สวัสดีค่ะ ขออนุญาตสอบถามประสบการณ์จากคุณแม่ทั้งหลาย ที่ระหว่างตั้งครรภ์แล้วเครียด หรือระหว่างตั้งครรภ์เป็นโรคซึมเศร้า ว่าส่งผลกระทบกับลูกหลังคลอดแล้วอย่างไรบ้างคะ
.....ตอนนี้เราท้องได้6เดือนแล้วค่ะ ก่อนที่จะผ่านมาได้ถึงจุดนี้ ก็สาหัสสากันมากเลยทีเดียว เริ่มตั้งแต่ที่รู้ว่าตั้งครรภ์ พอเจ้านายที่ทำงานเดิมรู้เรื่องก็โดนบีบให้ออกจากงาน พอตกงาน อยู่บ้านคนแถวบ้านรวมถึงครอบครัวทางฝั่งสามีก็เอานี่ไปพูดว่าเราเกาะสามีกิน เราขี้เกียจบ้าง พออยู่บ้านได้ซักพัก เหมือนฟ้าจะเข้าข้าง งานที่เราเคยสมัครทิ้งไว้โทรมาเรียกให้ไปทำงานค่ะ เราเลยได้ทำได้ไม่ถึงครึ่งวัน ก็เริ่มมีอาการแพ้ท้องหนัก (ตอนนี้ยังเดือนกว่าๆอยู่นะคะ) พอแพ้ท้องเป็นลมเข้ารพ. ก็โทรบอกแม่สามีว่าหมอให้นอนรพ. รบกวนแม่บอกพี่...ให้หน่อยค่ะ (หมายถึงสามีเราอ่ะค่ะ เพราะเราโทรหาสามีไม่ติด) แม่สามีก็พูดขึ้นมาว่า ...เป็นอะไรอีกล่ะ มีแต่เรื่องแต่ราวให้เป็นนั่นเป็นนี่เน๊าะ พอวางสายเสร็จเรานี่เจ็บจี๊ดเลยค่ะ น้ำตาหยดแหม๊ะๆเลย ซักพักก็มีสายจากเจ้านายที่ทำงานใหม่โทรมาต่อว่า ว่าท้องแล้วทำไมไม่บอกก่อน จะได้ไม่รับ แล้วไม่ต้องมาทำต่อแล้วนะ ชั้นไล่เธอออก
วินาทีนั้นคือสติหลุดปล่อยโฮน้ำตาแตกเลยค่ะ นอนรพ.ให้น้ำเกลืออยู่อาทิตย์กว่าๆ ระหว่างที่อยู่รพ.แพ้ท้องกินอะไรก็ไม่ได้ แม้แต่น้ำ คุณพยาบาลก็ฉีดยาแก้แพ้ให้ ตอนที่ฉีดเข้าไป เหมือนตัวเราลอยเลยค่ะ ลืมตาไม่ขึ้น ปวดท้องมากๆ ซักพักไม่ถึง5นาที มีเลือดสีแดงสดๆไหลออกมา แต่ไม่มากค่ะ ยิ่งทำให้เครียดไปใหญ่ เพราะกลัวลูกจะไม่อยู่กับเรา ช่วงนั้นไม่มีวันไหนที่จะไม่ร้องไห้เลยค่ะ ความเครียดสะสมเข้ามาเรื่อยๆ อยากจะตายๆให้รู้แล้วรู้รอด ไม่อยากอยู่เป็นภาระใคร ไม่อยากให้ใครมองว่าเราเกาะใครกิน พอออกจากรพ.ได้สองสามวัน ก็ถึงวันนัดฝากครรภ์ เค้าให้ทำแบบประเมินสุขภาพจิต เราก็ติ๊กไปตามความรู้สึกของเรา พอคุณพยาบาลเห็น ก็ส่งเราไปพบจิตแพทย์ ณ ตอนนั้นเลยค่ะ พอไปถึง คุณหมอก็ถามว่าเป็นอะไรยังไง สาเหตุมาจากอะไร เราก็เล่าไปร้องไห้ไปค่ะ พอคุยซักพัก คุณหมอจะให้เราทานยาค่ะ แต่เราขอร้อง ว่าไม่อยากทาน เพราะกลัวจะมีผลกระทบกับลูกในท้อง