ตามล่าพิพิธภัณฑ์ในกรุงเทพ เจอแกงรัญจวนที่ร้าน BAAN MOH MEE Cuisine และอาหารโบราณหาทานยาก

* กระทู้นี้สามารถใช้งานได้เฉพาะผู้ที่มี Link นี้เท่านั้นค่ะ
กรุงเทพฯ นั้นมีพิพิธภัณฑ์ดีดีเยอะมาก และเปิดให้ฟรีด้วย แต่คนส่วนมากมักไม่ค่อยรู้
เราเป็นคนหนึ่งที่อินกับการเดินพิพิธภัณฑ์เก่า ๆ ยิ่งมีประวัติศาสตร์ร่วมด้วย ก็จะทำให้อรรถรสในการเดินชมอินเข้าไปอีก
แถบเส้นเจริญกรุง หรือฝั่งพระนคร บอกเลยว่าเพียบและคอนเซปคือ “เข้าฟรีคือดีงาม”

สายพิพิธภัณฑ์อย่างเราอยากแนะนำที่เคยไปหลายที่มาก
ไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ชาวบางกอก (Bangkokian Museum) ที่บางรัก อันนี้ชอบม้ากมากก เพราะร่มรื่น เขียวขจี ลมพัดเย็น นั่งแช่ริมระเบียงบ้านได้เย็นสบาย ฟอกปอดฟินสุด ใช้เวลาเดินชมไม่นานนัก เห็นร่องรอยการใช้ชีวิตอยู่ทุกก้าวที่เข้าไป คือเป็นบ้านคนจริง ๆ อารมณ์ย้อนไปช่วงก่อน-หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เลยมีข้าวของเครื่องใช้จริงเต็มไปหมด แม้กระทั่งอัฐฐิคุณยายเจ้าของบ้านเก่ายังตั้งไว้อยู่ที่เดิมในห้องนอนเก่าอ่ะคิดดู ขลังขนาดไหน
และหน้าบ้านมีร้านขายลูกชิ้น กับน้ำอร่อยคุณลุงให้ซื้อกินด้วย เป็นอะไรที่คลาสสิก และน่ารักดี

อีกที่นึงคือไม่ไกลกันมากนัก “Neilson Hays Library” ห้องสมุดเนลสัน อยู่ถนนสุรวงศ์ เป็นหอสมุดขาวอายุ 70 ปีแล้ว ได้รับการขนานนามว่าเป็น ห้องสมุดที่สวยที่สุดในกรุงเทพ ข้างนอกร่มรื่นสะอาดแล้ว ข้างในยิ่งสวยกว่า สะอาด สงบ มีหนังสือเป็นพันเล่ม แอร์เย็นฉ่ำ ในบรรยากาศไม้ๆ คือเข้าเหมือนอยู่ห้องสมุดเมืองนอกอ่ะแก ต้องไปลองดู

ถัดมาเป็น “พิพิธบางลำพู” จะอยู่ถนนพระอาทิตย์ ตรงป้อมพระสุเมรุ เป็นของกรมธนารักษ์ ก็เลยจะดูทางการสักหน่อย อันนี้ตื่นตาตื่นใจในง่าย ห้องบรรยากาศ เอฟเฟกต์ ภาพฉาย และก็ชอบความเล่าเก่งพูดเก่งของวิทยาการ คือสคริปแต่ละห้องยาวมาก ถ้าใจไม่รักจริงคือจำได้ไม่หมด แถวนั้นของกินอร่อยเยอะด้วย ขนมเบื้องเอย คาเฟ่เอย ขนมจีนซาวน้ำเอย ควรค่าแก่การไปเดินเตร่ในวันหยุด

