บรรยง พงษ์พานิช:นั่งฟังสภาพัฒน์แถลง มันคนละเรื่องเดียวกัน
https://www.isranews.org/isranews-article/71824-banyong-71824.html
"....ประเด็นหลักก็คือ “ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งสูงมากและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” ถึงแม้การกระจายรายได้จะดูเหมือนดีขึ้น แต่จากสถานะนี้ มันจะทัน มันจะพอหรือเปล่าที่จะไม่ให้เกิดวิกฤตด้านสังคม วิธีที่ทำอยู่มันถูกต้องยั่งยืนอย่างไร …นี่คือประเด็นข้อเท็จจริงที่ผมพยายามนำเสนอ จะแก้ปัญหาก็ต้องยอมรับความมีอยู่ ความรุนแรงของปัญหาก่อน Face the brutal fact เท่านั้น คือจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน..."
นั่งฟังสภาพัฒน์แถลง…มันคนละเรื่องเดียวกันเลย
ที่เป็นประเด็น (จาก fb ผมที่เอามาจากCS Global Wealth Report) เป็นเรื่องของความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่ง(Wealth Inequality)
...แต่ท่านมาแถลงเรื่องความเหลื่อมล้ำด้านรายได้(Income Inequality)
สองเรื่องนี้มันคนละเรื่อง ถึงแม้จะเกี่ยวกันบ้าง …เหมือนผมบอกว่า
วัวป่วย รีบรักษาเถอะ ท่านมาแถลงว่าควายยังสุขภาพดี แถมแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ยังใช้ไถนาได้ดี
ท่านบอกว่า ด้านการกระจายรายได้ ในภาพใหญ่เราดีขึ้น สบายใจได้ …ผมก็ยังสงสัยนะครับ ปี 2550 มาปัจจุบัน Income Gapของ10%บน หาร10%ล่าง ลดจาก 25 เท่า เหลือ19 เท่า มันเป็นได้ตั้งหลายทาง เช่น 10%ล่างส่วนใหญ่เป็นแรงงานทักษะตำ่ ได้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำหลายสิบเปอร์เซนต์(ผลงานรัฐบาลที่แล้ว)ย่อมรายได้ดีขึ้น แต่10%บนส่วนล่าง(ซึ่งผมเดาว่าเป็นพวกSMEs)เจ๊งกันระนาวรายได้หด อย่างนี้ก็ทำให้Gapลดได้ (ผมไม่ได้กล่าวหานะครับ แค่ยกตัวอย่างที่เป็นไปได้) มันมีรายละเอียดอีกเยอะครับ ต้องศึกษาวิจัยให้ลึกที่สุด อย่าเพิ่งประมาทง่ายๆ
ส่วนในด้านมิติความมั่งคั่ง(Wealth) ท่านบอกว่าเราไม่ได้มีตัวเลข และพูดเหมือนว่าไม่ใช่มิติที่สำคัญ(เพราะWorld Bankไม่ได้บอกว่าสำคัญ) ซึ่งผมคิดตรงข้ามว่านี่สำคัญมาก โดยเฉพาะในประเทศที่จะแก่ก่อนรวย ท่านไม่ได้บอกว่าจะมีแผนศึกษาวิจัยใดๆซึ่งผมคิดว่าอันตรายมาก ที่จะออกนโยบายอย่างตาบอดไปเรื่อยๆ
สรุป ท่านขอให้สบายใจว่า เราไม่ได้เหลื่อมล้ำที่สุดในโลก(อันนี้ผมเห็นด้วย) แถมสถานการณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ(อันนี้ไม่แน่ใจ) และมาตรการที่ทำอยู่กับที่มีอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติพอเพียงจะแก้ปัญหาได้(อันนี้ผมไม่เห็นด้วย)
โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง……ว่าด้วยความเหลื่อมล้ำ (ตอนต่อ)
