เรื่องนี้ขอแชร์ประสบการณ์และสเต็ปการไปพบสหวิชาชีพที่โรงบาลศรีธัญญาเพื่อให้เป็นข้อมูลสำหรับคนที่อยากจะไปพบจิตแพทย์แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี ยาวหน่อย ถ้าขี้เกียจอ่านกดผ่านโลดนะจ๊ะ
ปอลิง: คือเราเป็นคนที่เล่าเรื่องอะไรเเล้วเวิ่นเว้อมากนะบอกก่อน
เริ่มจากพักหลังๆ นี้เรามีอาการเครียดมากจากหลายๆเรื่อง หลักๆ ก็จะเป็นปัญหาจากการใช้ชีวิตคู่ เเล้วรองลงมาก็เรื่องงาน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นความเครียด หงุดหงิด งุ่นง่าน อยากวิ่งไปโดดน้ำตายซะให้พ้นๆ จะได้จบ ๆ เพราะแค่อยากรู้ว่าถ้าไม่มีเราซักคนแล้วจะอยู่กันยังไง (ตายไปแล้วจะรู้มั้ย)
มาต่อ..
ความเป็นตัวเรา สำหรับคนภายนอกนะคะ เราเป็นคนที่ใครๆ ก็ว่า จิตใจดี มีเมตตา เป็นคนสายฮา สนุกสนาน สำราญชีวา อารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส โลกสวย อึด ถึกทึน หญิงเหล็ก เก่ง พวกนี้คือคำนิยามของเราที่ได้มาจาก คนที่ได้พบ ได้คุย ได้คบ กับเรา นี่คือไม่มีใครรู้เลยว่าเรามีด้านดาร์ค ที่ยากจะหาทางออก เพราะบางทีแม้เวลาเราเล่าเรื่องเครียดๆ ในชีวิตเราให้ใครฟัง คนฟังดั้นขำกับเรื่องที่เราเล่าซะงั้น เราจะดีใจหรือเสียใจดีที่สามารถเล่าเรื่องทุกข์ของตัวเองให้คนอื่นฟังแล้วฮาได้ 😭 เราเป็นคนที่ถ้าตั้งใจทำอะไรแล้วเราจะทำจนสำเร็จ และมันจะต้องดีที่สุด เราเป็นนังแจ๋ว ทำทุกอย่างในบ้าน (ยกเว้นล้างจาน) ตั้งแต่กวาดบ้าน ล้างห้องน้ำ ล้างรถ ยันถางหญ้ารอบบ้าน เพราะบ้านเราไม่ได้จ้างแม่บ้าน ไม่มีคนสวน เราเป็นผู้นำครอบครัว และเป็นเสาหลักของครอบครัวในเวลาเดียวกัน
ครอบครัวของเรา เป็นครอบครัวเล็ก ๆ มีลูกสองคน เรากับสามีคบกันตั้งแต่สมัยเรียนปีหนึ่งมหาวิทยาลัยเดียวกัน เราเป็นลูกคนโตในครอบครัวคนไทย สามีเราเป็นลูกคนเล็กในครอบครัวคนจีน เรามีรายได้ที่มากกว่าสามีเยอะแยะ สามีเราเปิดร้านเล็กๆ เป็นของตัวเองรายได้พอใช้จ่ายสำหรับเค้าคนเดียวสบายๆ รายจ่ายกว่า 90% เราเป็นคนรับผิดชอบ คือเรียกว่านอกจากเราต้องทำงานนอกบ้านแล้วเรายังต้องทำงานในบ้านเกือบทุกอย่างด้วย เราเลือกเองที่จะไม่จ้างแม่บ้านเพราะมันเปลือง (คือจริงๆ เราเป็นคนขี้เหนียวอ่ะ อาจจะเพราะว่าบ้านเราเคยผ่านวิกฤตการเงินที่แย่มากๆ มาก็ได้ เพราะงั้นอะไรที่เราทำเองได้เราก็จะทำเอง)
อาชีพการงานของเรา คือ พนักงานบริษัท ตำแหน่งสูง ที่ต้องรับความกดดันและถูกคาดหวังจาก top management ในขณะที่เราก็มีบริษัทเล็กๆ ของตัวเองด้วย เราเป็นวิทยากรให้กับหลากหลายที่ เราทำงานทุกวันแบบไม่มีวันหยุดในบางครั้ง และต้องทำงานจนบางครั้งสว่างคาตา