คุณหมอก็โอเค ไม่ทานก็ไม่ทาน แต่เราต้องปรับตัว ปรับอารมณ์ให้ดีขึ้นกว่านี้ ถ้านัดมาอีก2อาทิตย์ไม่ดีขึ้น คุณหมอจำเป็นต้องให้ยา คุณหมอบอกว่าอาการของเราเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง เราก็รับปากค่ะ ในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างคือ เวลาเราร้องไห้เค้าก็จะเอามือมาลูบหัวเราแล้วบอกว่าเรายังมีเค้า ....ชีวิตก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆค่ะ ตกงาน อยู่กับบ้าน มีบ้างที่รู้สึกท้อ รู้สึกเครียด แต่ทุกครั้งที่รู้สึกแบบนั้น ก็บอกตัวเองเบาๆ ว่าช่าง

เหอะ เราไม่รู้ว่าคำว่าช่าง

เหอะ ของเรามันเป็นวิธีคิดที่ถูกรึเปล่านะคะ แต่เราไม่อยากกินยาบำบัดอาการโรคซึมเศร้า พอถึงวันนัด คุณหมอให้เราทำแบบประเมิน ผลคือดีกว่าคราวที่แล้ว คุณหมอก็ไม่ได้ให้ยามาทานค่ะ หลังจากนั้นมาประมาณเดือนกว่าๆ เหมือนโชคจะเข้าข้างเราอีกครั้ง บริษัทที่เราเคยไปสมัครไว้ โทรมาเรียกให้ไปสัมภาษณ์งาน แล้วก็ผ่านค่ะ เราได้ทำงานบัญชีในบริษัทนี้ จนถึงวันนี้ อาจจะมีเรื่องเครียดบ้างจากเรื่องที่บ้าน เรื่องครอบครัว พอเราเครียด เราก็พยายามปล่อยวาง ด้วยคำว่าช่าง

(อีกแล้ว) เพราะตอนนี้เราคิดอย่างเดียว ว่าเราต้องมีชีวิตอยู่เพื่อลูก ตอนแรกเราก็คิดอยู่นาน ว่าเราจะตั้งกระทู้ถามดีมั้ย ตั้งไปแล้วจะได้อะไร ในเมื่อเครียดไปแล้ว แต่ก็ทนความอยากรู้ของตัวเองไม่ไหว อยากรู้ว่า ที่เค้าบอกว่าเครียดแล้วลูกออกมาจะเลี้ยงยาก จะเครียดแบบแม่จริงรึเปล่า เคยมีคนนึงเล่าให้ฟังค่ะ ว่าเค้าเครียดตอนท้อง แล้วลูกออกมาเป็นออทิสติก คุณแม่ท่านใดที่มีประสบการณ์ความเครียดระหว่างที่ท้องแบบเรา รบกวนแชร์เรื่องราวให้ฟังบ้างนะคะ
มีคุณแม่ท่านใด ที่ระหว่างตั้งครรภ์เครียดมาก หรือเป็นโรคซึมเศร้า แล้วส่งผลกระทบกับลูกบ้างมั้ยคะ
.....ตอนนี้เราท้องได้6เดือนแล้วค่ะ ก่อนที่จะผ่านมาได้ถึงจุดนี้ ก็สาหัสสากันมากเลยทีเดียว เริ่มตั้งแต่ที่รู้ว่าตั้งครรภ์ พอเจ้านายที่ทำงานเดิมรู้เรื่องก็โดนบีบให้ออกจากงาน พอตกงาน อยู่บ้านคนแถวบ้านรวมถึงครอบครัวทางฝั่งสามีก็เอานี่ไปพูดว่าเราเกาะสามีกิน เราขี้เกียจบ้าง พออยู่บ้านได้ซักพัก เหมือนฟ้าจะเข้าข้าง งานที่เราเคยสมัครทิ้งไว้โทรมาเรียกให้ไปทำงานค่ะ เราเลยได้ทำได้ไม่ถึงครึ่งวัน ก็เริ่มมีอาการแพ้ท้องหนัก (ตอนนี้ยังเดือนกว่าๆอยู่นะคะ) พอแพ้ท้องเป็นลมเข้ารพ. ก็โทรบอกแม่สามีว่าหมอให้นอนรพ. รบกวนแม่บอกพี่...