เมื่อวันหยุดสองวันก่อน ผมนั่งอ่านหนังสือ ไปเจอเอางานวิจัย
Credit Suisse Global Wealth Report 2018 ว่าด้วยการกระจายความมั่งคั่ง(Wealth) ที่ออกมาเดือนกว่าแล้ว ทั้งหมดมี 167 หน้า และในท้ายเล่มมีตารางTable 6.5-6.6 ระบุว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำของไทยนั้นหนักที่สุดในบรรดา 40 ประเทศที่อยู่ในตาราง ผมก็เลยจับประเด็นนี้มาเขียนบทความ
https://web.facebook.com/banyong.pongpanich/posts/1001185230084776 เพื่อเน้นให้เห็นความรุนแรงของปัญหา และเสนอหลักการแนวทางแก้ไว้เบื้องต้น …ปรากฎว่าเป็นบทความที่มีการแชร์ต่อค่อนข้างมาก(1.4k) และสื่อทั้งหลายเอาไปขยายต่อกันมากมาย รวมทั้งมีการวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อยเกี่ยวกับข้อมูล ว่าล้าสมัย ว่าไม่ถูกต้อง ถึงกับมีบอกว่ามั่ว บิดเบือนเลยทีเดียว (ไม่รู้ว่าผม หรือว่า Credit Suisse)
ขอชี้แจงดังนี้ครับ … ทั้งหมดนี่เป็นงานวิจัยที่เพิ่งออกมา และเขาบอกวิธีการวิจัยไว้อย่างละเอียด ซึ่งผมก็เอางานวิจัยทั้งฉบับมาแปะไว้ที่โพสต์ผมแล้วด้วย(ถึงได้ค้นคว้าวิจารณ์จับผิดกันได้ทั่วไงครับ) ไม่ได้คิดปิดบังบิดเบือนอะไร แถมผมเองก็ได้เขียนบอกถึงความ อาจจะไม่ครบถ้วนถูกต้องไว้ย่อหน้าหนึ่ง …ขอเอามาให้อ่านอีกทีนะครับ
“…เห็นตัวเลข หลายคนคงจะยังสงสัย ว่าวิธีการเก็บข้อมูล วิธีการสำรวจ วิธีการประเมินของCredit Suisse น่าเชื่อถือและถูกต้องแค่ไหน หรือหลายคนอาจจะปลอบใจว่า นี่มันวัดละเอียดเทียบกันแค่ 40 ประเทศ ไอ้ประเทศจนๆในซับซาฮาร่า หรือพวกประเทศสมบูรณาญาสิทธิราชโดยเฉพาะที่พวกชีคเป็นเจ้าของทุกอย่างมันน่าจะแย่กว่าเรานะ …อย่างรายงานบอกว่าความมั่งคั่งรวมของคนไทยมีแค่ $505billion หรือ 16.5ล้านๆบาท ผมก็คิดว่ายังตกหล่นไปเยอะ เพราะเฉพาะทรัพย์สินทางการเงินรวมในตลาดก็มีขนาด 40 ล้านๆบาทแล้ว ไม่รวมอสังหาและทรัพย์สินอื่นๆ ก็หวังว่าที่ตกหล่นน่ะส่วนใหญ่เป็นของคนจนนะครับ (กลัวจะตรงกันข้ามซะละมากกว่า)”
ส่วนไอ้ที่ผมจั่วหัวเพื่อเรียกความสนใจว่า
”ไอ้ย่ะ สองปีที่แล้วแค่ได้ขึ้นโพเดียม(อันดับสาม) ปีนี้ครองแชมป์โลกไปซะแล่ว” แล้วก็เลยกลายเป็นประเด็นข่าวพาดหัวไปนั้น …ก็ขอบอกว่ามันเป็นการต่อยอดจากของเดิมสองปีที่แล้วที่มีการระบุไปทั่วตามข่าว ตามเวทีต่างๆ(พวกรัฐมนตรีก็พูดกันหลายคนครับ) ว่าไทยอยู่อันดับสามของโลกในด้านความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่ง(Wealth Inequality)
https://www.google.co.th/search…: ซึ่งมันก็มาจากงานวิจัยเดียวกันนี่แหละครับ มาจากวิธีวิจัยเดียวกัน มาจากตารางสี่สิบประเทศเหมือนกันนี่แหละครับ …ก็ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้เขียนบอกไว้ให้ละเอียด
