เรื่องนี้กรรมการอ่านแล้ว ซึ้งหลายชั้นเลยครับ
เมื่อชายหญิงซึ่งอดีตเคยรักกัน ต่างฝ่ายต่างไปตามทางของตนเอง แล้ววันหนึ่งมาพบกันอีก ก็เป็นเรื่องยากจะทำใจ โดยเฉพาะฝ่ายที่รู้สึกผิดหวัง ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ วันหนึ่งได้รับมรดกตกทอดมาเป็นที่นาหลายร้อยไร่ แต่ถูกสั่งไว้ในพินัยกรรมโดยคุณยายผู้ล่วงลับไปแล้วว่า ห้ามขาย ให้เช่าได้เท่านั้น
เขาดำเนินชีวิตต่อไป จนวันหนึ่งได้พบเธอคนนั้นอีกครั้ง...และสุดท้าย จึงได้เข้าใจความหมายและเหตุผลที่คุณยายไม่ให้ขายที่นา
ติดตามอ่านกันครับว่าชีวิตของเขาจะไปทางใด เรื่องความรักจะเป็นไปเช่นไร
และ อะไรคือความหมายของชื่อเรื่องนี้....
จบแล้ว อย่าลืมให้เกรดกันด้วยเน้อ...


สายลมพาพัดให้ต้นหญ้าในท้องนาที่รกร้างสะบัดพลิ้วไปมา เสียงหวีดหวิวของลมที่แหวกผ่านระหว่างใบ ฟังดูคล้ายเสียงร้องโหยหวนของอะไรสักอย่าง ท้องนาอันกว้างใหญ่ปราศจากต้นข้าว มีเพียงต้นหญ้าเขียวชอุ่ม นั่นเกิดจากนาผืนนี้มันไม่มีคนดูแลเหมือนที่นาทั่วไป
ต้นหญ้าอาจไร้ประโยชน์ในสายตาของมนุษย์ที่ไม่คิดจะแสวงหาสาระของมัน เพราะในผืนดินที่มีค่า ตามแหล่งภูมิศาสตร์ มีพืชที่สามารถสร้างมูลค่าให้ผู้เพาะปลูก ที่ไม่ใช่ต้นหญ้าอย่างแน่นอน แต่ความทนทานของมันทำให้ต้องถูกกำจัดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว
มนุษย์เริ่มเพาะปลูกมาแสนนาน แต่เพราะเหตุใดต้นหญ้าหลายชนิดจึงยังคงอยู่เป็นหนามแทงใจ มีการคิดค้นวิธีกำจัดมันมานาน ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน แต่ต้นหญ้าก็คงอยู่ มิอาจบ่งชี้ชัดได้ว่ามันมีวิวัฒนาการในรูปแบบใด หน้าตาของมันเมื่อพันปีก่อนเป็นเช่นใด ปัจจุบันยังเป็นเช่นนั้นหรือไม่
แต่มันก็ยังอยู่ ตราบที่มนุษย์เรายังคงอยู่เช่นกัน ก็เหมือนกับอิฐ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีชีวิตคล้ายกับพืชชนิดนี้ อาจมองไม่เห็นแก่นสารในชีวิต แต่เขาก็ยังมีชีวิต
หลังจากที่ได้มรดกจากคุณยายเป็นที่นาแปลงนี้จำนวนหลายร้อยไร่ แต่เขากลับเหมือนไม่ได้อะไร เพราะที่ดินแปลงนี้ถูกระบุในพินัยกรรมว่า
ห้ามขาย ทำได้เพียงให้เก็บค่าเช่าทำนาปลูกข้าวเท่านั้น
แต่ค่าเช่าที่ได้ในแต่ละปีก็ใช่ว่าจะมากมาย เขาได้ค่าเช่าจากการขายผลผลิต ถ้าข้าวราคาดีค่าเช่าก็จะดี แต่ถ้าราคาข้าวตกเขาก็อาจได้แค่ข้าวสารที่สีเรียบร้อยขนกลับมาเป็นค่าเช่า แต่ความจริงเขาก็ไม่เคยเดือดร้อนในเรื่องเงินๆ ทองๆ
อีกเงื่อนไขหนึ่งในการรับมรดกก็คือ เขาต้องมาอยู่บ้านหลังนี้เดือนละสองวัน มันเป็นบ้านที่คุณยาย กับคุณตาอยู่ด้วยกันเป็นบ้านที่ปลูกใจกลางท้องนา เว้นที่ตรงกลางให้เป็นพื้นที่ทรงกลม 2 ไร่ มีคำสั่งเสียมาตั้งแต่บรรพบุรุษว่าไม่ให้เพาะปลูกอะไรในพื้นที่แปลงนี้ ดังนั้นตรงหน้าบ้าน มันจึงกลายเป็นแหล่งที่หญ้าขึ้นหนาแน่น
ในวันแรกๆ อิฐเหมือนถูกขังให้ต้องมานั่งทนดูต้นหญ้าที่ไม่มีความสวยงาม บางเดือนสีเหลือง บางเดือนสีเขียว บางเดือนน้ำท่วมจนคิดว่ามันคงตายหมด กลายเป็นที่อาศัยของปลา กบ เขียด คางคก งู
จนต่อมาน้ำแห้ง สิ่งมีชีวิตในน้ำบางส่วนตาย บางส่วนกลายเป็นอาหารให้กับชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง แล้วไม่นาน มันก็แตกหน่อขึ้นมาอีกครั้ง เขาเฝ้าดูด้วยความเฉยชา
