สวัสดีค่ะ ต้องบอกเพื่อนๆก่อนว่านี้เป็นกระทู้แรกของเรา อาจจะเรียบเรียงคำได้ไม่ดีเท่าไหร่ งงๆบ้าง ต้องขอโทษไว้ก่อนเลยนะคะ ปัจจุบันเจ้าของกระทู้ กำลังจะเรียนจบปี 4 คณะนิเทศ ณ มหาลัยแห่งหนึ่งย่านเมืองเอกนะคะ วันนี้อยากจะมาเล่าประสบการณ์หรือปัญหาชีวิตของเจ้าของกระทู้ที่ได้เจอมา เรื่องราวทั้งหมดคือความจริง มิได้เป็นการสร้างเรื่องขึ้นมาแต่อย่างใดค่ะ
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณเกือบ 20 ปีที่แล้ว(ตอนนี้เจ้าของกระทู้อายุ22-23นะคะ) เรามีครอบครัวที่อบอุ่นมากค่อยข้างจะมีฐานะระดับนึงในตอนนั้นเลย แต่อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ต้องบอกก่อนว่าแม่ของเราชอบใช้หนังสือพิมพ์มาม้วนๆและแหย่เข้าไปในหูเพื่อปั่นหู เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมต้องใช้หนังสือพิมพ์ ซึ่งคอตตอนบัดก็มี แต่มันพีคตรงที่ว่า ระหว่างที่แม่ของเราปั่นหูนั้น เราและพี่ชายก็วิ่งเล่นกันอยู่ในห้องตามประสาเด็กๆอะเนอะ(อายุประมาณ 3-4 ขวบ) แต่เราดันวิ่งไปชนแม่ ซึ่งแม่ของเราปั่นหูอยู่ พ่อเล่าให้ฟังว่ามีเลือดไหลออกจากหูแม่ เลยพาแม่ไปหาหมอปกติ หาหมอเสร็จก็ใช้ชีวิตปกตินะ แต่พอสักพักอยู่ๆ แม่ก็เจ็บหูขึ้นมาอีกครั้ง เลยพาไปหาหมอ ซึ่งหมอบอกว่า แม่เราเป็นมะเร็งเพราะติดเชื้อในแก้วหู ตอนนั้นเราก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร เพราะด้วยความที่เป็นเด็ก ไม่มีใครเล่าให้ฟังว่า แม่เราเป็นอะไร ทำไมต้องติดผ้าพันแผลรอบหู
แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด หลังจากนั้นไม่นานพ่อกับแม่ก็เลิกกัน ต่างคนต่างก็มีคนใหม่ ทำให้เกิดการแบ่งลูกกัน พี่ชายเราอยู่กับพ่อ ส่วนเราอยู่กับแม่ ซึ่งแม่เราก็พาเรามาอยู่กับยาย เพราะตอนนั้นแม่เราไม่มีตังติดตัวเลย บ้านยายก็ยากจนมากๆ ส่วนแม่ก็ไปอยู่กับแฟนใหม่จนตั้งท้องน้องเราอีก1คน แต่หลังจากคลอดน้องเราได้ไม่นาน แม่ก็ทรุดลงอย่างหนัก และหลังจากนั้น2เดือน น้องเราก็เสียชีวิตลงในขนาดที่มีอายุได้แค่ 3 เดือน ไม่แน่ใจว่า น้ำท่วมปอด หรือ ติดเชื้อในปอด นะคะ เราจำไม่ได้จริงๆ หลังจากนั้นได้ไม่นาน แม่ก็ตรอมใจตามน้องสาวเราไป
เราใช้ชีวิตอยู่กับตายายในบ้านไม้เก่าๆ กับน้องอีก2คน (ลูกชายของน้า) และก็น้ากับแฟนน้า ยายมีอาชีพขายผักบุ้ง ผักกระเฉด ตามตลาดนัดในตัวจังหวัด กำละ 5 บาท ยายทำงานหนักมาก เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายให้เราและน้องของเราอีกสองคนไปเรียน ซึ่งจำได้ว่าได้ตังไปโรงเรียนกันคนละ 10-15 บาท เป็นค่าน้ำค่าขนม (ไม่เสียค่ารถเพราะว่าอาศัยรถคนแถวนั้นไปด้วย ลูกของเขาเรียนที่เดียวกัน) เราเรียนโรงเรียนวัดแถวบ้าน ซี่ง ณ เวลานั้น มีนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ไม่แน่ใจว่าปัจจุบันยังมีอยู่มั๊ยนะคะ แต่ก็นะ ตอนนั้นถือได้ว่ามีค่ามากๆสำหรับเราเลย ยายเราดูแลเราได้ดีมากๆ ไม่เคยตีเลยสักครั้ง แต่ก็มีดุมีว่าถ้าเราทำอะไรไม่ถูกกาลเทศะนะ ชีวิตเราไม่ได้หรูหราอะไร แต่ตอนนั้นเรามีความสุขมากๆ ของเล่นของเรา คือ ใบไม้ ดินโคลน ก็คือธรรมชาตินั้นแหล่ะ ทุกคนนึกออกมั้ยคะ แบบขุดดิน ทำขนมครกเอย โอวัลตินเอย