ให้หน่อยค่ะ (หมายถึงสามีเราอ่ะค่ะ เพราะเราโทรหาสามีไม่ติด) แม่สามีก็พูดขึ้นมาว่า ...เป็นอะไรอีกล่ะ มีแต่เรื่องแต่ราวให้เป็นนั่นเป็นนี่เน๊าะ พอวางสายเสร็จเรานี่เจ็บจี๊ดเลยค่ะ น้ำตาหยดแหม๊ะๆเลย ซักพักก็มีสายจากเจ้านายที่ทำงานใหม่โทรมาต่อว่า ว่าท้องแล้วทำไมไม่บอกก่อน จะได้ไม่รับ แล้วไม่ต้องมาทำต่อแล้วนะ ชั้นไล่เธอออก
วินาทีนั้นคือสติหลุดปล่อยโฮน้ำตาแตกเลยค่ะ นอนรพ.ให้น้ำเกลืออยู่อาทิตย์กว่าๆ ระหว่างที่อยู่รพ.แพ้ท้องกินอะไรก็ไม่ได้ แม้แต่น้ำ คุณพยาบาลก็ฉีดยาแก้แพ้ให้ ตอนที่ฉีดเข้าไป เหมือนตัวเราลอยเลยค่ะ ลืมตาไม่ขึ้น ปวดท้องมากๆ ซักพักไม่ถึง5นาที มีเลือดสีแดงสดๆไหลออกมา แต่ไม่มากค่ะ ยิ่งทำให้เครียดไปใหญ่ เพราะกลัวลูกจะไม่อยู่กับเรา ช่วงนั้นไม่มีวันไหนที่จะไม่ร้องไห้เลยค่ะ ความเครียดสะสมเข้ามาเรื่อยๆ อยากจะตายๆให้รู้แล้วรู้รอด ไม่อยากอยู่เป็นภาระใคร ไม่อยากให้ใครมองว่าเราเกาะใครกิน พอออกจากรพ.ได้สองสามวัน ก็ถึงวันนัดฝากครรภ์ เค้าให้ทำแบบประเมินสุขภาพจิต เราก็ติ๊กไปตามความรู้สึกของเรา พอคุณพยาบาลเห็น ก็ส่งเราไปพบจิตแพทย์ ณ ตอนนั้นเลยค่ะ พอไปถึง คุณหมอก็ถามว่าเป็นอะไรยังไง สาเหตุมาจากอะไร เราก็เล่าไปร้องไห้ไปค่ะ พอคุยซักพัก คุณหมอจะให้เราทานยาค่ะ แต่เราขอร้อง ว่าไม่อยากทาน เพราะกลัวจะมีผลกระทบกับลูกในท้อง คุณหมอก็โอเค ไม่ทานก็ไม่ทาน แต่เราต้องปรับตัว ปรับอารมณ์ให้ดีขึ้นกว่านี้ ถ้านัดมาอีก2อาทิตย์ไม่ดีขึ้น คุณหมอจำเป็นต้องให้ยา คุณหมอบอกว่าอาการของเราเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง เราก็รับปากค่ะ ในความโชคร้าย ก็ยังมีความโชคดีอยู่บ้างคือ เวลาเราร้องไห้เค้าก็จะเอามือมาลูบหัวเราแล้วบอกว่าเรายังมีเค้า ....ชีวิตก็ดำเนินต่อไปเรื่อยๆค่ะ ตกงาน อยู่กับบ้าน มีบ้างที่รู้สึกท้อ รู้สึกเครียด แต่ทุกครั้งที่รู้สึกแบบนั้น ก็บอกตัวเองเบาๆ ว่าช่าง