ในเรื่องข้อโต้แย้งโจมตีว่า งานวิจัยนี้ใช้ข้อมูลไม่ถูกต้อง ใช้ฐานข้อมูลเก่า2006 แล้วปรับแค่ราคา กับเรื่องว่าเปรียบเทียบกันแค่40ประเทศนั้น จะอธิบายดังนี้นะครับ …งานวิจัยลักษณะนี้เป็นงานยากมากๆ เพราะฐานข้อมูลและมาตรฐานข้อมูลมีไม่เท่าไม่เหมือนกันในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เขาจึงต้องหาวิธีที่เป็นไปได้ที่คิดว่าจะให้ผลที่ใกล้เคียงที่สุด ซึ่งเขาก็บอกรายละเอียดวิธีการไว้หมดแล้ว และยังแยกแยะให้ชัดด้วยว่า ประเทศที่มีข้อมูลcomplete data มีอยู่ 28 ประเทศ ที่มี incomplete อีก 24 ประเทศ(ไทยอยู่กลุ่มนี้) ส่วนที่เหลืออีก 154 ประเทศใช้คาดคะเนเอา …แต่แค่สองกลุ่มแรก 52ประเทศ ก็มีความมั่งคั่งรวมกัน 96.1%ของความมั่งคั่งทั้งโลกแล้ว งานวิจัยนี้จึงถือว่าครอบคลุมได้
ส่วนในเรื่องตาราง6.5-6.6ที่เป็นประเด็น …เขาก็เลือกเอาประเทศในสองกลุ่มแรก 40 ประเทศที่เขามีข้อมูลพอมาหาค่าการกระจาย กับแยกกลุ่มชั้นต่างๆ …จริงๆเขาคงไม่ได้ตั้งใจจะให้เปรียบเทียบจัดอันดับอะไรหรอกครับ แต่ก็มีคนเอาไปจัดกันตั้งแต่สองปีก่อน ผมก็เลยจัดตาม ไม่มีอะไรมาก
สรุปว่า เราไม่มีการศึกษาเรื่องความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่ง(Wealth Inequality)อื่นใด ที่ประกาศที่ศึกษาก็เป็นเรื่อง การกระจายรายได้(Income Distribution) ซึ่งถึงจะเกี่ยวกันบ้างแต่มันไม่เหมือนกัน ความมั่งคั่ง(Wealth)นั้น มันก็คือรายได้ (income) ส่วนเกิน(ที่เหลือจากใช้จ่าย)สะสม ลองคิดดูว่าคนรายได้น้อย จะกินไปวันๆเดือนๆยังไม่ค่อยจะพอ จะเหลืออะไรไปสะสม ผมเลยไม่แปลกใจที่รายงานบอกว่าคนครึ่งประเทศ (25 ล้าน adults) ถือครองความมั่งคั่งแค่ 1.7% ของความมั่งคั่งทั้งประเทศ ที่ไหนๆในโลก Wealth Distribution มันแย่กว่า Income Dirtribution แน่นอนอยู่แล้วครับ เพียงแต่ในประเทศรายได้สูง การกระจายดี คนตัวเล็กๆเขาก็ยังมีเหลือเก็บออมแม้จะรายได้ตjำ
(ลองนึกภาพคนเสิร์ฟอาหารในลอนดอนได้เดือนละแสนห้า กับคนเสิร์ฟไทยได้เดือนละเก้าพัน …ใครมีเก็บมากกว่าครับ)
ที่ถูกแทนที่จะไปด่าไปโต้ไปจับผิดรายงานเขา เราต้องทำวิจัยของเราเองสิครับ ทำให้เราเองเป็นประเทศ Complete Data และมีงานสรุปที่เชื่อถือได้ จะได้สามารถเข้าใจปัญหาได้ลึกซึ้งขึ้น ออกนโยบาย ออกมาตรการที่ได้ผลจริง ประเมินได้ …นี่เป็นการบ้านที่สภาพัฒน์ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ต้องไปทำ หรือจะให้พวกเก่งๆจากธปท.มาเสริมก็ได้ครับ
