศสที่ย่ำแย่มาช้านานจนได้รับสมญานามว่า the sick man of Europe (The eight charts that show France is the sick man of Europe - https://www.telegraph.co.uk/business/2017/03/06/eight-charts-show-france-sick-man-europe/) Macron จึงไม่มีทางเลือกอื่นใดเลยนอกจากจะต้องปฏิรูปการเมืองเพื่อนำเศรษฐกิจที่เข้มแข็งกลับมาสู่ฝรั่งเศสอีกครั้ง
Macron เข้ามารับตำแหน่งด้วยความตั้งใจอย่างเต็มเปี่ยมที่จะปฏิรูประบบการเมืองทั้งของฝรั่งเศสและ อียู ในหลายๆ ด้าน เขาได้เสนอมาตรการการแก้ไขปัญหาในหลายเรื่องและได้รับการถูกจับตามองจากผู้นำยุโรปทั้งหลายว่า เป็นผู้นำหนุ่มที่มีพรสวรรค์ แต่การที่เขาขาดประสบการณ์ทางการเมืองทำให้การนำมาตรการต่างๆ มาใช้นั้นขาดความรอบคอบที่จะพิจารณาถึงผลกระทบต่างๆ ที่จะตามมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสังคมของฝรั่งเศสที่แยกกลุ่มคนจนคนรวยอยู่อย่างชัดเจน และแน่นอนว่าการปฏิรุปในทุกเรื่องจะต้องส่งผลกระทบต่อชนชั้นล่างมากกว่ากลุ่มผู้มีรายได้ดี เช่น มาตรการการปฏิรูปตลาดแรงงานที่จะแก้ไขอัตราการว่างงานในฝรั่งเศสสูง หนึ่งในมาตรการนั้นคือการหย่อนกฏหมายการคุ้มครองลูกจ้างลงมาเพื่อให้นายจ้างได้มีโอกาสจ้างงานเพิ่มขึ้นได้ ก็ถูกสหภาพแรงงานต่อต้านประท้วงเสียจนไม่สามารถผ่านไปได้
รวมทั้งมาตรการที่เขาได้ยกเลิกภาษีที่ดินและสิ่งก่อสร้างซึ่งแน่นอนว่า ผู้มีรายได้ดีเท่านั้นที่จะได้รับประโยชน์นี้
และมาถึงเรื่องนี้อีกที่ Macron ขึ้นภาษีน้ำมันเพราะต้องการจะนำเงินไปพัฒนาเทคโนโลยี่ด้านพลังานธรรมชาติทดแทนซึ่งปัจจุบันฝรั่งเศสยังล้าหลังประเทศอื่นอย่างมากเนื่องจากฝรั่งเศสยังยึดติดอยู่กับการใช้พลังงานไฟฟ้านิวเคลียร์ และสนับสนุนให้ผู้คนหันไปใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นเพื่อลดมลพิษลงก็พบกับการประท้วงของเสือกั๊กเหลืองอีก
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้วมีเหตุผลสำคัญๆ มากมายที่ฝรั่งเศสต้องทำการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงเนื่องจากปัจจุบันฝรั่งเศสเองมีหนี้กู้ยืมเงินเกินงบประมาณประจำปีของประเทศเกินกว่าที่กฏเกณฑ์ อียู กำหนดไว้ที่ 3% มาหลายปีจนกระทั่งขณะนี้คณะกรรมการ อียู ได้ยื่นเรื่องพิจารณาโทษหากฝรั่งเศสไม่สามารถลดหนี้ลงมาให้อยู่ในกำหนดได้
3) ผู้ประท้วงกลุ่มเสื้อกั๊กเหลืองคือใคร? และมีจุดประสงค์อะไรในการประท้วงครั้งนี้?