แต่แล้วความสุขในชีวิตเราก็หายไปอีกครั้งตอนเราอายุได้12-13 ปี ยายเราเป็นโรคหืดหอบ ต้องเข้าโรงพยาบาลถี่มาก บางทีนอนๆอยู่กับหายใจไม่ออกกลางดึก ต้องเรียกแท็กซี่ไปโรงพยาบาล บางที่แอดมิดเป็นอาทิตย์(ปล.ใช้บัตรทอง นะคะตอนนั้น เลยไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรมาก)
และในตอนนั้นเอง ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นในชีวิตเรา แฟนของน้าเราพยายามเข้ามาในมุ้งที่เรานอนกับน้องชายอีกสองคน (ซึ่งปกติจะมียายนอนอยู่ด้วย) แฟนของน้าเราพยายามจะเข้ามาข่มขืน แต่เรารู้ตัว เลยถีบเขาออกไป และตะโกนร้องกรี้ด แฟนน้าเราตกใจเลยรีบวิ่งเข้าไปในห้องของเขา เรากลัวมากคืนนั้น เรานอนไม่หลับ เราไม่รู้จะทำยังไง เช้ามาแฟนน้าก็เดินมากระซิบว่าอย่าไปบอกใครนะ (ประมาณว่าขู่) เราก็ไม่รู้จะทำยังไง เรากลัวไปหมด เราก็ไม่กล้าบอกใครเลย วันไหนไม่ได้ไปโรงเรียน เราก็ไม่กล้าขึ้นบ้าน ช่วงเวลากลางคืนเราก็นอนแบบหวาดระแวงไปหมด บางคืนก็แทบไม่ได้นอน เป็นแบบนี้มาเกือบปี จนในที่สุด ยายของเราก็เสียชีวิตลงไปอีกคน ชีวิตเราเวลานั้นเหมือนขาดครึ่งนึงของชีวิตเลยก็ว่าได้ ยายที่เรารักที่สุด ไม่อยู่กับเราอีกต่อไปแล้ว ยายที่เป็นเหมือนทุกอย่าง ชีวิตเราตอนนั้นเหมือนไม่เหลืออะไรแล้วอะ
เดี๋ยวมาต่อนะคะ
อดีตที่แสนเลวร้ายของผู้หญิงวัยมหาลัยอย่างฉัน... ใครที่คิดว่าชีวิตตัวเองกำลังแย่ อยากให้อ่านกระทู้นี้!
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณเกือบ 20 ปีที่แล้ว(ตอนนี้เจ้าของกระทู้อายุ22-23นะคะ) เรามีครอบครัวที่อบอุ่นมากค่อยข้างจะมีฐานะระดับนึงในตอนนั้นเลย แต่อยู่มาวันหนึ่งก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ต้องบอกก่อนว่าแม่ของเราชอบใช้หนังสือพิมพ์มาม้วนๆและแหย่เข้าไปในหูเพื่อปั่นหู เราก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าทำไมต้องใช้หนังสือพิมพ์ ซึ่งคอตตอนบัดก็มี แต่มันพีคตรงที่ว่า ระหว่างที่แม่ของเราปั่นหูนั้น เราและพี่ชายก็วิ่งเล่นกันอยู่ในห้องตามประสาเด็กๆอะเนอะ(อายุประมาณ 3-4 ขวบ) แต่เราดันวิ่งไปชนแม่ ซึ่งแม่ของเราปั่นหูอยู่ พ่อเล่าให้ฟังว่ามีเลือดไหลออกจากหูแม่ เลยพาแม่ไปหาหมอปกติ หาหมอเสร็จก็ใช้ชีวิตปกตินะ แต่พอสักพักอยู่ๆ แม่ก็เจ็บหูขึ้นมาอีกครั้ง เลยพาไปหาหมอ ซึ่งหมอบอกว่า แม่เราเป็นมะเร็งเพราะติดเชื้อในแก้วหู ตอนนั้นเราก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร เพราะด้วยความที่เป็นเด็ก ไม่มีใครเล่าให้ฟังว่า แม่เราเป็นอะไร ทำไมต้องติดผ้าพันแผลรอบหู