ที่คนโต้แย้งว่า ข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี2006 ผมอยากถามว่า สิบสองปีที่ผ่านมาใครคิดว่าสถานการณ์การกระจายความมั่งคั่งดีขึ้นบ้างครับ เศรษฐกิจโตเฉลี่ยแค่ 3% แต่กำไรบริษัทจดทะเบียนโตกว่าสิบเปอร์เซนต์เกือบทุกปี ประกาศอันดับมหาเศรษฐีทีเพิ่มทั้งคนเพิ่มทั้งทรัพย์กันหลายเท่าตัว …กับอีกพวกบอกว่าไปเปรียบเทียบแต่ประเทศเจริญ …แล้วจะไปเทียบกับพวกห่วยๆหาอะไรล่ะครับ อยากสูงก็ต้องยืดตัว อยู่ในหมู่คนเตี้ยไม่ทำให้เราสูงขึ้นหรอกครับ
จริงๆที่ถกเถียงกันมานั้นไม่ใช่ประเด็นหลักเลยครับ …ประเด็นหลักก็คือ
“ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งสูงมากและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” ถึงแม้การกระจายรายได้จะดูเหมือนดีขึ้น แต่จากสถานะนี้ มันจะทัน มันจะพอหรือเปล่าที่จะไม่ให้เกิดวิกฤติด้านสังคม วิธีที่ทำอยู่มันถูกต้องยั่งยืนอย่างไร …นี่คือประเด็นข้อเท็จจริงที่ผมพยายามนำเสนอ จะแก้ปัญหาก็ต้องยอมรับความมีอยู่ ความรุนแรงของปัญหาก่อน Face the brutal fact เท่านั้น คือจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
ทั้งหมดนี่ผมไม่เคยโทษใคร โทษรัฐบาลไหนเลยนะครับ สถานการณ์เราแย่ลงๆมาตลอด คนรวยก็ไม่ใช่คนผิด(ถ้ารวยมาอย่างถูกต้อง รวยมาจากการแข่งขัน การเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่จ่ายเงินคอร์รัปชั่นให้ตนได้เปรียบได้ผูกขาด ไม่ลอบบี้ให้ไม่เกิดการกระจาย) มันเป็นเรื่องของโครงสร้างที่บิดเบือน มันเป็นเรื่องของการขาดโอกาส
ไหนๆก็จุดประเด็นสังคมมาได้ขนาดนี้ ผมก็ดีใจนะครับ พรรคต่างๆจะได้ไประดมความคิด ระดมนโยบายที่จะแก้ไขปัญหามานำเสนอ ส่วนผมก็จะใช้ความรู้อันจำกัดเสนอทางแก้ที่ผมเชื่อไปเรื่อยๆก็แล้วกันนะครับ …สงสัยได้เวลาเขียนซีรีส์ยาวอีกแล้วครับ
อ่านประกอบ :
Banyong Pongpanich
https://www.facebook.com/100005799254567/posts/1002402713296361/
JJNY : บรรยง พงษ์พานิช:นั่งฟังสภาพัฒน์แถลง มันคนละเรื่องเดียวกัน / จากเพจของคุณธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล
https://www.isranews.org/isranews-article/71824-banyong-71824.html
"....ประเด็นหลักก็คือ “ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งสูงมากและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” ถึงแม้การกระจายรายได้จะดูเหมือนดีขึ้น แต่จากสถานะนี้ มันจะทัน มันจะพอหรือเปล่าที่จะไม่ให้เกิดวิกฤตด้านสังคม วิธีที่ทำอยู่มันถูกต้องยั่งยืนอย่างไร …นี่คือประเด็นข้อเท็จจริงที่ผมพยายามนำเสนอ จะแก้ปัญหาก็ต้องยอมรับความมีอยู่ ความรุนแรงของปัญหาก่อน Face the brutal fact เท่านั้น คือจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน..."
