12 ความเห็นแนวทางสำหรับคนที่คิดจะไปใช้ชีวิตชนบทหลังเกษียณ

ปัจจุบันประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยแล้ว โดยสังเกตว่าจะเห็นคนแก่ตามถนนหนทาง เดินห้างอยู่ตามลำพังโดยไม่มีลูกหลานคอยดูแลเหมือนแต่ก่อน โดยส่วนตัวแล้วคิดว่ากทมไม่เหมาะสำหรับการใช้ชีวิตของ สว เหตุผลก็คงไม่ต้องอธิบาย  กะทู้นี้อยากเสนอชี้แนะสำหรับคนที่อยากไปใช้ชีวิตในชนบทหลังเกษียณอย่างน้อยก็สักช่วงชีวิตหนึ่งที่ยังมีเรี่ยวแรงดูแลตัวเองได้โดยไม่ต้องเป็นภาระลูกหลาน หรือคนหนุ่มสาวที่คิดกาลไกลในอนาคต เพื่อให้เขาต่อสู้ดิ้นรนในระบบเศรษฐกิจที่ยากจะคาดเดาได้ ผมคิดว่าอนาคตจะรุนแรงกว่าที่เป็นอยู่นี้  สั้นๆคือถ้ารักลูกหลานก็จงดูแลสุขภาพตัวเองเพื่อไม่ต้องให้พวกเขากังวล

ข้อเขียนนี้เป็นประสบการณ์ของผมเองที่ใช้ชีวิตปลีกตัวโดดเดี่ยวคนเดียวแยกจากครอบครัวที่กทม เป็นคนพื้นเพกทม แท้ๆ จบจากโรงเรียนลูกนายทุน ทำงานพื้นห้องปูพรมมาโดยตลอด คิดว่าชายร่างเล็กอย่างผมทำได้ ใครๆก็น่าทำได้ ใจล้วนๆครับท่าน

1..  หาที่ดินที่หมายตาไว้แต่เนิ่นๆ ยิ่งเร็วยิ่งดีแต่ไม่ควรเกินอายุ 45 ปีประมาณ 10-20 ไร่ โดยแบ่งครึ่งหนึ่งเป็นที่นาให้ชาวบ้านเช่าสร้างความสัมพันธ์ก่อนที่ท่านจะไปอยู่จริง อีกครึ่งหนึ่งเป็นที่ดอนเพื่อปลูกไม้ยืนต้น พืชผักสวนครัว และบ้านพัก ประมาณ 5-10 ไร่ แต่ไม่ควรน้อยกว่า 3 ไร่ ให้ปลูกไม้เศรษฐกิจยืนต้นเลยเช่นไม้สัก ประดู่...  ปลูกทิ้งปลูกปลูกขว้างบนบานฝากเจ้าที่เทวดาไว้ ฝากให้คนเช่านาเรานั่นแหละให้เป็นหูเป็นตา      ไม้ผลยังไม่ต้องปลูกก็ได้เพราะไม้ผลปัจจุบันออกหน่วยเร็ว ปี สองปีก็ได้กินแล้ว

2..  มาจ้างชาวบ้านถากถางหญ้าสักปีละสองครั้งเพื่อแสดงตน แล้วตรวจแนวเขตถือว่ามาเที่ยวด้วย ค่าจ้างถางหญ้าด้วยเครื่องตัดอยู่ที่วันละ 500 พร้อมเครื่องตัดและน้ำมัน สำหรับผมจะให้ถางเฉพาะพืชล้มลุกปล่อยให้พืชยืนต้นอื่นๆโตขึ้นเองเป็นสวนป่า แค่ 5 ปี เทียวไล้เทียวขื่อสักสิบครั้งก็เริ่มเห็นผลงานแล้ว

3..  ระหว่างนี้ศึกษาการใช้ชีวิตในชนบทสันโดษ ต้นไม้สมุนไพร ประกอบอาหารกินเองฝึกให้เป็นนิสัย กินข้าวเหนียว นุ่งผ้าเตี่ยว คาดสายเดี่ยว เที่ยวตามทุ่ง ฝึกทักษะไว้ก่อน

4.. ปรับทัศนคติความเขื่องของคนกทมให้ลดลงมากที่สุด ไม่จำเป็นต้องเดาะฝึกภาษาถิ่นหรือมโนว่า ชนบทดีกว่า กทม เพราะรูปแบบชีวิตทั้งสองสังคมมีข้อดีข้อด้อยพอๆกัน ความจริงใจสำคัญมาก ในฐานะคนต่างถิ่นเราจะอยู่ในสายตาของคนท้องถิ่นตลอด เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แต่พองามไม่เว่อร์จนน่าแคลงใจ

5.. เมื่อพร้อมเกษียณเอาเป็นว่าอายุ 60 ขวด ต้นไม้ที่ฝากเทวดาเจ้าที่ไว้ก็โตใหญ่พร้อมที่จะถูกขโมยตัด เราก็มาอยู่เป็นยามเฝ้าทรัพย์พอดี ถึงตอนนั้นเราก็พอมองออกว่าตรงไหนควรปลูกบ้านใต้ไม้ใหญ่ ตรงไหนควรเป็นที่ปลูกพืชผักสวนครัว ตรงไหนควรปลูกไม้ผล จากที่เจอมาส่วนที่ไม้สักตายนั่นแหละคือคำตอบ จากร้ายกลายเป็นดี