แต่เคราะห์ซ้ำกรรมซัด หลังจากนั้นไม่นานพ่อกับแม่ก็เลิกกัน ต่างคนต่างก็มีคนใหม่ ทำให้เกิดการแบ่งลูกกัน พี่ชายเราอยู่กับพ่อ ส่วนเราอยู่กับแม่ ซึ่งแม่เราก็พาเรามาอยู่กับยาย เพราะตอนนั้นแม่เราไม่มีตังติดตัวเลย บ้านยายก็ยากจนมากๆ ส่วนแม่ก็ไปอยู่กับแฟนใหม่จนตั้งท้องน้องเราอีก1คน แต่หลังจากคลอดน้องเราได้ไม่นาน แม่ก็ทรุดลงอย่างหนัก และหลังจากนั้น2เดือน น้องเราก็เสียชีวิตลงในขนาดที่มีอายุได้แค่ 3 เดือน ไม่แน่ใจว่า น้ำท่วมปอด หรือ ติดเชื้อในปอด นะคะ เราจำไม่ได้จริงๆ หลังจากนั้นได้ไม่นาน แม่ก็ตรอมใจตามน้องสาวเราไป
เราใช้ชีวิตอยู่กับตายายในบ้านไม้เก่าๆ กับน้องอีก2คน (ลูกชายของน้า) และก็น้ากับแฟนน้า ยายมีอาชีพขายผักบุ้ง ผักกระเฉด ตามตลาดนัดในตัวจังหวัด กำละ 5 บาท ยายทำงานหนักมาก เพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายให้เราและน้องของเราอีกสองคนไปเรียน ซึ่งจำได้ว่าได้ตังไปโรงเรียนกันคนละ 10-15 บาท เป็นค่าน้ำค่าขนม (ไม่เสียค่ารถเพราะว่าอาศัยรถคนแถวนั้นไปด้วย ลูกของเขาเรียนที่เดียวกัน) เราเรียนโรงเรียนวัดแถวบ้าน ซี่ง ณ เวลานั้น มีนโยบายเรียนฟรี 15 ปี ไม่แน่ใจว่าปัจจุบันยังมีอยู่มั๊ยนะคะ แต่ก็นะ ตอนนั้นถือได้ว่ามีค่ามากๆสำหรับเราเลย ยายเราดูแลเราได้ดีมากๆ ไม่เคยตีเลยสักครั้ง แต่ก็มีดุมีว่าถ้าเราทำอะไรไม่ถูกกาลเทศะนะ ชีวิตเราไม่ได้หรูหราอะไร แต่ตอนนั้นเรามีความสุขมากๆ ของเล่นของเรา คือ ใบไม้ ดินโคลน ก็คือธรรมชาตินั้นแหล่ะ ทุกคนนึกออกมั้ยคะ แบบขุดดิน ทำขนมครกเอย โอวัลตินเอย
แต่แล้วความสุขในชีวิตเราก็หายไปอีกครั้งตอนเราอายุได้12-13 ปี ยายเราเป็นโรคหืดหอบ ต้องเข้าโรงพยาบาลถี่มาก บางทีนอนๆอยู่กับหายใจไม่ออกกลางดึก ต้องเรียกแท็กซี่ไปโรงพยาบาล บางที่แอดมิดเป็นอาทิตย์(ปล.ใช้บัตรทอง นะคะตอนนั้น เลยไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรมาก)
และในตอนนั้นเอง ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นในชีวิตเรา แฟนของน้าเราพยายามเข้ามาในมุ้งที่เรานอนกับน้องชายอีกสองคน (ซึ่งปกติจะมียายนอนอยู่ด้วย) แฟนของน้าเราพยายามจะเข้ามาข่มขืน แต่เรารู้ตัว เลยถีบเขาออกไป และตะโกนร้องกรี้ด แฟนน้าเราตกใจเลยรีบวิ่งเข้าไปในห้องของเขา เรากลัวมากคืนนั้น เรานอนไม่หลับ เราไม่รู้จะทำยังไง เช้ามาแฟนน้าก็เดินมากระซิบว่าอย่าไปบอกใครนะ (ประมาณว่าขู่) เราก็ไม่รู้จะทำยังไง เรากลัวไปหมด เราก็ไม่กล้าบอกใครเลย วันไหนไม่ได้ไปโรงเรียน เราก็ไม่กล้าขึ้นบ้าน ช่วงเวลากลางคืนเราก็นอนแบบหวาดระแวงไปหมด บางคืนก็แทบไม่ได้นอน เป็นแบบนี้มาเกือบปี จนในที่สุด ยายของเราก็เสียชีวิตลงไปอีกคน ชีวิตเราเวลานั้นเหมือนขาดครึ่งนึงของชีวิตเลยก็ว่าได้ ยายที่เรารักที่สุด ไม่อยู่กับเราอีกต่อไปแล้ว ยายที่เป็นเหมือนทุกอย่าง ชีวิตเราตอนนั้นเหมือนไม่เหลืออะไรแล้วอะ
เดี๋ยวมาต่อนะคะ