นั่งฟังสภาพัฒน์แถลง…มันคนละเรื่องเดียวกันเลย
ที่เป็นประเด็น (จาก fb ผมที่เอามาจากCS Global Wealth Report) เป็นเรื่องของความเหลื่อมล้ำทางความมั่งคั่ง(Wealth Inequality)
...แต่ท่านมาแถลงเรื่องความเหลื่อมล้ำด้านรายได้(Income Inequality)
สองเรื่องนี้มันคนละเรื่อง ถึงแม้จะเกี่ยวกันบ้าง …เหมือนผมบอกว่า วัวป่วย รีบรักษาเถอะ ท่านมาแถลงว่าควายยังสุขภาพดี แถมแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ยังใช้ไถนาได้ดี
ท่านบอกว่า ด้านการกระจายรายได้ ในภาพใหญ่เราดีขึ้น สบายใจได้ …ผมก็ยังสงสัยนะครับ ปี 2550 มาปัจจุบัน Income Gapของ10%บน หาร10%ล่าง ลดจาก 25 เท่า เหลือ19 เท่า มันเป็นได้ตั้งหลายทาง เช่น 10%ล่างส่วนใหญ่เป็นแรงงานทักษะตำ่ ได้ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำหลายสิบเปอร์เซนต์(ผลงานรัฐบาลที่แล้ว)ย่อมรายได้ดีขึ้น แต่10%บนส่วนล่าง(ซึ่งผมเดาว่าเป็นพวกSMEs)เจ๊งกันระนาวรายได้หด อย่างนี้ก็ทำให้Gapลดได้ (ผมไม่ได้กล่าวหานะครับ แค่ยกตัวอย่างที่เป็นไปได้) มันมีรายละเอียดอีกเยอะครับ ต้องศึกษาวิจัยให้ลึกที่สุด อย่าเพิ่งประมาทง่ายๆ
ส่วนในด้านมิติความมั่งคั่ง(Wealth) ท่านบอกว่าเราไม่ได้มีตัวเลข และพูดเหมือนว่าไม่ใช่มิติที่สำคัญ(เพราะWorld Bankไม่ได้บอกว่าสำคัญ) ซึ่งผมคิดตรงข้ามว่านี่สำคัญมาก โดยเฉพาะในประเทศที่จะแก่ก่อนรวย ท่านไม่ได้บอกว่าจะมีแผนศึกษาวิจัยใดๆซึ่งผมคิดว่าอันตรายมาก ที่จะออกนโยบายอย่างตาบอดไปเรื่อยๆ
สรุป ท่านขอให้สบายใจว่า เราไม่ได้เหลื่อมล้ำที่สุดในโลก(อันนี้ผมเห็นด้วย) แถมสถานการณ์ดีขึ้นเรื่อยๆ(อันนี้ไม่แน่ใจ) และมาตรการที่ทำอยู่กับที่มีอยู่ในแผนยุทธศาสตร์ชาติพอเพียงจะแก้ปัญหาได้(อันนี้ผมไม่เห็นด้วย)
โปรดฟังอีกครั้งหนึ่ง……ว่าด้วยความเหลื่อมล้ำ (ตอนต่อ)
เมื่อวันหยุดสองวันก่อน ผมนั่งอ่านหนังสือ ไปเจอเอางานวิจัย Credit Suisse Global Wealth Report 2018 ว่าด้วยการกระจายความมั่งคั่ง(Wealth) ที่ออกมาเดือนกว่าแล้ว ทั้งหมดมี 167 หน้า และในท้ายเล่มมีตารางTable 6.5-6.6 ระบุว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำของไทยนั้นหนักที่สุดในบรรดา 40 