6.. ปลูกบ้านขนาดเล็กดูแลรักษาง่าย วัสดุคือ ปูนกับเหล็กไม่ไหวกับปลวก (ตอนต้นวางแผนจะเอาไม้สักที่ปลูกมาปลูกบ้านวางแผนเป็นเดือนกลับเปลี่ยนใจแค่พลิกวัน) ราคาที่ผมปลูก 2-3แสน ขนาด 5×7เมตร สูง 6 เมตร แบ่งเป็นชั้นใต้หลังคา ภาษาเท่ห์ loft เพื่อลูกหลานหรือแขกมาเยี่ยม ใช้ช่างท้องถิ่นอย่าคาดหวังกับงานฝีมือให้คงทนแข็งแรงก็พอ ค่าแรงน่าอยู่ที่ 2500-3000 ต่อ ตรม ปลูกบ้านเล็กๆ ดูแลง่าย กระจอกเข้าไว้ชวนหลีกภัย

7.. ใช้วัสดุอุปกรณ์เฟอร์นิเจอร์ แบบง่ายๆ เรียบๆ อย่าหรูจะเป็นภัย อย่างของผมนี่หัวขโมยน่าจะมีดีกว่าที่ผมใช้อยู่ หรือโรงรับจำนำไม่รับ ทุกวันนี้ทิ้งบ้านไว้เป็นเดือนกลับมาไม่มีของหาย ครัวก็เป็นครัวฝืนเปลือยผนัง หลังคากระเบื้องมุง ทำตัวให้ยุ่งๆเข้าไว้ ถังเตาแก๊สก็ไม่ต้องล่ามโซ่ใครจะเอา

8.. เล็งๆ หาคนสวนประจำทาบทามไว้เริ่มต้นที่คนเช่านาเรานี่แหละให้จ้างเป็นรายวันแต่ว่ากันยาวเพื่อว่าเขาจะได้ปลีกตัวไปทำนา ไปวัด งานขาวดำได้โดยที่เขาไม่รู้สึกอึดอัด พืชผักที่ปลูกได้ผมก็ให้เขาขายเป็นรายได้พิเศษไปประมาณน่าจะได้วันละร้อย คนสวนผมเลเป็นคนหวงที่หวงทาง เราเองจะกินได้สักกี่ต้นกี่กำ คนงานสบายใจ ทำงานไปออกแรงเป็นมิวสิกกระหึ่ม

9.. พืชที่ปลูกผมแบ่งเป็นสามลำดับคือพืชผักสวนครัว อันนี้คนสวนรับไปด้วยความเต็มใจ สอง ไม้ผลผมเลือกปลูกไม้ผลแยกเป็นสองระดับคือคือระยะสั้นเช่นต้นมัลเบอรี่ ฝรั่ง เชอรี่ กล้วย น้อยหน่า มะเฟือง 6-8 เดือนก็ได้กินแล้ว แขกใครไปมาแจก ไม่มาก็ไปแจกถึงบ้าน เพราะกินไม่ทันนกกรอดหัวจุก นกกางเขน นกเขาก็มา กับไม้ผลระยะ3ปี เช่นมะม่วง ละมุดไข่ ละมุด ทับทิม

10. อ่อนน้อมถ่อมตน ที่ผ่านมาผลงานที่ทำเคาะเดาะจะออกสูง หรือต่ำ หรือปานกลางก็ช่างมัน สู่สามัญ หมดเวลาเห่อเหิมต้องส่งข้อสอบให้เจ้ากรรมนายเวรแล้ว ท่านจะตรวจ หรือไม่ตรวจข้อสอบก็แล้วแต่ท่าน จะว่าไปการมีชีวิตก็แค่หยิบยืมมาใช้ใครใช้ประโยชน์ได้มากน้อยก็แล้วแต่ความสามารถของแต่ละคน ที่สุดก็ล้วนเสื่อมสลายหายไป การส่งต่อให้คนรุ่นหลังคือดัชนีวัดคุณค่าของคนเรา

11.. ผมมีจักรยานคันเดียวไปจ่ายตลาดประจำสัปดาห์ก็ปั่นไปฝากปากซอยห่าง 4 กม และรอขึ้นรถเมล์ที่มาชั่วโมงละคัน สโลไลฟ์ของแท้ ไปกลับ 8 กม ได้ออกกำลังกายไปในตัว

12.. สุขภาพดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เคยเจ็บปวดจากโรคกระดูกทับเส้นก็หาย ค่าตรวจเลือดดี สายตาที่เคยปรือๆ พร่าๆ ก็ใสปิ้งนิ้ง หัวถึงหมอนนอนถึงเช้ามีนกเขาขันจุ๊กกรู่ๆๆๆๆๆ เข้ากทม ทีเหมือนมาเที่ยวขอบปล่องภูเขาไฟ

หวังว่า 12 ข้อคิดจะช่วยเป็นแนวทางให้ท่านที่อยากใช้ชีวิตสันโดษได้คิดต่อนะครับ อยากให้เพิ่มเติมอะไรถามได้ครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่