#EthiopiaDiary Part 3.3 โบสถ์สลักหินในฮอว์เซ็น (Hawzen)

DAY 8


15 พฤศจิกายน 2018

เล่าเรื่องด้วย 40 ภาพ: Abuna Abraham Debre Tsion

1.

ตัวโบสถ์อยู่บนยอดเขา นี่คือด้านหน้า เราต้องอ้อมไปขึ้นทางด้านหลัง วันนี้คณะเรากอปรไปด้วยคุณไกด์, ระได, และผู้ช่วยคอยดูแลความปลอดภัย

2.

บริเวณเขา

3.

หนูน้อยต้องไปเอาน้ำจากแหล่งน้ำประจำหมู่บ้านแล้วขนกลับมาใช้ หนูน้อยอายเอาเหยือกพลาสติดมาบังหน้า

4.

บ้านเรือนราษฎร

5.

ทางแม่น้ำที่แห้งกรังต้อนรับเดือน 12

6.

นี่คือภาพกว้างๆของการเดินทางในครั้งนี้ จุดหมายคือบนยอดเขา

7.

ทางเดินขึ้นเขา ไม่อันตราย

8.

ฝูงกวางมูสเล็มหญ้า

9.

ช่วงที่สองชันหน่อยแต่มีทางที่เหมือนคนทำให้ไต่ขึ้น

10.

เดินสวนกับสี่สาว Spice Girls

11.

ช่วงที่สามเริ่มหลายเย้าหลายอย่าง ต้องปีนตามหลืบร่องขึ้นไป

12.

ถึงแล้วถ่ายรูปลงมา เห็นคุณลุงแกนดัลฟ์กำลังเดินไปหาโฟรโด

13.

ช่วงสุดท้าย ลาดเอียงน้อยกว่าเมื่อวาน มันต้องมีทางแบบนี้ทุกโบสถ์สินะ ให้ตายเหอะ

14.

ช่วงท้ายของช่วงสุดท้ายต้องแปลงร่างเป็นชะนีน้อยไต่ขึ้นไปยังยอด

15.

ถึงยอด

16.

อีกมุม

17.

อีกมุม

18.

บนยอดเขาเป็นที่ราบแบบภูกระดึง ต้องเดินอีกประมาณ 200 เมตรจึงจะถึงโบสถ์ ระหว่างทางคุณไกด์ชี้ให้ดูว่าตอนบ่ายเราจะไปอีกโบสถ์ที่อยู่บนยอดเขาลูกนั้น

เราถามว่ามีโปรแกรมตอนบ่ายด้วยหรือ? นางตอบว่าใช่ เราสั่งยกกอง ชมโบสถ์นี้แล้วจบ แยก ไม่ไปอีกแล้ว เหนื่อย

19.

บรรพตคูหาสำหรับปลีกวิเวกเป็นสันยาสี

20.

ภายในถ้ำ

21.

วิวจากลานประทักษิณหน้าโบสถ์

22.

ตัวโบสถ์

23.

ครูบาที่อาศัยอยู่บนเขา ท่านทำหน้าที่สอนพระคริสตธรรม

24.

ภายในโบสถ์ สวยมาก ใหญ่มาก มีภาพจิตรกรรมฝาผนังมากมาย บรรยายไม่ถูกจริงๆ

25.

นี่คือส่วนสำหรับพิธีกรรม ภาพจิตรกรรมฝาผนังเป็นแบบ fresco ดูเก่าขลังมลังเมลือง

26.

ภายในโบสถ์ สวยจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าสามารถสกัดหินสร้างเป็นห้องโถงได้ใหญ่มาก

27.

รูป Abuna Abraham กำลังจับสิงโตตัวพี่ ส่วนตัวน้องกำลังกินนม ท่านกำลังสอนวินัยให้แก่สิงโต

28.

เดาซิว่าเป็นรูปอะไร? Amazing มาก

29.

ส่วนหลังเป็นส่วนที่พระทำพิธีกรรม สองฟากเป็นรูปเซนต์ทั้งหลาย

30.

จิตรกรรมเพดาน

31.

ว่ากันว่านี่คือสุสานของท่าน Abuna Abraham

32.

รูปเซนต์ทั้งหลาย

33.

ลายเรขาคณิตบนเพดาน

34.

ลายเรขาคณิตบนเพดาน

35.

Cross บนเพดาน

36.

บนเพดาน

37.