แล้วอยู่มาวันหนึ่งเขาจึงเข้าใจความหมายที่คุณยายตั้งเงื่อนไขแบบนี้
...ในวันที่อิฐผิดหวังในความรัก ในตอนแรกเขาสงสัยว่าเพราะอะไรถึงต้องเป็นฝ่ายผิดหวัง ทั้งที่เขาไม่เคยนอกใจ หรือทำอะไรให้เธอเสียใจแม้แต่ครั้งเดียว พายเป็นแฟนกับอิฐมาตั้งแต่เรียน ม.5 ขณะนั้นเธอเรียน ม.4
จนเขาเรียนมหาวิทยาลัย เธอก็ยังมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน หลังเรียนจบ อิฐทำงาน และรับมรดกในตอนที่คุณยายเสีย ทั้งสองก็ยังเป็นคนรักกัน
จนเมื่อพายทำงานในกรุงเทพฯ ส่วนอิฐทำงานที่สุพรรณบุรี เขาก็ยังไปหาเธอเกือบทุกวัน เพราะสุพรรณบุรีกับกรุงเทพฯ มันใกล้กันแค่นี้ แต่ในที่สุดพายก็มาบอกกับอิฐในคืนวันลอยกระทงว่า
"อิฐ...เราไปกันไม่ได้ เราแตกต่างกันเกินไป แล้วพายก็ไม่ได้รักอิฐแล้ว อิฐดีเกินไปสำหรับเรา"
คำว่าดีเกินไป มันก็คือคำที่บอกเลิกที่อาจทำให้ผู้ถูกเลิกรู้สึกดีขึ้น แต่สำหรับอิฐในขณะนี้ ก็เหมือนถูกพาย ผู้หญิงตัวเล็กสเปคคนตัวใหญ่ ถีบหน้าจนหงายท้องตกแม่น้ำเจ้าพระยา ทำไมแรงถีบของเธอจึงมหาศาลถึงเพียงนี้หนอ
หน้าใหญ่ๆ ใจโตๆ ของอิฐถึงกับชาด้าน เพราะความจริงเขาก็พอจะทราบมาก่อนว่า พายได้พบรักใหม่กับผู้จัดการแผนกของเธอ ที่รูปหล่อพ่อมีตังค์ในธนาคารเหลือเฟือ อิฐจึงทำได้แค่เดินจากไปอย่างเงียบๆ พร้อมกระทงที่เขาเตรียมมา เท่านั้น
อิฐขับรถกลับมาสุพรรณบุรี โดยไม่รู้ตัวว่าขับมาถึงได้ยังไง หลังจากนั้นเขาก็ลาออกจากงานวิจัยพันธุ์ข้าวที่มหาวิทยาลัยที่เขาทำงานอยู่
ออกมาทำตัวเป็นวัชพืชที่ขึ้นอยู่ตามคันนา นั่นก็คือไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้แต่ละวันผ่านไป และผ่านไป
เขาคอยแต่ใช้เงินมรดกของคุณยายใช้ไปวันๆ จนถึงวันนี้ วันที่เขาเข้าใจ นั่นเป็นเพราะอิฐไม่เคยคิดถึงข้อดีของมันต่างหาก ต้นหญ้าไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะใดก็ตาม มันก็จะเติบโตขึ้นได้เสมอ มันไม่ต้องการคนเลี้ยงดู มันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ถึงมันจะถูกเหยียบย่ำจนแทบแหลกสลาย
แต่มันจะงอกขึ้นใหม่อีกครั้ง
จากสายตาของใครต่อใครที่มองต้นหญ้าเหล่านั้นอย่างไร้ความหมาย ก็คงเหมือนที่พายมองเห็นเขาเป็นเช่นนั้น คนที่ไม่เคยคิดถึงความก้าวหน้า ทำงานไปวันๆ แล้วเธอจะฝากชีวิตไว้ที่เขาที่เป็นเหมือนวัชพืชได้อย่างไร
แต่คุณค่าของมันมิใช่การวิจัยว่ามันสามารถสกัดไปทำยารักษาโรค หรือนำไปใช้ทำอะไรต่อมิอะไร เพราะมันคือความหมายของการมีชีวิตอยู่นั่นเอง ไม่ว่าจะยากลำบากสักแค่ไหน มันก็ต้องคงอยู่ เพื่อรักษาในสิ่งที่คุณยายทิ้งไว้ให้ มิใช่ค่าเช่าเก็บกินยามสิ้นไร้ไม้ตอก
หรือบ้านที่ใช้ซุกหัวนอน แต่เป็นความหมายของคำว่าอดทนให้เป็นดั่งวัชพืช ไม่ว่าจะผ่านเหตุร้ายแค่ไหน หรือจนกว่าโลกนี้จะสูญสลายไป วัชพืชจะอยู่คู่กับผืนดินชั่วนิรันดร์
......ในอีกสามปีต่อมา งานเลี้ยงรุ่นที่มหาวิทยาลัยเกษตรฯ อิฐนั่งคุยกับเพื่อนเก่าที่เป็นข้าราชการบ้าง บางคนก็เป็นเจ้าของกิจการ บ้างก็เป็นพนักงานบริษัทเอกชน ส่วนอิฐทำงานเป็นหัวหน้าแผนกวิเคราะห์ตลาดการเกษตรแห่งหนึ่ง