ซึ่งหนึ่งที่ทำให้ทั้งหมดทั้งมวล ดำรง รักษาคงอยู่ได้ คือทายาทและคนที่เห็นความสำคัญคือสถานที่ หรือสิ่งของเหล่านี้ อยากขอบคุณคนเหล่านี้ที่ทำให้มันคงอยู่ อนุรักษ์ หวงแหน และทำให้มันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ที่ยิ่งเวลาผ่านไป คุณค่าทางใจที่ประมาณเป็นตัวเงินไม่ได้ก็จะยิ่งสูงขึ้น คือใครไม่อินเรื่องนี้ แต่เราอินมากนะ 😊

บล็อกนี้เรามี The Hidden Gems หรือสถานที่เร้นลับที่น่าสนใจแอบซ่อนที่ใหม่ที่ไปค้นพบมาสด ๆ ร้อน ๆ ชอบตรงที่มีอาหารไทยให้กินด้วย
เดินชมไป หิวก็สั่งอาหารได้เลย แอร์เย็นฉ่ำดับร้อนข้างนอกดี เดินต่อไม่ไหว

ร้านอาหารบ้านหมอมี BAAN MOH MEE Cuisine

ความน่าสนใจอยู่ที่เขารีโนเวตบ้านเก่าของหมอมี เกษมสุวรรณ ผู้ก่อตั้งบ.หมอมี จำกัด ซึ่งผสมผสานระหว่างไทยประยุกต์และบ้านตึกปูนแบบฝรั่ง ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้นก่อสร้างแบบบ้านปูนฝรั่งยังไม่แพร่หลาย ให้กลายเป็นร้านอาหารไทย แต่เอกลักษณ์การสถาปัตยกรรมการตกแต่งพยายามคงเดิมไว้หมด ทั้งพื้นกระเบื้อง เสา บันได ผนังต่าง ๆ เป็นของเดิมเมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งหมด แต่ปรับให้ดูมีความเป็นร้านอาหารมากขึ้น โปร่งโล่ง สบายตาและก็ดูร่วมสมัยมากขึ้น

ความโรคจิตของชาวเราอย่างหนึ่งคือ จะกรี๊ดกร๊าดมากหากไปที่ไหนแล้วเจอพื้นกระเบื้องสวย ๆ ลายแปลกตา ก็จะถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึก อัพลงโซเซียล คือที่นี่ก็พื้นที่เป็นของบ้านเดิมเลย แล้วสวยด้วย



อย่างรูปด้านขวาบน จะเป็นกระเบื้องโมเสค เป็นงานศิลปะที่นิยมทำกันมากในสมัยโบราณ โดยเกิดจากชิ้นส่วนเล็ก ๆ มาเรียงต่อกันเพื่อให้เกิดลวดลาย รูปภาพ มีความเป็นพิกเซลเล็ก ๆ ที่ให้พื้นที่นี้ดูน่ารักและเก๋ไก๋ไปอีกแบบ ใครอยากดูใกล้ ๆ ต้องลองเข้าไปชมที่ห้องนี้



ลืมบอกว่าที่ร้านอาหารบ้านหมอมี จะมีห้องรับรองลูกค้าหลายห้องโดยชื่อห้องจะตั้งชื่อตามดอกไม้ สมุนไพรที่ใช้ทำยาอุทัยหมอมี เช่น มะลิ กุหลาบ กระดังงา มะลิลา เป็นต้น

อยากพูดถึงด้านอาหารบ้าง คันไม้คันมืออยากเล่ามาก
ที่ลองสั่งมาตามรีวิว และอยากกินเองด้วย มีทั้งหมด 7-8 เมนู



