บันทึกพ่อลูกอ่อน ตอนเจ็บป่วย

กระทู้สนทนา
.       ในครั้งที่ผมยังไม่มีลูก ผมคิดเสมอว่าการที่เด็กเจ็บป่วยอะไรก็แค่พาไปโรงพยาบาล นอนรักษาให้ยาไปตามขั้นตอนของหมอก็ไม่น่ามีอะไรให้ต้องเป็นกังวล อักทั้งเดี๋ยวนี้เด็กทุกคนก็มีสิทธิ์ในการรักษาฟรีในโรงพยาบาลของรัฐที่มีสิทธิ์ ทำให้มองดูอย่างผิวเผินนั้นการเจ็บไข้ได้ป่วยก็ไม่มีอะไรให้น่ากังวลใจเลยสักนิดเดียว ถ้าอยากนอนสบายหน่อยก็จองห้องพิเศษก็จะเสียค่าห้องตามจำนวนวันที่นอนอย่างเดียว แต่ถ้านอนห้องรวมก็ไม่ต้องเสียอะไรเลยเมื่อจบคอร์สการรักษา

        แต่ทว่าเมื่อผมมีเจ้าตัวเล็ก และเจ้าตัวเล็กนั้นป่วย นั่นทำให้เห็นว่าความเชื่อที่ผมมีมาก่อนหน้านี้นั้นไม่จริงเลยแม้แต่นิดเดียว มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ลูกชายของผมติดเชื้อในปอด ในตอนนั้นเด็กอายุสองขวบกว่า ตอนกลางคืนที่อากาศเย็นไข้จะขึ้นจัด กินยาแก้ไขยังไงไข้ก็ไม่ลง นั่นทำให้ผมกระวนกระวายใจมากรีบพาลูกไปโรงพยาบาล ในขั้นตอนการรักษาจะต้องมีการเจาะเส้นเลือดเพื่อให้น้ำเกลือและสำหรับฉีดยาฆ่าเชื้อ ซึ่งการใช้เข็มแท่งใหญ่ ๆ จิ้มลงไปที่แขนเด็ก เด็กย่อมต้องกลัวอยู่แล้ว ลูกชายผมก็ร้องไห้เหมือนเด็กคนอื่น ๆ ทั่วไป

        ตลอดเวลาการรักษาผมว้าวุ่นใจอยู่ตลอดเวลา มีหลายเรื่องที่ทำให้ผมคิดฟุ้งซ่านไปต่าง ๆ นานา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่จะหายป่วยเมื่อไหร่ จะหายขาดหรือไม่ กลัวว่าจะมีอาการเรื้อรังหรือมีอะไรแทรกซ้อนในภายภาคหน้าหรือเปล่า อีกทั้งยังกังวลว่าเมื่อได้รับยาฆ่าเชื้อไปนาน ๆ จะทำให้ลูกผมดื้อยา

        เหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมแทบจะขาดใจ เมื่อลูกของผมเป็นลมชักครั้งแรก ผมกับแฟนเห็นภาพน่าตกใจนั้นก็ทำอะไรไม่ถูก เราเคยได้ยินเกี่ยวกับโรคนี้ว่ามันน่ากลัวมาก ถ้าชักขึ้นสมองก็อาจทำให้สมองพิการได้เลย บางคนต้องรักษาไปตลอดชีวิต คิดดูว่าเห็นลูกของตัวเองชักโดยที่ไม่รู้จะหยุดเมื่อไหร่ จะปฐมพยาบาลกันยังไง โชคดีที่ชักแค่สั้น ๆ จากนั้นผมก็พาเด็กไปตรวจคลื่นสมองเข้าเครื่องสแกนสมองจนหมอวินิจฉัยว่าเป็นโรคลมชัก หมอก็ให้ยาแก้ลมชักไปตามอาการ หมอบอกว่าถ้าโชคดีโรคนี้อาจจะหายภายในสองปีและต้องกินยาเช้าเย็นทุกวันห้ามขาด เพราะการชักของเด็กครั้งหนึ่งก็ทำให้สมองถูกทำลายไปด้วย

        ผมเฝ้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และตีโพยตีพายโทษโชคชะตาว่าทำไมเรื่องแบบนี้ต้องมาเกิดกับลูกผมด้วยนะ โชคร้ายทำไมต้องมาเกิดขึ้นกับครอบครัวของผมด้วย

       