จากความเป็นเรา ทำให้เราเป็นคนที่มีความคาดหวังสูงต่อคนใกล้ตัว ว่าเค้าจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เราคาดหวังต่อชีวิตครอบครัวว่า อยากให้สามีเกื้อกูลเรา ยามเราขัดสนบ้าง อยากให้สามีช่วยเราดูแลเรื่องงานบ้านบ้าง คือจริงๆ เค้าก็มีหน้าที่ล้างจานนะ เราอยากกลับบ้านมาแล้วไม่ต้องทำงานบ้านอีก ไม่ต้องคอยเก็บกวาด เช็ดถู เวลาลูกเราอ้วก หรือ ทำอะไรเลอะเทอะ เราอยากมีเวลาเอนหลังนั่งชิล พักผ่อนดูหนัง ดูละคร เราอยากใช้เงินเหมากล่องดนตรีน่ารักๆ ที่เราชอบ แต่เราไม่เคยได้สิ่งเหล่านี้เลย เราเคยคุยกับสามีแต่ก็เหมือนไฟไหม้ฟาง ดีขึ้นแป้บๆ แล้วก็วนกลับมาเป็นเหมือนเดิม ถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะบอกว่า “เลิกดิ จะทนเพื่ออะไร” , “ถ้าเป็นชั้นไม่ทนถึงขนาดนี้หรอก” , “ผู้ชายมันห่วย” คือ สำหรับหลายๆ คนมันอาจจะง่ายนะคะ แต่ความอ่อนไหว ความผูกพันสำหรับครอบครัวของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันจริงๆ ค่ะ เพราะนี่คือชีวิตที่มันไม่มีรูปแบบตายตัว หรือสูตรที่ตายตัว ที่มันจะต้องเริ่มและจบในแบบเดียวกัน มันคือชีวิตคู่นะไม่ใช่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เพราะงั้นเมื่อตัดสินใจแล้วว่าเราจะไปต่อกับชีวิตคู่ของเรา เราก็เข้าสู่ภาวะ ทน อดกลั้น อดกลั้น ทน วนเวียนอยู่แบบนี้มาตลอด จนกระทั่งมันก่อให้เกิดความเครียดที่สะสมมาเรื่อยๆ กลายเป็นคนขี้โมโห หงุดหงิดง่าย เวลาที่ลูกเราซน ร้องไห้งอแง ดื้อ หรือทำอะไรเลอะเทอะ เราจะหงุดหงิดใจและเครียดถึงขนาดตี ตวาด และพูดจาแรงกับลูกเวลาเค้าไม่ได้ดั่งใจเรา เราอยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ จนบางครั้งเวลาเครียดมาก หรือ เวลาที่อยู่คนเดียวน้ำตามันไหลออกมาเอง รู้สึกผิดมากที่มีครอบครัว รู้สึกไม่น่ามีลูกเลย รู้สึกแย่กับความรัก อยากย้อนเวลาไปตอนสมัยที่สามีซุกกิ๊ก แล้วบอกน้องคนนั้นว่าพี่ขอบใจน้องมากที่ก้าวเข้ามาในชีวิตครอบครัวพี่ น้องช่วยเอาผู้ชายคนนี้ไปเลยนะ เราอยากจะไปซื้อคอนโดอยู่คนเดียว รู้สึกว่าปัญหาพวกนี้มันหาทางออกไม่ได้มันข้ามผ่านไม่ได้ บวกกับเวลาจะนอนมันก็นอนไม่ได้เพราะมีอาการเหมือนกับสมองข้างนึงสั่งให้หลับ แต่อีกข้างหนึ่งมันยังวิ่งวนเวียนคิดเรื่องต่างๆ อยู่ เราเป็นแบบนี้บ่อยมาก บางครั้งก็ใช้หลักธรรมะเข้ามาช่วย หวังจะปลง แต่....มันก็หาได้ช่วยไม่ เดี๋ยวจะบอกว่าทำไม เพราะเราก็หาใช่คนใจบาปหยาบช้า ที่จะไม่ได้ซาบซึ้งในหลักศาสนา 555
จากความเครียดสะสม จนน้ำตาเล็ดน้ำตาริน อยากหลับแต่สมองวิ่งของเรา แถมความจำก็เริ่มถดถอย ลืมบ่อยๆ อยากหายไปจากโลกนี้ บวกกับการที่คุณทวด และลูกพี่ลูกน้องเราเป็นผู้ป่วยจิตเภทมาก่อน เราเลยมีความคิดว่าไปหาจิตแพทย์เถอะตัวเรา ถ้ายืนทนต่อไป แกได้ไปแอดมิทในฐานะ ผป จิตเภท แน่ๆ แต่เวลามันไม่ได้ซักกะที ตารางงานแน่นเอี้ยดดดดดด จนกระทั่งสวรรค์ก็มีตา เราได้วันว่างในตารางมาสองวัน ก่อนไปก็หาข้อมูล เกี่ยวกับโรงพยาบาล คลินิกจิตเวชต่างๆ ก็เจอหลายที่แต่ก็ไกลจากบ้านเราจัง กลัวถึงเวลาจริงๆ เราจะขี้เกียจพาตัวเองไปอ่ะ อีกอย่างถ้าไปเอกชนก็งกอีกไง 55555 คือคิดเอาเองว่า แค่ไปคุยเสียหลายพันเสียดายตังค์ (ยังจะเรื่องเยอะ) ก็เลยปักหมุดที่ศรีธัญญา เพราะใกล้บ้านมากกกกกกกก เฉพาะทางดี มีทุกด้าน น่าจะถูกกว่า เพราะเป็นรัฐบาล แถมครอบคลุมปัญหาเราแน่นอน