พายมากับเพื่อนชายที่น่าจะเป็นแฟนใหม่ ไม่ใช่ผู้จัดการแผนกคนนั้น เพราะชายที่มาด้วยจะออกท้วมๆ อิฐได้แต่ทอดถอนใจในสิ่งที่ผ่านมา เขาได้พบเพื่อนและพาย ได้เห็นความเปลี่ยนไปของทุกๆคนที่รู้จัก
แต่เหมือนมีแค่สองคนที่ไม่ยอมเปลี่ยนนั่นคือตนเอง กับการแต่งกายของพาย
เมื่อได้พบก็คงทำได้เพียงส่งยิ้มให้ในฐานะเพื่อนเก่า เขาขอตัวเพื่อนสนิทกลับบ้านก่อนงานเลิก เพราะเขาต้องเดินทางกลับสุพรรณบุรี ถึงแม้เพื่อนอีกหลายคนจะพยายามเหนี่ยวรั้งไว้เพื่อสังสรรค์ ตามประสาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบมานาน แต่ในที่สุดอิฐก็เดินออกมา
อิฐเดินจนมาถึงบันไดหน้าโรงแรม เสียงร้องทักของผู้หญิงก็ดังขึ้น
"อิฐ รอก่อน"
ใช่แล้วพายนั่นเอง เธอมองลงมาด้วยสายตาแปลกประหลาด เธอก้าวลงมาจนใกล้กันไม่เกิน 2 เมตร เขาได้แต่คิดภายในใจว่า 'ทำไมเธอถึงไม่เปลี่ยน ยังไว้ผมทรงเดิม สวมเสื้อในแบบเดิมๆ'
สายตานั้นอาจมิใช่สายตาเดิมที่เคยมองมา แต่มีบางอย่างลึกซึ้งกว่า อิฐเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่พยายาม ให้เป็นปกติที่สุด
"ไม่ได้เจอกันนานเลย พายสบายดีไหม"
"สบายดี แต่ทำไม อิฐถึงรีบกลับล่ะ คงไม่ใช่เพราะพายนะ"
"ไม่ใช่หรอก พอดีอิฐต้องกลับสุพรรณฯ เลยต้องกลับเร็วกว่าคนอื่น"
พายมองหน้าเหมือนกำลังจะบอกอะไรสักอย่าง เขาจึงเผยความรู้สึกออกมาก่อน
"ถึงเราจะไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อน แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นะ เพราะความจริงแล้ว มันไม่ใช่ความผิดของใคร ที่ไม่สามารถฝืนใจเพื่ออยู่กับใครสักคนที่เราไม่ได้รักได้"
พายก้มหน้าเหมือนจะหลบตาก่อนเดินจากไป อิฐมองด้านหลังของพาย ถึงแม้มีอีกหลายอย่างที่เขาคิดจะบอก แต่มันก็ไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้ ความจริงก็คือเขายังคิดถึงพายทุกวัน
ถึงเขาเป็นเพียงวัชพืชที่สามารถทนทานได้ทุกสภาวะ แต่วัชพืชอย่างเขาก็ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง เช่นเดียวกับพืชชนิดอื่นๆ แต่เมื่ออิฐไม่สามารถคิดหวังในสิ่งนั้นได้ เขาก็คงต้องยอมตัดใจออกไป
"ลาก่อนพาย อิฐคงต้องตัดใจเสียที เพราะเราต้องมีชีวิตต่อ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตนเอง พายเองก็เช่นเดียวกันนะ"
อิฐกลับไปบ้านคุณยายที่ใจกลางทุ่งนา สายตามองกอหญ้าที่ออกดอกอ่อนไหว สายลมพาพัดให้ละอองเกสรโปรยปลิวไปให้ไกลจากถิ่นฐาน แต่เขากลับใช้เพียงสายตาจับจ้อง ภาพนั้นอย่างสงบนิ่ง แต่ในความคิดนั้นกลับล่องลอยตามละอองเกสรสายนั้น
หากจมอยู่กับความหลัง ก็จะจมปลักอยู่เช่นนั้น ถึงเวลาที่เขาต้องเดินในเส้นทางของตน และตัดสินใจอย่างแน่วแน่
เพราะในวันที่มืดมิดย่อมมีแสงสว่าง ราคาข้าวในสามปีที่ผ่านมามันทะลุเพดาน ราวกับว่าจะเกิดสงครามครั้งใหญ่ มีการสั่งซื้อข้าวชนิดต่างๆ ในที่นาของเขาอย่างเกินคาด ค่าเช่าที่เขาได้รับมันมากมาย ราวกับมีบ่อน้ำมันเป็นของตนเอง เขาจึงได้เวลาใช้เงินก้อนนี้ เดินทางตามความฝัน
เขาตั้งใจไปเนปาล เพื่อปีนเขาสูงตามความฝันที่เคยวาดไว้นั่นเอง แต่มันเปลี่ยนแค่เขาต้องไป ตามลำพังเท่านั้น เขาเตรียมการไว้เป็นอย่างดีฟิตร่างกายเพื่อรับสภาวะที่หนาวเย็นนั้น
.....