โบสถ์นี้น่าจะเป็นโบสถ์ที่ใหญ่ที่สุด มีอุโมงค์ให้เดินผ่านตรงข้างหลังวนรอบโบสถ์ มาเวียนเทียนได้ อลังการจริงๆ

38.

ทางออก ตรงส่วนนี้อุโมงค์อ้อม Sanctum Sanctorum

39.

ตรงปลายอุโมงค์ขาออกมีคูหาเล็กๆ ข้างในคว้านเป็นวงกลม มีโดม ทุกส่วนของผนังแกะสลักเป็นรูปนูนต่ำ มีพระแม่มารี, Archangels ไมเคิลและเกเบรียล, etc. สวยมากแต่มืดที่สุด ถ่ายรูปยากมาก ต้องมาดูเอง

40.

ผนังของห้องจากภาพ 39

ว่ากันว่าห้องนี้เป็นห้องที่ Abuna Abraham มาปลีกวิเวกสวดภาวนาต่อพระเจ้า

จบการเที่ยวโบสถ์สลักหินในทิเกรย์ จุดต่อไปคือเมืองอักสัม (ราชธานีเก่า)

.

ของแถม

ขณะกลับโรงแรมพลันเห็นผู้คนล้มวัว หะแรกคิดว่าจะเอาไปเชือดเอาเนื้อมาทำอาหาร พอเดินเข้าไปใกล้ๆถึงรู้ว่ากำลังตอนพี่วัว




จบ Part 3

.

เตรียมพร้อมก่อนไปอักสัมกับ 3 เกร็ดความรู้

1.
ว่ากันว่าอักสัม (Axum) เป็นเมืองที่มีคนตั้งถิ่นฐานและอยู่อาศัยต่อเนื่องยาวนานที่สุดในภูมิภาคใต้ทะเลทรายซาฮาร่าของแอฟริกา (Sub-Saharan Africa) โดยมีหลักฐานทางโบราณคดีของการดำรงอยู่ตั้งแต่ศตวรรษที่ 7 ก่อนคริสตกาล แต่เมืองอักสัมในสำนึกปัจจุบันถูกสถาปนาประมาณคริสต์ศตวรรษที่ 2

อักสัมกลายเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 3 ถึง 6 โดยควบคุมกองคาราวานสินค้าจากในทวีปผ่านลุ่มแม่น้ำไนล์แถวนูเบีย (Nubia; ปัจจุบันคือประเทศซูดาน) ที่จักไปยังเมืองท่าติดชายฝั่งทะเลแดงเพื่อส่งออกไปอาราเบีย ขณะเดียวกันก็อำนวยความสะดวกและเก็บส่วยสาอากรจากพ่อค้าวาณิชชาวอาหรับและอื่นๆที่แล่นเรือมาค้าขายตรงเมืองท่าเหล่านั้น

2.
พระเจ้าอีซาน่าเป็นกษัตริย์ของอักสัมพระองค์แรกที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์โดยการชักชวนและ baptised โดยนักบวช/พ่อค้าวานิชผู้มีนามว่า Frumentius ในปีค.ศ. 330 ร่วมสมัยกับตอนที่จักรพรรดิคอนสแตนติน (Emperor Constantine) ประกาศ Edict of Milan ในปีค.ศ. 313 ให้โรมันชนนับถือศาสนาคริสต์ได้ตามชอบใจ หลังจากรัชกาลของพระองค์กษัตริย์ของอักสัมและจักรพรรดิของเอธิโอเปียในกาลต่อมาก็นับถือคริสต์ศาสนาและยกให้ศาสนานี้เป็นศาสนาประจำชาติ

อนึ่งมีเรื่องเล่าว่าพระเจ้าบาเซ็น (King Bazen) กษัตริย์อักสัมพระองค์แรกๆเป็นหนึ่งในคนสามคนที่ไปเยี่ยมพระเยซูตอนมีประสูติกาล (Three Wise Men)

3.
She came to Jerusalem with a very great retinue, with camels bearing spices and very much gold and precious stones. And when she came to Solomon, she told him all that was on her mind