สำหรับคนที่ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วงนะคะให้ลงที่สถานีกระทรวงสาธารณสุข แล้วเดินย้อนกลับมา หน้าปากซอยทางเข้ากระทรวงสาธารณสุขจะมีวินมอเตอร์ไซค์อยู่ แต่ถ้าไม่อยากนั่งเดินไปก็ได้ค่ะ ออกกำลังกายเผาผลาญแคลลอรี่ไม่ไกล ประมาณไม่เกิน 10 นาทีก็ถึง
สำหรับคนที่ขับรถไปเองนะคะขับเข้าปากทางเข้ากระทรวงสาธารณสุข ตรงไปปิ้ดเดียวจะเจอวงเวียน ก็วนไปแล้วก็ออกช่องแรก สังเกตช่องที่มีป้อม รปภ แลกบัตรนะคะ เพราะถ้าขับตรงไปจะเป็นร้านเพื่อนค่ะ (ชื่อร้านนะคะ ไม่ใช่ร้านของเพื่อนดิชั้นนะคุณ) พอผ่านป้อม รปภ มา ก็เลี้ยวซ้ายจะมีลานจอดรถด้านหน้าเลยค่ะ คือรถมันจะน้อยมากนะ ผิดกับโรงพยาบาลรัฐทั่วไปเลย
เสร็จแล้วก็เดินตรงไปตึกใหญ่ ด้านหน้าลานจอดรถเลยค่ะ เดินขึ้นไป จะเจอประตูมันจะเป็นประตูเลื่อนนะคะ (ละเอียดไปมั้ยนิ้) พอเปิดเข้าไป มองซ้าย มองขวา คนเยอะดีแฮะ แต่ไม่ต้องกลัวนะ ไม่มีคนคุ้มคลั่ง อาละวาดเหมือนในละครหรอกค่ะ เพราะที่นี่คือ โรงพยาบาลปกติดีๆ นี่เอง บรรยากาศ การตกแต่งดูดีนะ สะอาดสะอ้าน ในระดับหนึ่ง ไม่ทำให้รู้สึกอึมครึม และไม่แออัด หน้าประตูทางเข้า จะเป็นเคาร์เตอร์พยาบาล เข้าไปเซย์ เฮวโหลววว เลยค่ะ พยาบาลก็จะถามว่า เป็นอะไรมาค่ะ เราก็แจ้งไปว่ามาเพราะอะไร อย่างเราก็แจ้งว่า เครียดมาก นอนไม่หลับค่ะ พยาบาลก็จะให้ใบมากรอกประวัติ มองไปทางซ้ายจะมีเคาน์เตอร์ให้กรอกประวัติ คล้ายๆ กับเคาร์เตอร์กรอกใบสลิปเวลาเราไปแบงค์ ตรงนั้นมีปากกา มีตัวอย่างการกรอกให้ เสร็จแล้วเอาไปยื่นคืนที่เดิม พยาบาลก็จะขอให้ไปถ่ายสำเนาบัตร ปชช ของเรากับ ของญาติ (ในกรณีที่ญาติไปด้วย) ตรงนี้ตอนแรกก็งงเล็กน้อย กำลังจะอ้าปากเหวี่ยง 5555 พยาบาลชี้ บอกทางซ้ายมือที่มีโต้ะอยู่สี่โต้ะ จะเป็นห้องถ่ายเอกสารนะคะ ยื่นบัตรให้ จนท ถ่ายให้ ไม่มี คชจ ค่ะ อืม แล้วไป. จากนั้นก็เอาสำเนาบัตร ปชช มาให้พยาบาลที่เดิมพร้อมบัตร ปชช ตัวจริงเฉพาะของเรายื่นให้เค้าไป ตรงนี้จะยังไม่ได้บัตรคิวนะคะ ใช้เวลารอประมาณ 50 นาที คือ นานมากกกกก ตอนแรกกะว่าถ้าอีก 10 นาทียังไม่เรียกจะกลับแล้วนะ ไปเสียตังค์แพงก็ได้ 5555 (ยัยคนนี้นี่ ไม่ได้สำเหนียกว่าแกอยู่โรงพยาบาลรัฐ ใครจะเข็นกาแฟ ชา โอวัลตินมาเสริฟแกเหรอ 555) กำลังจะลุกพยาบาลเรียกชื่อพอดี เค้าก็จะถามเราว่าใช้สิทธิ ปกสค มั้ยเพราะเรามี ปกสค อยู่แต่สิทธิอยู่ที่ รพ.ตำรวจ ถ้าจะใช้สิทธิเราต้องขอใบส่งตัวจาก รพ.