ประเทศที่อยู่ในตาราง ผมก็เลยจับประเด็นนี้มาเขียนบทความ https://web.facebook.com/banyong.pongpanich/posts/1001185230084776 เพื่อเน้นให้เห็นความรุนแรงของปัญหา และเสนอหลักการแนวทางแก้ไว้เบื้องต้น …ปรากฎว่าเป็นบทความที่มีการแชร์ต่อค่อนข้างมาก(1.4k) และสื่อทั้งหลายเอาไปขยายต่อกันมากมาย รวมทั้งมีการวิพากษ์วิจารณ์ไม่น้อยเกี่ยวกับข้อมูล ว่าล้าสมัย ว่าไม่ถูกต้อง ถึงกับมีบอกว่ามั่ว บิดเบือนเลยทีเดียว (ไม่รู้ว่าผม หรือว่า Credit Suisse)
ขอชี้แจงดังนี้ครับ … ทั้งหมดนี่เป็นงานวิจัยที่เพิ่งออกมา และเขาบอกวิธีการวิจัยไว้อย่างละเอียด ซึ่งผมก็เอางานวิจัยทั้งฉบับมาแปะไว้ที่โพสต์ผมแล้วด้วย(ถึงได้ค้นคว้าวิจารณ์จับผิดกันได้ทั่วไงครับ) ไม่ได้คิดปิดบังบิดเบือนอะไร แถมผมเองก็ได้เขียนบอกถึงความ อาจจะไม่ครบถ้วนถูกต้องไว้ย่อหน้าหนึ่ง …ขอเอามาให้อ่านอีกทีนะครับ “…เห็นตัวเลข หลายคนคงจะยังสงสัย ว่าวิธีการเก็บข้อมูล วิธีการสำรวจ วิธีการประเมินของCredit Suisse น่าเชื่อถือและถูกต้องแค่ไหน หรือหลายคนอาจจะปลอบใจว่า นี่มันวัดละเอียดเทียบกันแค่ 40 ประเทศ ไอ้ประเทศจนๆในซับซาฮาร่า หรือพวกประเทศสมบูรณาญาสิทธิราชโดยเฉพาะที่พวกชีคเป็นเจ้าของทุกอย่างมันน่าจะแย่กว่าเรานะ …อย่างรายงานบอกว่าความมั่งคั่งรวมของคนไทยมีแค่ $505billion หรือ 16.5ล้านๆบาท ผมก็คิดว่ายังตกหล่นไปเยอะ เพราะเฉพาะทรัพย์สินทางการเงินรวมในตลาดก็มีขนาด 40 ล้านๆบาทแล้ว ไม่รวมอสังหาและทรัพย์สินอื่นๆ ก็หวังว่าที่ตกหล่นน่ะส่วนใหญ่เป็นของคนจนนะครับ (กลัวจะตรงกันข้ามซะละมากกว่า)”
ส่วนไอ้ที่ผมจั่วหัวเพื่อเรียกความสนใจว่า”ไอ้ย่ะ สองปีที่แล้วแค่ได้ขึ้นโพเดียม(อันดับสาม) ปีนี้ครองแชมป์โลกไปซะแล่ว” แล้วก็เลยกลายเป็นประเด็นข่าวพาดหัวไปนั้น …ก็ขอบอกว่ามันเป็นการต่อยอดจากของเดิมสองปีที่แล้วที่มีการระบุไปทั่วตามข่าว ตามเวทีต่างๆ(พวกรัฐมนตรีก็พูดกันหลายคนครับ) ว่าไทยอยู่อันดับสามของโลกในด้านความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่ง(Wealth Inequality) https://www.google.co.th/search…: ซึ่งมันก็มาจากงานวิจัยเดียวกันนี่แหละครับ มาจากวิธีวิจัยเดียวกัน มาจากตารางสี่สิบประเทศเหมือนกันนี่แหละครับ …ก็ต้องขอโทษด้วยที่ไม่ได้เขียนบอกไว้ให้ละเอียด