        ความเจ็บป่วยทางร่างกายเป็นเรื่องหนึ่งที่สร้างความกังวลใจให้พ่อแม่ แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ทำให้พ่อแม่รู้สึกเป็นห่วงไม่แพ้เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย นั่นก็คือเรื่องพัฒนาการตามช่วงวัย ลูกของผมมีปัญหาอย่างหนึ่งคือเป็นเด็กที่ไม่ยอมพูด แม้พัฒนาการด้านอื่น ๆ จะปกติตามวัย แต่พ่อแม่ก็ยังไม่วางใจถึงสาเหตุที่เด็กพูดช้า

        ผมพาลูกไปเข้ารับการวินิจฉัยจากโรงพยาบาลที่ดูแลโดยตรงเกี่ยวกับเรื่องพัฒนาการเด็ก นักจิตวิทยาเด็กก็บอกว่ายังไม่มีอะไรน่ากังวล ยังไม่พบปัจจัยด้านอื่น ๆ ที่น่าเป็นห่วงมาก ปัจจัยที่เด็กเป็นโรคลมชักก็อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กลืมพูดก็เป็นได้ แต่ว่าอาการลมชักนั้นคุมได้แล้ว ดังนั้นการรักษาก็คือเข้ารับการบำบัดเรื่องการพูดแค่นั้นเอง

        แต่เพราะได้พาเด็กเข้าไปรักษาแล้วจึงต้องเข้าออกที่นี่หลายครั้งตามนัด ที่นี่ผมเห็นเด็กมากมายที่มีความผิดปกติ จะมีทั้งเด็กที่กร้าวร้าวเพราะเกิดจากการเลี้ยงดู เด็กสมาธิสั้น เด็กบางคนมีความพิการทางสมอง บางคนกล้ามเนื้ออ่อนแรงจนต้องมาฝึกเดิน สิ่งแรกที่ผมคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็คือว่า ลูกผมก็ไม่ได้โชคร้ายอะไรอย่างที่ผมเคยคิดมาก่อนหน้านี้สักหน่อย

        มีอยู่ครั้งหนึ่งผมพาลูกชายคนโตมาตรวจตามนัดโดยให้แฟนพาไป ส่วนผมก็อุ้มลูกชายคนเล็กอายุขวบครึ่งเดินเล่นรอบ ๆ แถวนั้น มีป้าคนหนึ่งเอ่ยถามกับผมว่าเด็กอายุเท่าไหร่แล้ว ผมก็ตอบไปตามความจริง แกก็บอกว่าเด็กเดินเก่งจังเลย ในเวลานั้นผมคิดในใจว่าส่วนใหญ่เด็กวัยนี้ก็น่าจะเดินได้กันหมดแล้ว ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย แต่เมื่อเห็นภาพว่าป้าคนนั้นกำลังอุ้มเด็กที่มีอาการสายตาเหม่อลอย แขนขาดูลีบไม่มีกล้ามเนื้อเท่าที่ควร ป้าบอกว่าหลานแกอายุสองขวบแล้วแต่ยังเดินไม่ได้เลย หมอเคยตรวจกล้ามเนื้ิอกระดูกสันหลังแล้วก็ไม่มีอะไรผิดปกติ วันนี้หมอนัดมาตรวจสมองว่าสมองจะพิการหรือไม่ ผมฟังเรื่องราวแล้วก็รู้สึกหดหู่แต่พยายามทำสีหน้าให้เป็นปกติ ก็บอกแกว่าพาลูกชายคนโตมาพบจิตแพทย์เด็กเพราะมีปัญหาเหมือนกัน ก็พูดให้กำลังใจกันไป

        แต่สิ่งที่ทำให้ผมพีคคือ ป้าแกเล่าต่อว่าพ่อของเด็กเมื่อรู้ว่าลูกผิดปกติก็ตีจากหนีไป และไปมีลูกใหม่กับเมียใหม่แล้ว ปล่อยให้ลูกสาวของป้าคนนี้รับผิดชอบเลี้ยงดูเด็กคนเดียว โดยมีตากับยายช่วยดูแล ภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดแม่เด็กไม่สามารถรับผิดชอบได้ทั้งหมด เพราะยังมีลูกชายคนโตอีกคน ตากับยายต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืดไปขายน้ำเต้าหู้เพื่อช่วยกันแบ่งเบาภาระเรื่องนี้

        ผมมองแววตาของป้าที่ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังในการรักษาหลาน จังหวะหนึ่งแกยื่นมือมาลูบขาลูกชายของผมและพูดว่าอิจฉาเด็กคนอื่น ๆ ที่ได้วิ่งเล่นสนุกสนาน แต่ลึก ๆ ในใจของผมยังสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มของป้าที่มีต่อหลาน ในความทุกข์นั้นอาจจะยังมีความสุขที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้นก็เป็นได้