ต้นสังกัด จะได้ไม่ต้องเสียเงินเอง (ยุ่งยากไปอี้กกก ) เราเลยบอกว่า จ่ายเองค่ะ ไม่ใช้ ปกสค พอเช็คข้อมูล เช็คสิทธิเสร็จ พยาบาลจะให้ไปชั่งน้ำหนักกับวัดความดัน ให้มองไปทางซ้ายฝั่งตรงข้ามช่องจ่ายยา จะมีจุดวัดความดัน กับ ชั่งน้ำหนัก เราต้องทำเองนะคะ ไม่ยากเลย เป็นเครื่องวัดความดันอัตโนมัติ แค่เอาแขนแหย่เข้าไป พอเสร็จมันจะปริ้นผลมาให้ ส่วนน้ำหนักชั่งได้เท่าไหร่ก็จดไว้ในกระดาษน้อย ที่วางไว้ให้บนโต้ะ เสร็จแล้วก็กลับมารออีกประมาณ 10 นาที รอพยาบาลเรียกรับบัตรคิว และเอาผลความดันกับชั่งน้ำหนักให้พยาบาล ซึ่งเลขบัตรคิวนี้ใช้ยาวจนรับยากลับบ้านเลย จำเลขดีๆ นะคะ เพราะตอนแรกเราไม่รู้ จนพยาบาลต้องเรียกชื่อซ้ำ คิวที่ได้สามารถเข้าไปตรวจสถานะได้นะคะมันจะมีสแตนด์ QQ อยู่เอาไว้เช็คสถานะคิวเรา จะได้เอาเวลาไปเดินทอดน่อง ดูนู่นนั่นนี่ พอใกล้ๆ ก็จะได้รับแจ้งเตือนผ่านมือถือ แต่สเต็ปหลังรอไม่ค่อยนานแล้วแหละ
พอได้คิวมาพยาบาลก็จะให้ไปพบ นักสังคมสงเคราะห์ เรารอประมาณ 10 นาทีค่ะ เข้าไปเค้าก็ซักประวัติเบื้องต้นทั่ว ๆ ไป ใช้เวลาเท่ากับที่รอ คือประมาณ 10 นาที
จบจากตรงนี้นักสังคมสงเคราะห์ก็จะส่งเราต่อ ให้ไปพบจิตแพทย์พร้อมบัตรคิวอีกใบ ซึ่งเป็นคิวรอพบแพทย์ (แต่บัตรคิวเดิมก็ยังต้องจำนะคะ) ตอนไปถึงแอบท้อแท้ เพราะไฟล์หน้าห้องคุณหมอกองใหญ่มากกกกกกก คิดในใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะได้ตรวจมั้ยเนี่ย 5555 แต่..... รอประมาณ 20 นาทีก็เรียกคะ เข้าไปคุณหมอก็จะถาม เป็นยังไงค่ะ วันนี้ให้หมอช่วยอะไรดี เราก็เล่าคร่าว ๆ ไปว่าหนูเครียด ปวดหัว จะหลับแต่สมองวิ่ง ลืมบ่อย รู้สึกผิดที่มีครอบครัว น้ำตาไหลเองเวลาเครียดจัด บางทีหนูก็มีความคิดอยากไปกระโดน้ำตาย หรือหาปืนมายิงขมับให้แดวดิ้น จะได้จบๆ คุณหมอเลยบอก เอางี้นะคะเดี๋ยวหมอส่งคุณไปคลินิกสุขใจ ..... (เอิ่ม คิดในใจว่ายังไม่จบอีกหรือนี่) เป็นว่ารอหมอ 20 นาทีแต่ได้คุยกับหมอ 8 นาที -.- พอเสร็จก็มารอพยาบาลหน้าห้อง เพื่อรับบัตรนัดครั้งต่อไป และส่งต่อไปคลินิกสุขใจ ซึ่งอยู่ที่ชั้น 2
อันนี้เป็นอาการต่างๆ ที่เราอาจจะเป็นอยู่ ลองเช็คดูนะคะว่าเราตรงกับข้อไหนบ้าง

ตารางให้บริการของโรงพยาบาลค่ะ

ขั้นตอนการให้บริการนะคะ

อักขระมันจะเต็มเดี๊ยวมาต่อนะคะ
เมื่อมนุษย์ (ที่ใครๆก็ว่า) สายฮา อย่างเรากลายเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า
ปอลิง: คือเราเป็นคนที่เล่าเรื่องอะไรเเล้วเวิ่นเว้อมากนะบอกก่อน
เริ่มจากพักหลังๆ นี้เรามีอาการเครียดมากจากหลายๆเรื่อง หลักๆ ก็จะเป็นปัญหาจากการใช้ชีวิตคู่ เเล้วรองลงมาก็เรื่องงาน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นความเครียด หงุดหงิด งุ่นง่าน อยากวิ่งไปโดดน้ำตายซะให้พ้นๆ จะได้จบ ๆ เพราะแค่อยากรู้ว่าถ้าไม่มีเราซักคนแล้วจะอยู่กันยังไง (ตายไปแล้วจะรู้มั้ย)
มาต่อ..