ที่สนามบินสุวรรณภูมิ อิฐนำกระเป๋าโหลดลงเครื่องเพื่อรอไฟลท์บิน เสียงที่คุ้นเคยร้องทักขึ้น
"อิฐ"
"พาย"
ทั้งสองยืนมองกัน ก่อนที่เขาหันไปทักทายกับชายหนุ่มคนนั้น เขาคงไม่ใช่คนไทย เพราะเมื่อดูใกล้ๆ จึงทราบว่าเป็นหนุ่มเกาหลี ชื่อจังกุก อิฐจับมือกับเขาอย่างมั่นคง ทักทายด้วยภาษาอังกฤษ ก่อนที่ชายผู้นั้นจะเดินออกมาเพื่อให้เราสองคนได้คุยกันอย่างอิสระ พายเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสดใส
"เราจะไปอยู่ที่เกาหลีสักพัก เพราะคุณจังต้องการให้พายเรียนรู้การเป็นแม่บ้านจากคุณแม่ แล้วอิฐล่ะ จะไปที่ไหนเหรอ"
อิฐอมยิ้มเล็กน้อยก่อนเฉลยให้อดีตคนรักทราบ "อิฐจะไปเนปาล เมืองกาฐมาณฑุ อิฐอยากจะลองปีนภูเขาหิมะดูสักครั้ง"
พายยืนนิ่งก่อนส่งยิ้มให้อิฐอีกครั้ง เธอยื่นมือจับเพื่อเป็นการอวยพรให้เขาทำตามที่ตั้งใจ อิฐจับมือกับพายอย่างแผ่วเบาเนิ่นนาน ก่อนที่พายจะหันหลังแล้วเดินจากไป อิฐได้แต่ส่งสายตาที่มีแต่ความรู้สึกดีที่เขาเคยมีให้ รอยยิ้มนั้นยังคงอบอุ่นเสมอมา
ส่วนพายน้ำตาไหลออกมาจากสองตาอย่างมิอาจกลั้น แน่นอนว่าพายเองก็มิอาจตัดใจจากอิฐได้ทั้งหมด ภาพความหลังที่ทั้งสองให้สัญญาต่อกันว่าจะเดินทางไปเที่ยวเนปาล เกิดขึ้นมาในห้วงความคิดของพาย
'อิฐ พายอยากไปเมืองกาฐมาณฑุ ถ้าเป็นไปได้เราอยากปีนเขา เอเวอเรสต์ด้วย อิฐจะไปกับพายไหม'
'ไปสิ อิฐอยากไปกับพายทุกที่ แต่ปีนเขาเอเวอเรสต์ อิฐคงไม่ไปอ่ะ เพราะอิฐกลัวความสูง'
'ว้าย ผู้ชายตัวโตอย่างอิฐกลัวความสูงด้วย พายจะไปโพสประกาศในเฟสให้ทุกคนรู้'
'อย่าบอกใครนะ อิฐอายเพื่อน'
รอยยิ้มที่มาพร้อมน้ำตา มันเกิดขึ้นจากความประทับใจที่เธอมิอาจลืมได้ ถึงแม้จะผ่านไปหลายปี แล้วก็ตาม
แต่แล้วทุกอย่างมันผ่านเลยไป มิอาจหวนคืนได้อีก เพราะทั้งหมดเป็นเส้นทางที่เธอได้เลือกแล้ว
(มีต่ออีกนิดครับ)
🌾🌾🌼 THE GLOVES 2018 "FINAL GAME" ถุงมือเรื่องสั้น รอบชิงชนะเลิศ กระทู้ที่ 2 "วัชพืช" โดย "ถุงมือสานฝัน"🌼🌾🌾
เรื่องนี้กรรมการอ่านแล้ว ซึ้งหลายชั้นเลยครับ
เมื่อชายหญิงซึ่งอดีตเคยรักกัน ต่างฝ่ายต่างไปตามทางของตนเอง แล้ววันหนึ่งมาพบกันอีก ก็เป็นเรื่องยากจะทำใจ โดยเฉพาะฝ่ายที่รู้สึกผิดหวัง ใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ วันหนึ่งได้รับมรดกตกทอดมาเป็นที่นาหลายร้อยไร่ แต่ถูกสั่งไว้ในพินัยกรรมโดยคุณยายผู้ล่วงลับไปแล้วว่า ห้ามขาย ให้เช่าได้เท่านั้น
เขาดำเนินชีวิตต่อไป จนวันหนึ่งได้พบเธอคนนั้นอีกครั้ง...และสุดท้าย จึงได้เข้าใจความหมายและเหตุผลที่คุณยายไม่ให้ขายที่นา
ติดตามอ่านกันครับว่าชีวิตของเขาจะไปทางใด เรื่องความรักจะเป็นไปเช่นไร
และ อะไรคือความหมายของชื่อเรื่องนี้....
