เรื่องที่ผมจะเล่านี้อาจจะยาวนิดนึงนะครับ
ชีวิตผมตั้งแต่อายุ 16 ก็จำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ห่างบ้านห่างเมือง ห่างพ่อแม่ มาโดยตลอด ทำงานไกลบ้าน ทำงานในเมืองกรุง “รับราชการ” อาชีพในฝันของใครหลายๆ คน เมื่อก่อนผมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันหน่วยงานราชการที่ไหนเปิดสอบเป็นต้องมีผมสมัครทุกครั้ง จะใกล้จะไกล ชายแดนที่ไหนก็สมัคร ขอแค่ได้รับราชการ ในตอนนั้นถ้าถามว่าอยากรับราชการเพราะอะไร? ผมคงตอบได้แค่ว่า “เป็นสวัสดิการสำหรับครอบครัว” เนื่องจากผมเกิดมาจากครอบครัวที่ยากจนหาเช้ากินค่ำ โดนเหยียบย่ำซ้ำเติม จากเพื่อนบ้านนับครั้งไม่ถ้วน และมากกว่านั้นก็เพราะ คำดูถูก ติฉินนินทา ว่าครอบครัวเราไม่สามารถส่งลูกเรียนสูงๆได้ ไม่สามารถมีการมีงานดีดีทำหรอก ผมต้องขอบคุณคำพูดจาดูถูกเหล่านี้ ที่ทำให้ผมสามารถเอาชนะคำพูดดูถูกเหล่านี้ได้ ผมเรียนจบปริญญาตรี 2 ใบ ในเวลา 5 ปี โดยไม่พึ่งพาเงินจากครอบครัว และก็สามารถสอบเข้ารับราชการได้ในที่สุด
จนกระทั่งตอนนี้รวมเวลาราชการของผมได้ 11 ปีกว่า ซึ่งก็เข้าหลักเกณฑ์ที่สามารถรับเบี้ยหวัด และสามารถเปลี่ยนประเภทเป็นบำนาญได้เมื่อครบวาระ นอกจากนั้นสิทธิด้านสวัสดิการต่างๆ ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ผมจึงได้ทบทวนดูว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนถึงอายุ 30 ปี ผมได้ทำอะไรเพื่อตัวเองแล้วบ้าง ซึ่งก็ไม่มี การที่เรียนจบปริญญา และเข้ารับราชการได้ ก็เพื่อลบล้างคำดูถูกของชาวบ้าน ซึ่งผมว่าตอนนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ซึ่งตลอดอายุ 30 ปี ที่ผ่าน ผมก็ไม่เคยทำให้พ่อแม่ลำบากใจ ไม่เคยนำปัญหามาให้ แต่ครั้งนี้ผมคงต้องขอแล้วล่ะครับ
ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะลาออกจากราชการ ไปใช้ชีวิตของตัวเองที่เหลือ อีกเกือบ 30 ปี เพราะผมคิดว่าคนเราอายุไม่ยั่งยืนสักเท่าไหร่ เกิดมาทั้งทีขอได้ทำอะไรตามความฝันของตัวเองมันคงมีความสุขไม่น้อย ถามว่าผมลาออกจะไปทำอะไร คือ ผมวางแผนไว้ว่าจะทำเกษตร และฟาร์มไก่เนื้อ ควบคู่กันไปด้วย อยู่กับสัตว์ อยู่กับพืช อยู่กับผลไม้ มันเป็นอะไรที่มีความสุขมากนะ บางคนถามว่าทำฟาร์มไก่เนื้อ ไม่กลัวเจ๊งเหรอ ไม่กลัวโรคระบาดเหรอ พอดีผมได้ยินคำพูดๆ หนึ่ง “ตราบใดที่มนุษย์ไม่หยุดทานเนื้อไก่ ยังไงก็ไม่มีวันเจ๊ง” ซึ่งผมว่ามันเป็นความจริง ส่วนเรื่องโรคระบาด ยุคสมัยนี้วิทยาศาสตร์การแพทย์ก็พัฒนาขึ้นมาก โรคระบาดส่วนใหญ่ก็มีวัคซีนรักษา และป้องกันเกือบหมดแล้ว และถ้าถามว่าผมจะมีความรู้เรื่องพวกนี้ไหม ผมตอบได้เลยว่า มี แต่อาจจะไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็มากพอที่จะทำให้ผมจัดการเรื่องต่างๆ ได้ เพราะ 2 ปี ก่อนหน้านี้ผมได้ทดลองเลี้ยง เป็ดไข่ ไก่เนื้อ และไก่ไข่ ผ่านมาแล้ว ก็มีทั้งปัญหาและอุปสรรคต่างมากพอสมควร แต่ผมก็ค่อยๆ แก้ปัญหาให้หมดไปได้ จนมั่นใจแล้วว่าชีวิตนี้ผมอยู่กับงานเกษตรมีความสุขที่สุด
สุดท้ายนี้ที่ผมมาตั้งกระทู้ ก็เพราะอยากได้รับคำแนะนำ จากเพื่อนๆ ที่เคยลาออกจากราชการ หรืองานประจำอื่นๆ แล้วไปทำธุรกิจของตัวเอง หรือบุคคลทั่วไป อยากแนะนำ ก็ขอน้อมรับทุกคนแนะนำ ขอขอบคุณครับที่อ่านจนจบ