ความเป็นตัวเรา สำหรับคนภายนอกนะคะ เราเป็นคนที่ใครๆ ก็ว่า จิตใจดี มีเมตตา เป็นคนสายฮา สนุกสนาน สำราญชีวา อารมณ์ดี ยิ้มแย้มแจ่มใส โลกสวย อึด ถึกทึน หญิงเหล็ก เก่ง พวกนี้คือคำนิยามของเราที่ได้มาจาก คนที่ได้พบ ได้คุย ได้คบ กับเรา นี่คือไม่มีใครรู้เลยว่าเรามีด้านดาร์ค ที่ยากจะหาทางออก เพราะบางทีแม้เวลาเราเล่าเรื่องเครียดๆ ในชีวิตเราให้ใครฟัง คนฟังดั้นขำกับเรื่องที่เราเล่าซะงั้น เราจะดีใจหรือเสียใจดีที่สามารถเล่าเรื่องทุกข์ของตัวเองให้คนอื่นฟังแล้วฮาได้ 😭 เราเป็นคนที่ถ้าตั้งใจทำอะไรแล้วเราจะทำจนสำเร็จ และมันจะต้องดีที่สุด เราเป็นนังแจ๋ว ทำทุกอย่างในบ้าน (ยกเว้นล้างจาน) ตั้งแต่กวาดบ้าน ล้างห้องน้ำ ล้างรถ ยันถางหญ้ารอบบ้าน เพราะบ้านเราไม่ได้จ้างแม่บ้าน ไม่มีคนสวน เราเป็นผู้นำครอบครัว และเป็นเสาหลักของครอบครัวในเวลาเดียวกัน
ครอบครัวของเรา เป็นครอบครัวเล็ก ๆ มีลูกสองคน เรากับสามีคบกันตั้งแต่สมัยเรียนปีหนึ่งมหาวิทยาลัยเดียวกัน เราเป็นลูกคนโตในครอบครัวคนไทย สามีเราเป็นลูกคนเล็กในครอบครัวคนจีน เรามีรายได้ที่มากกว่าสามีเยอะแยะ สามีเราเปิดร้านเล็กๆ เป็นของตัวเองรายได้พอใช้จ่ายสำหรับเค้าคนเดียวสบายๆ รายจ่ายกว่า 90% เราเป็นคนรับผิดชอบ คือเรียกว่านอกจากเราต้องทำงานนอกบ้านแล้วเรายังต้องทำงานในบ้านเกือบทุกอย่างด้วย เราเลือกเองที่จะไม่จ้างแม่บ้านเพราะมันเปลือง (คือจริงๆ เราเป็นคนขี้เหนียวอ่ะ อาจจะเพราะว่าบ้านเราเคยผ่านวิกฤตการเงินที่แย่มากๆ มาก็ได้ เพราะงั้นอะไรที่เราทำเองได้เราก็จะทำเอง)
อาชีพการงานของเรา คือ พนักงานบริษัท ตำแหน่งสูง ที่ต้องรับความกดดันและถูกคาดหวังจาก top management ในขณะที่เราก็มีบริษัทเล็กๆ ของตัวเองด้วย เราเป็นวิทยากรให้กับหลากหลายที่ เราทำงานทุกวันแบบไม่มีวันหยุดในบางครั้ง และต้องทำงานจนบางครั้งสว่างคาตา
จากความเป็นเรา ทำให้เราเป็นคนที่มีความคาดหวังสูงต่อคนใกล้ตัว ว่าเค้าจะต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ เราคาดหวังต่อชีวิตครอบครัวว่า อยากให้สามีเกื้อกูลเรา ยามเราขัดสนบ้าง อยากให้สามีช่วยเราดูแลเรื่องงานบ้านบ้าง คือจริงๆ เค้าก็มีหน้าที่ล้างจานนะ เราอยากกลับบ้านมาแล้วไม่ต้องทำงานบ้านอีก ไม่ต้องคอยเก็บกวาด เช็ดถู เวลาลูกเราอ้วก หรือ ทำอะไรเลอะเทอะ เราอยากมีเวลาเอนหลังนั่งชิล พักผ่อนดูหนัง ดูละคร เราอยากใช้เงินเหมากล่องดนตรีน่ารักๆ ที่เราชอบ แต่เราไม่เคยได้สิ่งเหล่านี้เลย