ที่ตั้งใจอยากจะมาทานมากที่สุดคือ “ขนมจีนซาวน้ำ” อ่านจากกระทู้รีวิวตามเว็บต่าง ๆ เห็นว่าเอ้อ มีเมนูนี้ด้วย น่าสนใจ เพราะโดยส่วนตัวแล้ว เราเป็นขนมจีนเลิฟเวอร์ ชอบทานมาก กินได้ทุกชนิดทุกน้ำยา แต่ที่หาทานได้ยากเหลือเกินในกรุงเทพคือ “ขนมจีนซาวน้ำ” ตอนเด็ก ๆ แม่จะชอบซื้อมาให้กินจากในตลาดที่ระยอง มัดถุงขายเป็นชุด ชุดละ 30-40 บาท แต่พอเข้ามาในกรุงเทพฯ คือหายากแถมแพงทั้งหมด ที่ไม่แพงมากก็ได้ปริมาณน้อย พยายามจะหาร้านที่อร่อยโดดเด่น



ร้านนี้ของก็มีเมนูนี้เหมือนกัน จัดเป็นเซตใน แต่จานกระเบื้องเซรามิกคล้ายกัน เทียบกับขนาดปริมาณที่ได้แล้วคือเยอะกว่าร้านก่อนหน้า ทานได้ 1-2 ท่าน

เป็นหนึ่งใน Thai Dish ของทางร้านตำรับหมอมีที่จะ 250++ บาททุกเมนู นอกจากนี้ก็จะมี หมี่กะทิ ยำแหนมสด ยำดอกขจรทอด หรือแกงโบราณอย่างวุ้นเส้นแกงร้อน พูดตรงคือเพิ่งเคยได้ยินชื่อแกงนี้ครั้งแรก รุ่นเราคือไม่รู้จักแล้วจ้า อยากลองแกงอันนี้ แต่กลัวจะสั่งเยอะเกินไป ซึ่งพนักงานบอกว่าหาทานยากมากเต็มที รสชาติจะออกหวานนำแต่ไม่มาก เค็มตามนิด ๆ หอมเครื่องแกง เป็นอีกนึงเมนูที่มีไม่กี่ร้านยังอนุรักษ์ไว้



ลองชิมซาวน้ำดู เขาใช้หัวกะทิข้นมัน มันสุดตั้งแต่เคยกินมาในกรุงเทพฯ  เครื่องก็จะมีสัปปะรดสับ ขิงซอย กุ้งป่น กระเทียมหั่นบาง น้ำตาล น้ำปลาพริก พริกป่น และที่สำคัญคือ กะทิสดหอมมัน และมีลูกชิ้นปลาจิ๋วทำเองแบบ Homemade หนึบหนับมาก เวลากินให้คลุกเคล้าเครื่องเคียงทุกอย่างเข้าด้วยกัน ใครใคร่ปรุงรสไหนเพิ่มก็ปรุงได้เองตามใจชอบ สำหรับเราไม่ชอบปรุงค่ะ ซึ่งได้ความหวานจากสับปะรดแสนฉ่ำ ได้ความเค็มจากกุ้งแห้งป่นละเอียด ตัวลูกชิ้นปลาใส่เนื้อปลากรายขูดตีจนเหนียวหนึบ มิติของทุกรสชาติจะพุ่งเข้ามาในปากตอนเคี้ยวเลย ได้ครบรสเค็มหวานมันกลมกล่อม ครบเครื่องตามสูตรโบราณเลย ใครชอบซาวน้ำต้องชอบจานนี้

เมนูถัดมาเป็น ‘แกงรัญจวน’  