ในเรื่องข้อโต้แย้งโจมตีว่า งานวิจัยนี้ใช้ข้อมูลไม่ถูกต้อง ใช้ฐานข้อมูลเก่า2006 แล้วปรับแค่ราคา กับเรื่องว่าเปรียบเทียบกันแค่40ประเทศนั้น จะอธิบายดังนี้นะครับ …งานวิจัยลักษณะนี้เป็นงานยากมากๆ เพราะฐานข้อมูลและมาตรฐานข้อมูลมีไม่เท่าไม่เหมือนกันในประเทศต่างๆ ทั่วโลก เขาจึงต้องหาวิธีที่เป็นไปได้ที่คิดว่าจะให้ผลที่ใกล้เคียงที่สุด ซึ่งเขาก็บอกรายละเอียดวิธีการไว้หมดแล้ว และยังแยกแยะให้ชัดด้วยว่า ประเทศที่มีข้อมูลcomplete data มีอยู่ 28 ประเทศ ที่มี incomplete อีก 24 ประเทศ(ไทยอยู่กลุ่มนี้) ส่วนที่เหลืออีก 154 ประเทศใช้คาดคะเนเอา …แต่แค่สองกลุ่มแรก 52ประเทศ ก็มีความมั่งคั่งรวมกัน 96.1%ของความมั่งคั่งทั้งโลกแล้ว งานวิจัยนี้จึงถือว่าครอบคลุมได้
ส่วนในเรื่องตาราง6.5-6.6ที่เป็นประเด็น …เขาก็เลือกเอาประเทศในสองกลุ่มแรก 40 ประเทศที่เขามีข้อมูลพอมาหาค่าการกระจาย กับแยกกลุ่มชั้นต่างๆ …จริงๆเขาคงไม่ได้ตั้งใจจะให้เปรียบเทียบจัดอันดับอะไรหรอกครับ แต่ก็มีคนเอาไปจัดกันตั้งแต่สองปีก่อน ผมก็เลยจัดตาม ไม่มีอะไรมาก
สรุปว่า เราไม่มีการศึกษาเรื่องความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่ง(Wealth Inequality)อื่นใด ที่ประกาศที่ศึกษาก็เป็นเรื่อง การกระจายรายได้(Income Distribution) ซึ่งถึงจะเกี่ยวกันบ้างแต่มันไม่เหมือนกัน ความมั่งคั่ง(Wealth)นั้น มันก็คือรายได้ (income) ส่วนเกิน(ที่เหลือจากใช้จ่าย)สะสม ลองคิดดูว่าคนรายได้น้อย จะกินไปวันๆเดือนๆยังไม่ค่อยจะพอ จะเหลืออะไรไปสะสม ผมเลยไม่แปลกใจที่รายงานบอกว่าคนครึ่งประเทศ (25 ล้าน adults) ถือครองความมั่งคั่งแค่ 1.7% ของความมั่งคั่งทั้งประเทศ ที่ไหนๆในโลก Wealth Distribution มันแย่กว่า Income Dirtribution แน่นอนอยู่แล้วครับ เพียงแต่ในประเทศรายได้สูง การกระจายดี คนตัวเล็กๆเขาก็ยังมีเหลือเก็บออมแม้จะรายได้ตjำ (ลองนึกภาพคนเสิร์ฟอาหารในลอนดอนได้เดือนละแสนห้า กับคนเสิร์ฟไทยได้เดือนละเก้าพัน …ใครมีเก็บมากกว่าครับ)