เราเคยคุยกับสามีแต่ก็เหมือนไฟไหม้ฟาง ดีขึ้นแป้บๆ แล้วก็วนกลับมาเป็นเหมือนเดิม ถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะบอกว่า “เลิกดิ จะทนเพื่ออะไร” , “ถ้าเป็นชั้นไม่ทนถึงขนาดนี้หรอก” , “ผู้ชายมันห่วย” คือ สำหรับหลายๆ คนมันอาจจะง่ายนะคะ แต่ความอ่อนไหว ความผูกพันสำหรับครอบครัวของแต่ละคนมันไม่เหมือนกันจริงๆ ค่ะ เพราะนี่คือชีวิตที่มันไม่มีรูปแบบตายตัว หรือสูตรที่ตายตัว ที่มันจะต้องเริ่มและจบในแบบเดียวกัน มันคือชีวิตคู่นะไม่ใช่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เพราะงั้นเมื่อตัดสินใจแล้วว่าเราจะไปต่อกับชีวิตคู่ของเรา เราก็เข้าสู่ภาวะ ทน อดกลั้น อดกลั้น ทน วนเวียนอยู่แบบนี้มาตลอด จนกระทั่งมันก่อให้เกิดความเครียดที่สะสมมาเรื่อยๆ กลายเป็นคนขี้โมโห หงุดหงิดง่าย เวลาที่ลูกเราซน ร้องไห้งอแง ดื้อ หรือทำอะไรเลอะเทอะ เราจะหงุดหงิดใจและเครียดถึงขนาดตี ตวาด และพูดจาแรงกับลูกเวลาเค้าไม่ได้ดั่งใจเรา เราอยากจะกรี๊ดออกมาดังๆ จนบางครั้งเวลาเครียดมาก หรือ เวลาที่อยู่คนเดียวน้ำตามันไหลออกมาเอง รู้สึกผิดมากที่มีครอบครัว รู้สึกไม่น่ามีลูกเลย รู้สึกแย่กับความรัก อยากย้อนเวลาไปตอนสมัยที่สามีซุกกิ๊ก แล้วบอกน้องคนนั้นว่าพี่ขอบใจน้องมากที่ก้าวเข้ามาในชีวิตครอบครัวพี่ น้องช่วยเอาผู้ชายคนนี้ไปเลยนะ เราอยากจะไปซื้อคอนโดอยู่คนเดียว รู้สึกว่าปัญหาพวกนี้มันหาทางออกไม่ได้มันข้ามผ่านไม่ได้ บวกกับเวลาจะนอนมันก็นอนไม่ได้เพราะมีอาการเหมือนกับสมองข้างนึงสั่งให้หลับ แต่อีกข้างหนึ่งมันยังวิ่งวนเวียนคิดเรื่องต่างๆ อยู่ เราเป็นแบบนี้บ่อยมาก บางครั้งก็ใช้หลักธรรมะเข้ามาช่วย หวังจะปลง แต่....มันก็หาได้ช่วยไม่ เดี๋ยวจะบอกว่าทำไม เพราะเราก็หาใช่คนใจบาปหยาบช้า ที่จะไม่ได้ซาบซึ้งในหลักศาสนา 555
จากความเครียดสะสม จนน้ำตาเล็ดน้ำตาริน อยากหลับแต่สมองวิ่งของเรา แถมความจำก็เริ่มถดถอย ลืมบ่อยๆ อยากหายไปจากโลกนี้ บวกกับการที่คุณทวด และลูกพี่ลูกน้องเราเป็นผู้ป่วยจิตเภทมาก่อน เราเลยมีความคิดว่าไปหาจิตแพทย์เถอะตัวเรา ถ้ายืนทนต่อไป แกได้ไปแอดมิทในฐานะ ผป จิตเภท แน่ๆ แต่เวลามันไม่ได้ซักกะที ตารางงานแน่นเอี้ยดดดดดด จนกระทั่งสวรรค์ก็มีตา เราได้วันว่างในตารางมาสองวัน ก่อนไปก็หาข้อมูล เกี่ยวกับโรงพยาบาล คลินิกจิตเวชต่างๆ ก็เจอหลายที่แต่ก็ไกลจากบ้านเราจัง กลัวถึงเวลาจริงๆ เราจะขี้เกียจพาตัวเองไปอ่ะ อีกอย่างถ้าไปเอกชนก็งกอีกไง 55555 คือคิดเอาเองว่า แค่ไปคุยเสียหลายพันเสียดายตังค์ (ยังจะเรื่องเยอะ) ก็เลยปักหมุดที่ศรีธัญญา เพราะใกล้บ้านมากกกกกกกก เฉพาะทางดี มีทุกด้าน น่าจะถูกกว่า เพราะเป็นรัฐบาล แถมครอบคลุมปัญหาเราแน่นอน