อาหารตำรับชาววังไทยแท้ มีมาตั้งแต่สมัย ร.5 วัตถุดิบหลักสำคัญคือ กะปิ โดยที่มาที่ไปเกิดจากความบังเอิญที่นำอาหารที่หลงเหลือจากมื้อก่อน หรือที่เรียกว่าของค้างขึ้นโต๊ะ จับมาปรุง เพื่อไม่ให้เสียของทิ้งไป สามารถเลือกสั่งทั้งหมูและเนื้อตามชอบ เราสั่งเป็นหมูซึ่งจะเป็นเนื้อติดกระดูกอ่อนนิด ๆ ให้พอเคี้ยวกรุบกริบ รสชาติจะคล้าย Thai Soup จำพวกแกงเลียง หรือต้มแซ่บ แต่เด่นที่กลิ่นเครื่องแกง - สมุนไพร ตะไคร้ พริก โหระพาตีขึ้นจมูกหอมฟุ้งมาก  ต้องกินตอนร้อน ๆ ถึงจะอร่อย ใครชอบเปรี้ยวให้บีบมะนาวเพิ่ม ซดทีหายหวัดแน่ เพราะซดร้อน ๆ ค่อยละเลียด โล่งคอดีค่ะ ทานคู่กับข้าวสวยร้อนก็เข้ากัน ใครชื่นชอบแกงไทยให้สั่งแกงรัญจวนนะ


จานนี้เป็นออร์เดิฟ ประกอบด้วย สาคูไส้หมู ยำผักบุ้งกรอบ ม้าฮ่อ หมี่กรอบ ไอศครีมหมอมีไทยซอร์เบท
ความน่าสนใจคือไอศครีมซอร์เบท (Sorbet) ที่มีส่วนผสมของน้ำอุทัย สีชมพูเกล็ดละเอียด เนื้อออกมูส แต่กลิ่นคือน้ำยาอุทัยหอมเลย ไม่หวานมาก มีเปรี้ยวนิดหน่อย ไอเดียดีทานแล้วสดชื่น ตัดเลี่ยนจากตัวที่เสริฟมาด้วยดีทีเดียว

ไก่ห่อใบเตย

เป็นอาหารประจำภาคกลาง แกะใบเตยออกก่อนทานนะคะ เพราะใบเตยทานไมได้ เขาห่อเพื่อมาให้ได้กลิ่น แต่แอบแกะยากนิดนึงอ่ะ มือเลอะด้วย ส่วนไก่หมักได้นุ่ม กัดไปแล้วหอมกลิ่นใบเตย จิ้มทานกับซอสดำที่ออกรสหวานเค็ม

ไก่สะเต๊ะ

ตอนแรกกลัวว่าจะอร่อยมั้ย เนื้อจะแห้ง ๆ รึป่าว ผิดคาด! เนื้อไก่นุ่มมาก เป็น Appetizers ที่ควรสั่งมาทานเล่น หากเบื่อหมูเต็มที เพราะไก่น่าจะเป็นเมนูโปรดของหลายคน ย่อยง่าย ส่วนน้ำอาจาดเปรี้ยวดีด้วย พิมพ์ไปหิวไป ซึ่งเมนูนี้มาทีหลังสุดเลย ซึ่งเกือบอิ่มแล้วเลยห่อกลับบ้าน ค้นพบว่าเอาไปเวฟกินต่ออีกหนึ่งมื้อ เนื้อสะเต๊ะก็ยังนุ่มไม่ต่างจากกินที่ร้าน แนะนำเลยเมนูนี้

เมนูสุดท้ายของอาหารคาว “ยำถั่วพลู”

มีกุ้งสองตัว ตัวด้านบนใหญ่สดเด้งเหลือเกินเจ้าค่ะ แต่ตัวข้างล่างเล็กลงมานิด แซมด้วยหมูสับ ราดด้วยหัวกะทิแบบฉ่ำ ๆ โรยต่อด้วยหอมเจียวทอด รสแซ่บแบบกลมกล่อมที่ไม่เผ็ดมากจนเกินไป เด็ก ๆ ก็สามารถกินได้นะคะ ติดนิดนึงคือถ้าเสริฟมาคู่กับไข่ต้มยางมะตูมจะสมบูรณ์แบบมาก

ลืมไปบอกว่าเขาจะมี ‘ยำมะยม’ ให้ทานเล่น เสริฟมาฟรีด้วยนะ

ก่อนหน้านี้จะเป็น ‘ยำเกสรชมพู่มะเหมี่ยว’ ที่ปลูกเอง แต่มันคงร่วงหมดฤดูกาลออกดอกไปหมดแล้ว เลยกลายเป็นยำมะยมแทน รสชาติคล้ายส้มตำไทย เปรี้ยว มีถั่วลิสงตำมาด้วย