ที่ถูกแทนที่จะไปด่าไปโต้ไปจับผิดรายงานเขา เราต้องทำวิจัยของเราเองสิครับ ทำให้เราเองเป็นประเทศ Complete Data และมีงานสรุปที่เชื่อถือได้ จะได้สามารถเข้าใจปัญหาได้ลึกซึ้งขึ้น ออกนโยบาย ออกมาตรการที่ได้ผลจริง ประเมินได้ …นี่เป็นการบ้านที่สภาพัฒน์ สำนักงานสถิติแห่งชาติ ต้องไปทำ หรือจะให้พวกเก่งๆจากธปท.มาเสริมก็ได้ครับ
ที่คนโต้แย้งว่า ข้อมูลเก่าตั้งแต่ปี2006 ผมอยากถามว่า สิบสองปีที่ผ่านมาใครคิดว่าสถานการณ์การกระจายความมั่งคั่งดีขึ้นบ้างครับ เศรษฐกิจโตเฉลี่ยแค่ 3% แต่กำไรบริษัทจดทะเบียนโตกว่าสิบเปอร์เซนต์เกือบทุกปี ประกาศอันดับมหาเศรษฐีทีเพิ่มทั้งคนเพิ่มทั้งทรัพย์กันหลายเท่าตัว …กับอีกพวกบอกว่าไปเปรียบเทียบแต่ประเทศเจริญ …แล้วจะไปเทียบกับพวกห่วยๆหาอะไรล่ะครับ อยากสูงก็ต้องยืดตัว อยู่ในหมู่คนเตี้ยไม่ทำให้เราสูงขึ้นหรอกครับ
จริงๆที่ถกเถียงกันมานั้นไม่ใช่ประเด็นหลักเลยครับ …ประเด็นหลักก็คือ “ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งสูงมากและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ” ถึงแม้การกระจายรายได้จะดูเหมือนดีขึ้น แต่จากสถานะนี้ มันจะทัน มันจะพอหรือเปล่าที่จะไม่ให้เกิดวิกฤติด้านสังคม วิธีที่ทำอยู่มันถูกต้องยั่งยืนอย่างไร …นี่คือประเด็นข้อเท็จจริงที่ผมพยายามนำเสนอ จะแก้ปัญหาก็ต้องยอมรับความมีอยู่ ความรุนแรงของปัญหาก่อน Face the brutal fact เท่านั้น คือจุดเริ่มต้นของการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน
ทั้งหมดนี่ผมไม่เคยโทษใคร โทษรัฐบาลไหนเลยนะครับ สถานการณ์เราแย่ลงๆมาตลอด คนรวยก็ไม่ใช่คนผิด(ถ้ารวยมาอย่างถูกต้อง รวยมาจากการแข่งขัน การเพิ่มประสิทธิภาพ ไม่จ่ายเงินคอร์รัปชั่นให้ตนได้เปรียบได้ผูกขาด ไม่ลอบบี้ให้ไม่เกิดการกระจาย) มันเป็นเรื่องของโครงสร้างที่บิดเบือน มันเป็นเรื่องของการขาดโอกาส
ไหนๆก็จุดประเด็นสังคมมาได้ขนาดนี้ ผมก็ดีใจนะครับ พรรคต่างๆจะได้ไประดมความคิด ระดมนโยบายที่จะแก้ไขปัญหามานำเสนอ ส่วนผมก็จะใช้ความรู้อันจำกัดเสนอทางแก้ที่ผมเชื่อไปเรื่อยๆก็แล้วกันนะครับ …สงสัยได้เวลาเขียนซีรีส์ยาวอีกแล้วครับ
อ่านประกอบ : Banyong Pongpanich
https://www.facebook.com/100005799254567/posts/1002402713296361/