ลาออกจากราชการ เพื่อทำตามฝันของตัวเอง
ชีวิตผมตั้งแต่อายุ 16 ก็จำเป็นต้องใช้ชีวิตอยู่ห่างบ้านห่างเมือง ห่างพ่อแม่ มาโดยตลอด ทำงานไกลบ้าน ทำงานในเมืองกรุง “รับราชการ” อาชีพในฝันของใครหลายๆ คน เมื่อก่อนผมก็คิดเช่นนั้นเหมือนกันหน่วยงานราชการที่ไหนเปิดสอบเป็นต้องมีผมสมัครทุกครั้ง จะใกล้จะไกล ชายแดนที่ไหนก็สมัคร ขอแค่ได้รับราชการ ในตอนนั้นถ้าถามว่าอยากรับราชการเพราะอะไร? ผมคงตอบได้แค่ว่า “เป็นสวัสดิการสำหรับครอบครัว” เนื่องจากผมเกิดมาจากครอบครัวที่ยากจนหาเช้ากินค่ำ โดนเหยียบย่ำซ้ำเติม จากเพื่อนบ้านนับครั้งไม่ถ้วน และมากกว่านั้นก็เพราะ คำดูถูก ติฉินนินทา ว่าครอบครัวเราไม่สามารถส่งลูกเรียนสูงๆได้ ไม่สามารถมีการมีงานดีดีทำหรอก ผมต้องขอบคุณคำพูดจาดูถูกเหล่านี้ ที่ทำให้ผมสามารถเอาชนะคำพูดดูถูกเหล่านี้ได้ ผมเรียนจบปริญญาตรี 2 ใบ ในเวลา 5 ปี โดยไม่พึ่งพาเงินจากครอบครัว และก็สามารถสอบเข้ารับราชการได้ในที่สุด
จนกระทั่งตอนนี้รวมเวลาราชการของผมได้ 11 ปีกว่า ซึ่งก็เข้าหลักเกณฑ์ที่สามารถรับเบี้ยหวัด และสามารถเปลี่ยนประเภทเป็นบำนาญได้เมื่อครบวาระ นอกจากนั้นสิทธิด้านสวัสดิการต่างๆ ก็ยังคงอยู่เหมือนเดิม ผมจึงได้ทบทวนดูว่าตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จนถึงอายุ 30 ปี ผมได้ทำอะไรเพื่อตัวเองแล้วบ้าง ซึ่งก็ไม่มี การที่เรียนจบปริญญา และเข้ารับราชการได้ ก็เพื่อลบล้างคำดูถูกของชาวบ้าน ซึ่งผมว่าตอนนี้ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ซึ่งตลอดอายุ 30 ปี ที่ผ่าน ผมก็ไม่เคยทำให้พ่อแม่ลำบากใจ ไม่เคยนำปัญหามาให้ แต่ครั้งนี้ผมคงต้องขอแล้วล่ะครับ
ผมคิดว่าถึงเวลาแล้วที่ผมจะลาออกจากราชการ ไปใช้ชีวิตของตัวเองที่เหลือ อีกเกือบ 30 ปี เพราะผมคิดว่าคนเราอายุไม่ยั่งยืนสักเท่าไหร่ เกิดมาทั้งทีขอได้ทำอะไรตามความฝันของตัวเองมันคงมีความสุขไม่น้อย ถามว่าผมลาออกจะไปทำอะไร คือ ผมวางแผนไว้ว่าจะทำเกษตร และฟาร์มไก่เนื้อ ควบคู่กันไปด้วย อยู่กับสัตว์ อยู่กับพืช อยู่กับผลไม้ มันเป็นอะไรที่มีความสุขมากนะ บางคนถามว่าทำฟาร์มไก่เนื้อ ไม่กลัวเจ๊งเหรอ ไม่กลัวโรคระบาดเหรอ พอดีผมได้ยินคำพูดๆ หนึ่ง “ตราบใดที่มนุษย์ไม่หยุดทานเนื้อไก่ ยังไงก็ไม่มีวันเจ๊ง” ซึ่งผมว่ามันเป็นความจริง ส่วนเรื่องโรคระบาด ยุคสมัยนี้วิทยาศาสตร์การแพทย์ก็พัฒนาขึ้นมาก โรคระบาดส่วนใหญ่ก็มีวัคซีนรักษา และป้องกันเกือบหมดแล้ว และถ้าถามว่าผมจะมีความรู้เรื่องพวกนี้ไหม ผมตอบได้เลยว่า มี แต่อาจจะไม่มากเท่าไหร่ แต่ก็มากพอที่จะทำให้ผมจัดการเรื่องต่างๆ ได้ เพราะ 2 ปี ก่อนหน้านี้ผมได้ทดลองเลี้ยง เป็ดไข่ ไก่เนื้อ และไก่ไข่ ผ่านมาแล้ว ก็มีทั้งปัญหาและอุปสรรคต่างมากพอสมควร แต่ผมก็ค่อยๆ แก้ปัญหาให้หมดไปได้ จนมั่นใจแล้วว่าชีวิตนี้ผมอยู่กับงานเกษตรมีความสุขที่สุด
สุดท้ายนี้ที่ผมมาตั้งกระทู้ ก็เพราะอยากได้รับคำแนะนำ จากเพื่อนๆ ที่เคยลาออกจากราชการ หรืองานประจำอื่นๆ แล้วไปทำธุรกิจของตัวเอง หรือบุคคลทั่วไป อยากแนะนำ ก็ขอน้อมรับทุกคนแนะนำ ขอขอบคุณครับที่อ่านจนจบ