จบแล้ว อย่าลืมให้เกรดกันด้วยเน้อ...
วัชพืช
สายลมพาพัดให้ต้นหญ้าในท้องนาที่รกร้างสะบัดพลิ้วไปมา เสียงหวีดหวิวของลมที่แหวกผ่านระหว่างใบ ฟังดูคล้ายเสียงร้องโหยหวนของอะไรสักอย่าง ท้องนาอันกว้างใหญ่ปราศจากต้นข้าว มีเพียงต้นหญ้าเขียวชอุ่ม นั่นเกิดจากนาผืนนี้มันไม่มีคนดูแลเหมือนที่นาทั่วไป
ต้นหญ้าอาจไร้ประโยชน์ในสายตาของมนุษย์ที่ไม่คิดจะแสวงหาสาระของมัน เพราะในผืนดินที่มีค่า ตามแหล่งภูมิศาสตร์ มีพืชที่สามารถสร้างมูลค่าให้ผู้เพาะปลูก ที่ไม่ใช่ต้นหญ้าอย่างแน่นอน แต่ความทนทานของมันทำให้ต้องถูกกำจัดมาหลายชั่วอายุคนแล้ว
มนุษย์เริ่มเพาะปลูกมาแสนนาน แต่เพราะเหตุใดต้นหญ้าหลายชนิดจึงยังคงอยู่เป็นหนามแทงใจ มีการคิดค้นวิธีกำจัดมันมานาน ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์จนถึงปัจจุบัน แต่ต้นหญ้าก็คงอยู่ มิอาจบ่งชี้ชัดได้ว่ามันมีวิวัฒนาการในรูปแบบใด หน้าตาของมันเมื่อพันปีก่อนเป็นเช่นใด ปัจจุบันยังเป็นเช่นนั้นหรือไม่
แต่มันก็ยังอยู่ ตราบที่มนุษย์เรายังคงอยู่เช่นกัน ก็เหมือนกับอิฐ ชายหนุ่มคนหนึ่งที่มีชีวิตคล้ายกับพืชชนิดนี้ อาจมองไม่เห็นแก่นสารในชีวิต แต่เขาก็ยังมีชีวิต
หลังจากที่ได้มรดกจากคุณยายเป็นที่นาแปลงนี้จำนวนหลายร้อยไร่ แต่เขากลับเหมือนไม่ได้อะไร เพราะที่ดินแปลงนี้ถูกระบุในพินัยกรรมว่า ห้ามขาย ทำได้เพียงให้เก็บค่าเช่าทำนาปลูกข้าวเท่านั้น
แต่ค่าเช่าที่ได้ในแต่ละปีก็ใช่ว่าจะมากมาย เขาได้ค่าเช่าจากการขายผลผลิต ถ้าข้าวราคาดีค่าเช่าก็จะดี แต่ถ้าราคาข้าวตกเขาก็อาจได้แค่ข้าวสารที่สีเรียบร้อยขนกลับมาเป็นค่าเช่า แต่ความจริงเขาก็ไม่เคยเดือดร้อนในเรื่องเงินๆ ทองๆ
อีกเงื่อนไขหนึ่งในการรับมรดกก็คือ เขาต้องมาอยู่บ้านหลังนี้เดือนละสองวัน มันเป็นบ้านที่คุณยาย กับคุณตาอยู่ด้วยกันเป็นบ้านที่ปลูกใจกลางท้องนา เว้นที่ตรงกลางให้เป็นพื้นที่ทรงกลม 2 ไร่ มีคำสั่งเสียมาตั้งแต่บรรพบุรุษว่าไม่ให้เพาะปลูกอะไรในพื้นที่แปลงนี้ ดังนั้นตรงหน้าบ้าน มันจึงกลายเป็นแหล่งที่หญ้าขึ้นหนาแน่น
ในวันแรกๆ อิฐเหมือนถูกขังให้ต้องมานั่งทนดูต้นหญ้าที่ไม่มีความสวยงาม บางเดือนสีเหลือง บางเดือนสีเขียว บางเดือนน้ำท่วมจนคิดว่ามันคงตายหมด กลายเป็นที่อาศัยของปลา กบ เขียด คางคก งู
จนต่อมาน้ำแห้ง สิ่งมีชีวิตในน้ำบางส่วนตาย บางส่วนกลายเป็นอาหารให้กับชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียง แล้วไม่นาน มันก็แตกหน่อขึ้นมาอีกครั้ง เขาเฝ้าดูด้วยความเฉยชา แล้วอยู่มาวันหนึ่งเขาจึงเข้าใจความหมายที่คุณยายตั้งเงื่อนไขแบบนี้