เป็นที่น่าสังเกตุว่ากลุ่มประท้วงกลุ่มนี้รวมตัวกันเองโดยทาง social media นัดแนะกันเองทาง facebook และที่ใส่เสื้อกั๊กเหลืองก็เพราะว่าทุกคนมีไว้ประจำในรถยนต์กันอยู่แล้วตามกฏจราจร ฉะนั้นกลุ่มนี้จึงรวมตัวกันขึ้นโดยปราศจากการนำจากสหภาพแรงงานหรือไม่ใช่แม้แต่มีกลุ่มการเมืองใดๆ เป็นผู้นำทั้งสิ้น จึงจะเห็นได้ว่าจากการสำรวจความนิยมของพรรคกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่เป็นฝ่ายค้านกับรัฐบาล Macron ไม่มีพรรคใดได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเลยไม่ว่าจะเป็นฝ่ายซ้ายสังคมนิยมหรือแม้แต่พรรคขวาจัดของ Marine Le Pen และแม้แต่รัฐบาลเองจะต้องการเจรจาหาข้อยุติก็ยังไม่รู้ว่าจะเจรจากับใครกันแน่เนื่องจากผู้นำกลุ่มไม่มีอย่างชัดเจน
เมื่อเริ่มนั้นเป็นการประท้วงการขึ้นภาษีน้ำมันซึ่งมีผลกระทบต่อผู้มีรายได้น้อยแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ในขณะนี้ข้อเรียกร้องได้ขยายเพิ่มขึ้นไปถึงการเพิ่มเงินค่าจ้างขั้นต่ำ การปฏิรูประบบเงินภาษีที่จะลดภาระสำหรับคนรายได้น้อยลง และเลยไปถึงการเรียกร้องให้ Macron ออกจากตำแหน่ง
ที่น่าสนใจคือจากการสำรวจประชามตินั้น ประชาชนชาวฝรั่งเศสเกินครึ่งของประชากรทั้งหมด 67 ล้านคนให้การสนับสนุนกลุ่มผู้ประท้วงเสื้อกั๊กเหลีองนี้ นั่นแสดงให้เห็นว่าแม้ว่า Macron จะมีเจตนาดีต่อประเทศชาติ แต่การลงมือปฏิบัตินโยบายนั้นมีความผิดพลาดเกิดขึ้นโดยที่ไม่มีการเตรียมความพร้อมในการชดเชยความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับชนกลุ่มรายได้น้อยไว้อย่างเพียงพอ
ฝรั่งเศสจึงอยู่ในสถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ด้านหนึ่งเศรษฐกิจของประเทศก็อยู่ในสภาวะย่ำแย่ อีกด้านหนึ่งที่จำเป็นต้องปฏิรูปแก้ไขแต่ประชาชนในประเทศเองก็ไม่ร่วมมือด้วย
ไม่ว่าจะเป็นใครมาเป็นผู้นำประเทศก็ยากที่จะนำประเทศออกจากวิกฤตเพื่อไปสู่ความสำเร็จได้
ความคิดเห็นที่ 2
ประเทศไทยก็คงไม่พ้นในเมื่อการเลือกตั้ง
ก็ยังไม่เปนธรรม100% ได้ข่าวว่า
มี ส.ว รอลากตั้งไปออกเสียงตั้ง250เสียง
ถ้าลุงได้เสียงอีกแค่162เสียงก็ครบนั่งเก้าอี้
ทันที จริงๆ ส.ว ควรมาจากประชาชนมากที่สุดนะ
เพราะมีหน้าที่ตรวจสอบ สภาผู้แทนให้ประชาชน
พอมาจากการลากตั้งเต็มใบขนาดนี้ จะเกิด
อะไรขึ้นในอนาคตไม่อยากจะคิด
ก็ยังไม่เปนธรรม100% ได้ข่าวว่า
มี ส.ว รอลากตั้งไปออกเสียงตั้ง250เสียง
ถ้าลุงได้เสียงอีกแค่162เสียงก็ครบนั่งเก้าอี้
ทันที จริงๆ ส.ว ควรมาจากประชาชนมากที่สุดนะ
เพราะมีหน้าที่ตรวจสอบ สภาผู้แทนให้ประชาชน
พอมาจากการลากตั้งเต็มใบขนาดนี้ จะเกิด
อะไรขึ้นในอนาคตไม่อยากจะคิด
แสดงความคิดเห็น
ประเทศ “ ฝรั่งเศส ” แซบมาก ชาวไทย en France ว่าอย่างไรกันบ้าง
ชาวไทยที่ประเทศฝรั่งเศสสบายดีไหม ฮิฮิฮิ
ติดตามรับชมท่านประธานาธิบดีแถลงในวันพรุ่งนี้
ผมมีคำถามที่อยากจะถาม “ เฉพาะ ” ชาวไทยที่อยู่หรือที่เคยอยู่ที่ประเทศฝรั่งเศส ว่าคุณอยากที่จะให้คุณมาครง (Macron) ทำการบริหารประเทศต่อหรือไม่ครับ