       

        เรื่องราวแบบนี้ผมยังได้พบเจออีกเรื่อย ๆ ในครั้งล่าสุดที่พาลูกชายคนโตไปนอนโรงพยาบาลในห้องรวม คืนหนึ่งมีแม่อุ้มลูกที่นอนไม่ได้สติมาไว้เตียงข้าง ๆ ลักษณะมือเท้าหงิกเหยียดตรงไม่ได้ พอผ่านมาได้คืนหนึ่งเด็กเกิดอาการชักกระตุกนานมาก หมอและพยาบาลต่างเข้ามารุมปฐมพยาบาล ในตอนหลังจึงได้มีโอกาสถามไถ่กับแม่ของเด็ก

        เธอเล่าให้ฟังว่าตอนนี้ลูกของเธออายุ 4 ขวบแล้ว เป็นโรคลมชักมาตั้งแต่อายุ 1 ขวบ 4 เดือน โดยก่อนหน้านั้นเด็กคนนี้เดินได้แล้ว พูดได้แล้วตามวัยของเด็ก แต่เมื่อลมชักครั้งแรกรุนแรงมากจนไข้ขึ้นสมอง ทำให้เด็กนอนติดเตียงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กลายเป็นเด็กพิการทางสมอง และยังมีอาการชักกระตุกทุกวันแม้จะได้รับยา

        และเธอยังเล่าว่าพอเด็กมีสภาพแบบนี้แล้วก็ย้ายออกมาจากบ้านของสามีเลย มาอาศัยอยู่ท้ายสวนของคนรู้จัก หาเลี้ยงชีพโดยการเย็บผ้า แม่ของเด็กเล่าว่าที่ย้ายออกมาจากบ้านสามีเพราะไม่เข้าใจกัน เธอไม่ใช่คนไทยด้วย เป็นแรงงานต่างด้าว พ่อของเด็กเป็นคนไทยเด็กถึงมีสิทธิ์รักษาฟรีที่นี่ ผมก็ได้รับฟังเรื่องเหล่านั้นโดยที่รู้สึกอดสงสารไม่ได้

        เมื่อถามว่าพาลูกของเธอมาโรงพยาบาลอย่างไร ก็ได้รับคำตอบว่าให้เด็กนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ข้างหลัง และใช้ผ้ามัดตัวติดไว้กับผู้เป็นแม่ ระยะทางจากที่พักมาถึงโรงพยาบาลก็หลายกิโลเมตรอยู่

       

        เมื่อคิดถึงหลายเหตุการณ์ที่ผ่านมา ทั้งจากของตัวเองและคนอื่นด้วยทำให้คิดไปว่า ลูกของผมคงไม่ใช่ผู้โชคร้ายหรอก เด็กน้อยของผมไม่เฉียดคำ ๆ นั้นเลยสักนิดด้วยซ้ำไป เหมือนกับว่าเขายังมีโอกาสในการรักษาโรคประจำตัวและยังมีสิทธิ์กลับไปใช้ชีวิตปกติเหมือนคนทั่วไป พ่อแม่ยังมีความหวังที่จะเห็นเลือดเนื้อเชื้อไขเติบใหญ่ได้ แต่ยังมีเรื่องราวของเด็กอีกมากมายที่บางทีอาจจะต้องยอมรับว่าไม่มีสิทธิ์กลับมาเป็นเด็กปกติได้ ความพิการทางอวัยวะใด ๆ ไม่น่ากลัวเท่าอาการพิการทางสมอง ผมแค่ลองนึกภาพว่าถ้าต้องดูแลเด็กที่สมองพิการคงจะท้อเพียงใด แต่ก็ยังมีพ่อแม่ปู่ย่าตายยายอีกหลายคนที่เต็มใจจะดูแลเด็กเหล่านั้นโดยไม่ปริปากบ่นเลยแม้แต่น้อย

        เมื่อลูกผมยังไม่ใช่ผู้โชคร้าย แล้วใครกันเล่าที่เป็นผู้โชคร้าย ผมคิดว่าบางทีแล้วอาจจะไม่มีหรอกคนที่โชคร้าย ไม่มีทั้งนั้นทั้งโชคดีโชคร้าย คงมีแต่สภาวะที่เกิดขึ้น ณ ปัจจุบันแค่นั้นเอง และเราคงทำได้แต่เพียงวันนี้ให้ดีที่สุด ยอมรับในปัจจุบัน ไม่ตีโพยตีพายโทษโชคชะตา
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่