...ในวันที่อิฐผิดหวังในความรัก ในตอนแรกเขาสงสัยว่าเพราะอะไรถึงต้องเป็นฝ่ายผิดหวัง ทั้งที่เขาไม่เคยนอกใจ หรือทำอะไรให้เธอเสียใจแม้แต่ครั้งเดียว พายเป็นแฟนกับอิฐมาตั้งแต่เรียน ม.5 ขณะนั้นเธอเรียน ม.4
จนเขาเรียนมหาวิทยาลัย เธอก็ยังมาเรียนที่มหาวิทยาลัยเดียวกัน หลังเรียนจบ อิฐทำงาน และรับมรดกในตอนที่คุณยายเสีย ทั้งสองก็ยังเป็นคนรักกัน
จนเมื่อพายทำงานในกรุงเทพฯ ส่วนอิฐทำงานที่สุพรรณบุรี เขาก็ยังไปหาเธอเกือบทุกวัน เพราะสุพรรณบุรีกับกรุงเทพฯ มันใกล้กันแค่นี้ แต่ในที่สุดพายก็มาบอกกับอิฐในคืนวันลอยกระทงว่า "อิฐ...เราไปกันไม่ได้ เราแตกต่างกันเกินไป แล้วพายก็ไม่ได้รักอิฐแล้ว อิฐดีเกินไปสำหรับเรา"
คำว่าดีเกินไป มันก็คือคำที่บอกเลิกที่อาจทำให้ผู้ถูกเลิกรู้สึกดีขึ้น แต่สำหรับอิฐในขณะนี้ ก็เหมือนถูกพาย ผู้หญิงตัวเล็กสเปคคนตัวใหญ่ ถีบหน้าจนหงายท้องตกแม่น้ำเจ้าพระยา ทำไมแรงถีบของเธอจึงมหาศาลถึงเพียงนี้หนอ
หน้าใหญ่ๆ ใจโตๆ ของอิฐถึงกับชาด้าน เพราะความจริงเขาก็พอจะทราบมาก่อนว่า พายได้พบรักใหม่กับผู้จัดการแผนกของเธอ ที่รูปหล่อพ่อมีตังค์ในธนาคารเหลือเฟือ อิฐจึงทำได้แค่เดินจากไปอย่างเงียบๆ พร้อมกระทงที่เขาเตรียมมา เท่านั้น
อิฐขับรถกลับมาสุพรรณบุรี โดยไม่รู้ตัวว่าขับมาถึงได้ยังไง หลังจากนั้นเขาก็ลาออกจากงานวิจัยพันธุ์ข้าวที่มหาวิทยาลัยที่เขาทำงานอยู่ ออกมาทำตัวเป็นวัชพืชที่ขึ้นอยู่ตามคันนา นั่นก็คือไม่ทำอะไรเลย ปล่อยให้แต่ละวันผ่านไป และผ่านไป
เขาคอยแต่ใช้เงินมรดกของคุณยายใช้ไปวันๆ จนถึงวันนี้ วันที่เขาเข้าใจ นั่นเป็นเพราะอิฐไม่เคยคิดถึงข้อดีของมันต่างหาก ต้นหญ้าไม่ว่าจะอยู่ในสภาวะใดก็ตาม มันก็จะเติบโตขึ้นได้เสมอ มันไม่ต้องการคนเลี้ยงดู มันไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น ถึงมันจะถูกเหยียบย่ำจนแทบแหลกสลาย แต่มันจะงอกขึ้นใหม่อีกครั้ง
จากสายตาของใครต่อใครที่มองต้นหญ้าเหล่านั้นอย่างไร้ความหมาย ก็คงเหมือนที่พายมองเห็นเขาเป็นเช่นนั้น คนที่ไม่เคยคิดถึงความก้าวหน้า ทำงานไปวันๆ แล้วเธอจะฝากชีวิตไว้ที่เขาที่เป็นเหมือนวัชพืชได้อย่างไร
แต่คุณค่าของมันมิใช่การวิจัยว่ามันสามารถสกัดไปทำยารักษาโรค หรือนำไปใช้ทำอะไรต่อมิอะไร เพราะมันคือความหมายของการมีชีวิตอยู่นั่นเอง ไม่ว่าจะยากลำบากสักแค่ไหน มันก็ต้องคงอยู่ เพื่อรักษาในสิ่งที่คุณยายทิ้งไว้ให้ มิใช่ค่าเช่าเก็บกินยามสิ้นไร้ไม้ตอก
หรือบ้านที่ใช้ซุกหัวนอน แต่เป็นความหมายของคำว่าอดทนให้เป็นดั่งวัชพืช ไม่ว่าจะผ่านเหตุร้ายแค่ไหน หรือจนกว่าโลกนี้จะสูญสลายไป วัชพืชจะอยู่คู่กับผืนดินชั่วนิรันดร์