ด้านเครื่องดื่มพนักงานแนะนำเป็นตัว ‘หมอมีไทยคูลลิ่ง’ ลองดูก็ได้

เสริฟมาเป็นแก้วใส ข้างบนคือสตอเบอร์รี่ฝ่านครี่งลูก ใหญ่อยู่นะจ้ะ ส่วนน้ำใสใสคือโซดา สีแดงล่างเป็นเยลลี่อุทัย คือต้องคนให้มันผสมกันก่อนดื่ม ไม่งั้นจะสุดไปทางหนึ่ง กินแล้วสดชื่นดีค่ะ หวานอมเปรี้ยว สาว ๆ น่าจะชอบ
มีสรรพคุณช่วยแก้ร้อนในกระหายน้ำ ช่วยบำรุงหัวใจ บำรุงโลหิต รวมถึงมีส่วนผสมของดอกไม้และไม้หอมกว่า 10 ชนิด

ปิดท้ายด้วยของหวาน ‘มะม่วงหาวมะนาวโห่ลอยแก้ว’ กับ “ลูกตาลลอยแก้ว”

เราเคยกินมะม่วงหาวมะนาวโห่มาก่อนแล้ว ซึ่งรสมันจะเปรี๊ยวแหลมจิ๊ด แต่พอเอามาทำเป็นหวานแก้ว ร้านนี้ออกหวานนำ หวานไปนิดหน่อย ถ้ากินแบบยังไม่เติมน้ำแข็ง เราก็เลยเอาน้ำแข็งไปผสมให้ความหวานมันจางลง ก็ดีขึ้น จะบอกว่าประโยชน์ของมันเยอะมากเลยนะ วิตามินซีสูงพอ ๆ กับลูกพรุน ลดคอเลสเตอรอลได้ดีเยี่ยม และเป็นผลไม้หายากแล้ว
ด้านลูกตาลอันนี้อร่อย หอม หวานกำลังดี ช่วงนี้อากาศร้อน ได้ทานลูกตาลลอยแก้วเย็นๆแล้วมันชื่นใจดีจริงๆค่ะ

นอกจากนี้ยังมีอาหารเมนูอื่นที่น่าสนใจอีกหลายรายการ เช่น ข้าวแช่ตำรับหมอมี ที่เหมาะกินวันร้อน  ๆ
ซึ่งเมืองไทยก็ร้อนทุกวันอย่างแล้ว เขาทำสดใหม่ทุกวัน ในชุดจะประกอบไปด้วย ข้าวสวย น้ำอบควันเทียน น้ำอุทัยหมอมี เนื้อฝอย หมูฝอย กะปิทรงเครื่อง ไชโป๊วหวาน ปลาหวาน พริกหยวกสอดใส หอมทรงเครื่อง และปลาเค็มหมูสับ
หรือเมนูแปลก  ๆ อย่าง ต้มจิ๋ว, เนื้อต้มกะทิ ข้าวต้มน้ำวุ้น ฯลฯ


หากใครอยากจะเข้ามาเดินชมประวัติศาสตร์ชีวิตความเป็นอยู่สมัยก่อน โซนพิพิธภัณฑ์เขาก็เปิดมาให้เยี่ยมชมได้ฟรี
พร้อมกับไกด์บรรยายภาคสนาม ที่เล่าได้เป็นฉาก ๆ อย่างสนุกสนาน



ถึงที่มาที่ไปของบ้าน และข้าวของเครื่องใช้แต่ละอย่าง เช่น เครื่องโรเนียว เครื่องพิมพ์ดีด โต๊ะ โซฟา ของอายุรุ่นคุณปู่คุณย่า
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่