สำหรับคนที่ใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีม่วงนะคะให้ลงที่สถานีกระทรวงสาธารณสุข แล้วเดินย้อนกลับมา หน้าปากซอยทางเข้ากระทรวงสาธารณสุขจะมีวินมอเตอร์ไซค์อยู่ แต่ถ้าไม่อยากนั่งเดินไปก็ได้ค่ะ ออกกำลังกายเผาผลาญแคลลอรี่ไม่ไกล ประมาณไม่เกิน 10 นาทีก็ถึง
สำหรับคนที่ขับรถไปเองนะคะขับเข้าปากทางเข้ากระทรวงสาธารณสุข ตรงไปปิ้ดเดียวจะเจอวงเวียน ก็วนไปแล้วก็ออกช่องแรก สังเกตช่องที่มีป้อม รปภ แลกบัตรนะคะ เพราะถ้าขับตรงไปจะเป็นร้านเพื่อนค่ะ (ชื่อร้านนะคะ ไม่ใช่ร้านของเพื่อนดิชั้นนะคุณ) พอผ่านป้อม รปภ มา ก็เลี้ยวซ้ายจะมีลานจอดรถด้านหน้าเลยค่ะ คือรถมันจะน้อยมากนะ ผิดกับโรงพยาบาลรัฐทั่วไปเลย
เสร็จแล้วก็เดินตรงไปตึกใหญ่ ด้านหน้าลานจอดรถเลยค่ะ เดินขึ้นไป จะเจอประตูมันจะเป็นประตูเลื่อนนะคะ (ละเอียดไปมั้ยนิ้) พอเปิดเข้าไป มองซ้าย มองขวา คนเยอะดีแฮะ แต่ไม่ต้องกลัวนะ ไม่มีคนคุ้มคลั่ง อาละวาดเหมือนในละครหรอกค่ะ เพราะที่นี่คือ โรงพยาบาลปกติดีๆ นี่เอง บรรยากาศ การตกแต่งดูดีนะ สะอาดสะอ้าน ในระดับหนึ่ง ไม่ทำให้รู้สึกอึมครึม และไม่แออัด หน้าประตูทางเข้า จะเป็นเคาร์เตอร์พยาบาล เข้าไปเซย์ เฮวโหลววว เลยค่ะ พยาบาลก็จะถามว่า เป็นอะไรมาค่ะ เราก็แจ้งไปว่ามาเพราะอะไร อย่างเราก็แจ้งว่า เครียดมาก นอนไม่หลับค่ะ พยาบาลก็จะให้ใบมากรอกประวัติ มองไปทางซ้ายจะมีเคาน์เตอร์ให้กรอกประวัติ คล้ายๆ กับเคาร์เตอร์กรอกใบสลิปเวลาเราไปแบงค์ ตรงนั้นมีปากกา มีตัวอย่างการกรอกให้ เสร็จแล้วเอาไปยื่นคืนที่เดิม พยาบาลก็จะขอให้ไปถ่ายสำเนาบัตร ปชช ของเรากับ ของญาติ (ในกรณีที่ญาติไปด้วย) ตรงนี้ตอนแรกก็งงเล็กน้อย กำลังจะอ้าปากเหวี่ยง 5555 พยาบาลชี้ บอกทางซ้ายมือที่มีโต้ะอยู่สี่โต้ะ จะเป็นห้องถ่ายเอกสารนะคะ ยื่นบัตรให้ จนท ถ่ายให้ ไม่มี คชจ ค่ะ อืม แล้วไป. จากนั้นก็เอาสำเนาบัตร ปชช มาให้พยาบาลที่เดิมพร้อมบัตร ปชช ตัวจริงเฉพาะของเรายื่นให้เค้าไป ตรงนี้จะยังไม่ได้บัตรคิวนะคะ ใช้เวลารอประมาณ 50 นาที คือ นานมากกกกก ตอนแรกกะว่าถ้าอีก 10 นาทียังไม่เรียกจะกลับแล้วนะ ไปเสียตังค์แพงก็ได้ 5555 (ยัยคนนี้นี่ ไม่ได้สำเหนียกว่าแกอยู่โรงพยาบาลรัฐ ใครจะเข็นกาแฟ ชา โอวัลตินมาเสริฟแกเหรอ 555) กำลังจะลุกพยาบาลเรียกชื่อพอดี เค้าก็จะถามเราว่าใช้สิทธิ ปกสค มั้ยเพราะเรามี ปกสค อยู่แต่สิทธิอยู่ที่ รพ.