......ในอีกสามปีต่อมา งานเลี้ยงรุ่นที่มหาวิทยาลัยเกษตรฯ อิฐนั่งคุยกับเพื่อนเก่าที่เป็นข้าราชการบ้าง บางคนก็เป็นเจ้าของกิจการ บ้างก็เป็นพนักงานบริษัทเอกชน ส่วนอิฐทำงานเป็นหัวหน้าแผนกวิเคราะห์ตลาดการเกษตรแห่งหนึ่ง
พายมากับเพื่อนชายที่น่าจะเป็นแฟนใหม่ ไม่ใช่ผู้จัดการแผนกคนนั้น เพราะชายที่มาด้วยจะออกท้วมๆ อิฐได้แต่ทอดถอนใจในสิ่งที่ผ่านมา เขาได้พบเพื่อนและพาย ได้เห็นความเปลี่ยนไปของทุกๆคนที่รู้จัก แต่เหมือนมีแค่สองคนที่ไม่ยอมเปลี่ยนนั่นคือตนเอง กับการแต่งกายของพาย
เมื่อได้พบก็คงทำได้เพียงส่งยิ้มให้ในฐานะเพื่อนเก่า เขาขอตัวเพื่อนสนิทกลับบ้านก่อนงานเลิก เพราะเขาต้องเดินทางกลับสุพรรณบุรี ถึงแม้เพื่อนอีกหลายคนจะพยายามเหนี่ยวรั้งไว้เพื่อสังสรรค์ ตามประสาเพื่อนเก่าที่ไม่ได้พบมานาน แต่ในที่สุดอิฐก็เดินออกมา
อิฐเดินจนมาถึงบันไดหน้าโรงแรม เสียงร้องทักของผู้หญิงก็ดังขึ้น "อิฐ รอก่อน"
ใช่แล้วพายนั่นเอง เธอมองลงมาด้วยสายตาแปลกประหลาด เธอก้าวลงมาจนใกล้กันไม่เกิน 2 เมตร เขาได้แต่คิดภายในใจว่า 'ทำไมเธอถึงไม่เปลี่ยน ยังไว้ผมทรงเดิม สวมเสื้อในแบบเดิมๆ'
สายตานั้นอาจมิใช่สายตาเดิมที่เคยมองมา แต่มีบางอย่างลึกซึ้งกว่า อิฐเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงที่พยายาม ให้เป็นปกติที่สุด
"ไม่ได้เจอกันนานเลย พายสบายดีไหม"
"สบายดี แต่ทำไม อิฐถึงรีบกลับล่ะ คงไม่ใช่เพราะพายนะ"
"ไม่ใช่หรอก พอดีอิฐต้องกลับสุพรรณฯ เลยต้องกลับเร็วกว่าคนอื่น"
พายมองหน้าเหมือนกำลังจะบอกอะไรสักอย่าง เขาจึงเผยความรู้สึกออกมาก่อน
"ถึงเราจะไม่ได้เป็นเหมือนเมื่อก่อน แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันได้นะ เพราะความจริงแล้ว มันไม่ใช่ความผิดของใคร ที่ไม่สามารถฝืนใจเพื่ออยู่กับใครสักคนที่เราไม่ได้รักได้"
พายก้มหน้าเหมือนจะหลบตาก่อนเดินจากไป อิฐมองด้านหลังของพาย ถึงแม้มีอีกหลายอย่างที่เขาคิดจะบอก แต่มันก็ไม่สามารถเปิดเผยออกมาได้ ความจริงก็คือเขายังคิดถึงพายทุกวัน
ถึงเขาเป็นเพียงวัชพืชที่สามารถทนทานได้ทุกสภาวะ แต่วัชพืชอย่างเขาก็ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง เช่นเดียวกับพืชชนิดอื่นๆ แต่เมื่ออิฐไม่สามารถคิดหวังในสิ่งนั้นได้ เขาก็คงต้องยอมตัดใจออกไป
"ลาก่อนพาย อิฐคงต้องตัดใจเสียที เพราะเราต้องมีชีวิตต่อ ไม่ใช่เพื่อใคร แต่เพื่อตนเอง พายเองก็เช่นเดียวกันนะ"
อิฐกลับไปบ้านคุณยายที่ใจกลางทุ่งนา สายตามองกอหญ้าที่ออกดอกอ่อนไหว สายลมพาพัดให้ละอองเกสรโปรยปลิวไปให้ไกลจากถิ่นฐาน แต่เขากลับใช้เพียงสายตาจับจ้อง ภาพนั้นอย่างสงบนิ่ง แต่ในความคิดนั้นกลับล่องลอยตามละอองเกสรสายนั้น