ตำรวจ ถ้าจะใช้สิทธิเราต้องขอใบส่งตัวจาก รพ.ต้นสังกัด จะได้ไม่ต้องเสียเงินเอง (ยุ่งยากไปอี้กกก ) เราเลยบอกว่า จ่ายเองค่ะ ไม่ใช้ ปกสค พอเช็คข้อมูล เช็คสิทธิเสร็จ พยาบาลจะให้ไปชั่งน้ำหนักกับวัดความดัน ให้มองไปทางซ้ายฝั่งตรงข้ามช่องจ่ายยา จะมีจุดวัดความดัน กับ ชั่งน้ำหนัก เราต้องทำเองนะคะ ไม่ยากเลย เป็นเครื่องวัดความดันอัตโนมัติ แค่เอาแขนแหย่เข้าไป พอเสร็จมันจะปริ้นผลมาให้ ส่วนน้ำหนักชั่งได้เท่าไหร่ก็จดไว้ในกระดาษน้อย ที่วางไว้ให้บนโต้ะ เสร็จแล้วก็กลับมารออีกประมาณ 10 นาที รอพยาบาลเรียกรับบัตรคิว และเอาผลความดันกับชั่งน้ำหนักให้พยาบาล ซึ่งเลขบัตรคิวนี้ใช้ยาวจนรับยากลับบ้านเลย จำเลขดีๆ นะคะ เพราะตอนแรกเราไม่รู้ จนพยาบาลต้องเรียกชื่อซ้ำ คิวที่ได้สามารถเข้าไปตรวจสถานะได้นะคะมันจะมีสแตนด์ QQ อยู่เอาไว้เช็คสถานะคิวเรา จะได้เอาเวลาไปเดินทอดน่อง ดูนู่นนั่นนี่ พอใกล้ๆ ก็จะได้รับแจ้งเตือนผ่านมือถือ แต่สเต็ปหลังรอไม่ค่อยนานแล้วแหละ
พอได้คิวมาพยาบาลก็จะให้ไปพบ นักสังคมสงเคราะห์ เรารอประมาณ 10 นาทีค่ะ เข้าไปเค้าก็ซักประวัติเบื้องต้นทั่ว ๆ ไป ใช้เวลาเท่ากับที่รอ คือประมาณ 10 นาที
จบจากตรงนี้นักสังคมสงเคราะห์ก็จะส่งเราต่อ ให้ไปพบจิตแพทย์พร้อมบัตรคิวอีกใบ ซึ่งเป็นคิวรอพบแพทย์ (แต่บัตรคิวเดิมก็ยังต้องจำนะคะ) ตอนไปถึงแอบท้อแท้ เพราะไฟล์หน้าห้องคุณหมอกองใหญ่มากกกกกกก คิดในใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะได้ตรวจมั้ยเนี่ย 5555 แต่..... รอประมาณ 20 นาทีก็เรียกคะ เข้าไปคุณหมอก็จะถาม เป็นยังไงค่ะ วันนี้ให้หมอช่วยอะไรดี เราก็เล่าคร่าว ๆ ไปว่าหนูเครียด ปวดหัว จะหลับแต่สมองวิ่ง ลืมบ่อย รู้สึกผิดที่มีครอบครัว น้ำตาไหลเองเวลาเครียดจัด บางทีหนูก็มีความคิดอยากไปกระโดน้ำตาย หรือหาปืนมายิงขมับให้แดวดิ้น จะได้จบๆ คุณหมอเลยบอก เอางี้นะคะเดี๋ยวหมอส่งคุณไปคลินิกสุขใจ ..... (เอิ่ม คิดในใจว่ายังไม่จบอีกหรือนี่) เป็นว่ารอหมอ 20 นาทีแต่ได้คุยกับหมอ 8 นาที -.- พอเสร็จก็มารอพยาบาลหน้าห้อง เพื่อรับบัตรนัดครั้งต่อไป และส่งต่อไปคลินิกสุขใจ ซึ่งอยู่ที่ชั้น 2
อันนี้เป็นอาการต่างๆ ที่เราอาจจะเป็นอยู่ ลองเช็คดูนะคะว่าเราตรงกับข้อไหนบ้าง
ตารางให้บริการของโรงพยาบาลค่ะ
ขั้นตอนการให้บริการนะคะ
อักขระมันจะเต็มเดี๊ยวมาต่อนะคะ