หากจมอยู่กับความหลัง ก็จะจมปลักอยู่เช่นนั้น ถึงเวลาที่เขาต้องเดินในเส้นทางของตน และตัดสินใจอย่างแน่วแน่
เพราะในวันที่มืดมิดย่อมมีแสงสว่าง ราคาข้าวในสามปีที่ผ่านมามันทะลุเพดาน ราวกับว่าจะเกิดสงครามครั้งใหญ่ มีการสั่งซื้อข้าวชนิดต่างๆ ในที่นาของเขาอย่างเกินคาด ค่าเช่าที่เขาได้รับมันมากมาย ราวกับมีบ่อน้ำมันเป็นของตนเอง เขาจึงได้เวลาใช้เงินก้อนนี้ เดินทางตามความฝัน
เขาตั้งใจไปเนปาล เพื่อปีนเขาสูงตามความฝันที่เคยวาดไว้นั่นเอง แต่มันเปลี่ยนแค่เขาต้องไป ตามลำพังเท่านั้น เขาเตรียมการไว้เป็นอย่างดีฟิตร่างกายเพื่อรับสภาวะที่หนาวเย็นนั้น
.....ที่สนามบินสุวรรณภูมิ อิฐนำกระเป๋าโหลดลงเครื่องเพื่อรอไฟลท์บิน เสียงที่คุ้นเคยร้องทักขึ้น
"อิฐ"
"พาย"
ทั้งสองยืนมองกัน ก่อนที่เขาหันไปทักทายกับชายหนุ่มคนนั้น เขาคงไม่ใช่คนไทย เพราะเมื่อดูใกล้ๆ จึงทราบว่าเป็นหนุ่มเกาหลี ชื่อจังกุก อิฐจับมือกับเขาอย่างมั่นคง ทักทายด้วยภาษาอังกฤษ ก่อนที่ชายผู้นั้นจะเดินออกมาเพื่อให้เราสองคนได้คุยกันอย่างอิสระ พายเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสดใส
"เราจะไปอยู่ที่เกาหลีสักพัก เพราะคุณจังต้องการให้พายเรียนรู้การเป็นแม่บ้านจากคุณแม่ แล้วอิฐล่ะ จะไปที่ไหนเหรอ"
อิฐอมยิ้มเล็กน้อยก่อนเฉลยให้อดีตคนรักทราบ "อิฐจะไปเนปาล เมืองกาฐมาณฑุ อิฐอยากจะลองปีนภูเขาหิมะดูสักครั้ง"
พายยืนนิ่งก่อนส่งยิ้มให้อิฐอีกครั้ง เธอยื่นมือจับเพื่อเป็นการอวยพรให้เขาทำตามที่ตั้งใจ อิฐจับมือกับพายอย่างแผ่วเบาเนิ่นนาน ก่อนที่พายจะหันหลังแล้วเดินจากไป อิฐได้แต่ส่งสายตาที่มีแต่ความรู้สึกดีที่เขาเคยมีให้ รอยยิ้มนั้นยังคงอบอุ่นเสมอมา
ส่วนพายน้ำตาไหลออกมาจากสองตาอย่างมิอาจกลั้น แน่นอนว่าพายเองก็มิอาจตัดใจจากอิฐได้ทั้งหมด ภาพความหลังที่ทั้งสองให้สัญญาต่อกันว่าจะเดินทางไปเที่ยวเนปาล เกิดขึ้นมาในห้วงความคิดของพาย
'อิฐ พายอยากไปเมืองกาฐมาณฑุ ถ้าเป็นไปได้เราอยากปีนเขา เอเวอเรสต์ด้วย อิฐจะไปกับพายไหม'
'ไปสิ อิฐอยากไปกับพายทุกที่ แต่ปีนเขาเอเวอเรสต์ อิฐคงไม่ไปอ่ะ เพราะอิฐกลัวความสูง'
'ว้าย ผู้ชายตัวโตอย่างอิฐกลัวความสูงด้วย พายจะไปโพสประกาศในเฟสให้ทุกคนรู้'
'อย่าบอกใครนะ อิฐอายเพื่อน'
รอยยิ้มที่มาพร้อมน้ำตา มันเกิดขึ้นจากความประทับใจที่เธอมิอาจลืมได้ ถึงแม้จะผ่านไปหลายปี แล้วก็ตาม แต่แล้วทุกอย่างมันผ่านเลยไป มิอาจหวนคืนได้อีก เพราะทั้งหมดเป็นเส้นทางที่เธอได้เลือกแล้ว
(มีต่ออีกนิดครับ)