Kings 10:2

ชาวเอธิโอเปียเชื่อว่าอาณาจักรซาบา (Saba) เป็นอาณาจักรของพระราชินีชีบา (Queen Sheba) มหารานีผู้เดินทางไปคาราวะพระเจ้าโซโลมอน (King Solomon) ที่เยรูซาเล็มโดยเชื่อต่อว่าอาณาจักรนี้คือเมืองอักสัมในปัจจุบัน แต่จริงๆแล้วไม่มีหลักฐานทางโบราณคดียืนยันว่าอาณาจักรอักสัมคือซาบาตรงกันข้ามอาณาจักรซาบาอยู่ทางใต้ของคาบสมุทรอาราเบียแถบประเทศเยเมนปัจจุบัน

ตำนานการได้มาของ Ark of Covenant เล่าว่ามหารานีชีบาต้องการศึกษาวิชารัฐศาสตร์เพื่อเอามาใช้ในการปกครองอาณาประชาราษฎร์ นางจึงขนบรรณาการมากมายตามที่เขียนไว้ใน Book of Kings ไปจิ้มก้องเพื่อเรียนกับพระเจ้าโซโลมอนกษัตริย์ชื่อดังที่สุดในยุคนั้น พระเจ้าโซโลมอนได้ทำการต้อนรับขับสู้นางเป็นอย่างดีและยังมีจิตปฏิพัทธ์สิเน่หาเป็นของแถม แต่ด้วยขัตติยมานะพระองค์จะหักหาญน้ำใจเจ้าต่างแดนก็ดูเป็นการไม่ควร จึงออกอุบายว่าจะสอนสั่งทุกศาสตร์แต่ห้ามอย่างเดียวคือห้ามเอาของของเราไป วันหนึ่งพระองค์ได้จัดงานเลี้ยงอย่างยิ่งใหญ่ให้คนครัวทำอาหารที่เผ็ดสุดๆ หลังจากมหารานีได้รับประทานอาหารและน้ำจันจนผล็อยหลับ พระองค์ก็เอาเหยือกน้ำเขียนชื่อว่าโซโลมอนไปวางไว้ข้างตั่งที่นางนอนพัก พอนางตื่นก็คว้าเหยือกน้ำนั้นขึ้นมาดื่มเพราะคอแห้งมาก พระเจ้าโซโลมอนที่แอบดูอยู่จึงได้แสดงตัวและประกาศว่าท่านผิดสัญญาแล้วก็ได้นางเป็นภรรยาตามระเบียบ

หลังจากเรียนจบมหารานีก็เตรียมตัวปิ๊กบ้าน แต่ก่อนจะเดินทางกลับนางพบว่าตัวเองตั้งครรภ์ พระเจ้าโซโลมอนจึงสั่งเสียว่าหากลูกเติบใหญ่ถึงวัยอันควร (22 ปี หากจำไม่ผิด) ให้ส่งมาหาพ่อที่เยรูซาเล็ม พอถ้วนทศมาสมหารานีชีบาก็คลอดบุตรและตั้งชื่อว่าเมนิเลค (Menilek) พอเจริญวัยก็ส่งไปหาพระเจ้าโซโลมอน พระเจ้สโซโลมอนรักเจ้าฟ้าพระองค์นี้มาก สั่งให้ปุโรหิตาจารย์ทั้งหลายผู้ใกล้ชิดเอาลูกผู้ชายคนโตมาเป็นเพื่อน มานิเลคอาศัยอยู่ในเยรูซาเล็มชั่วระยะเวลาหนึ่งก็ต้องเดินทางกลับ แต่ด้วยความอาวรณ์พระองค์และเพื่อนๆจึงตัดสินใจขโมย Ark of Covenant กลับไปอาณาจักรซาบาเพื่อเอาไว้ดูต่างหน้า พอพระเจ้าโซโลมอนรู้ว่าของควรเมืองโดนลูกตัวเองขโมยก็โกรธจัดจึงกรีธาทัพตามล่าเมนิเลค ไล่กันมาจนถึงทะเลแดง พระเจ้า (เจ้าของบัญญัติสิบประการที่เก็บไว้ใน Ark of Covenant) ได้บันดาลให้ม้าทรงของเมนิเลคและม้าขี่ของเพื่อนๆเหาะข้ามทะเลไปยังแผ่นดินแอฟริกา พระเจ้าโซโลมอนเห็นเหตุการณ์ทั้งหมดและเชื่อว่านี่คือนิมิตที่พระเจ้าต้องการแสดงให้เห็น พระองค์จึงเลิกติดตามและส่งมุทิตาจิตไปยังเมนิเลคเพราะตั้งแต่นี้ต่อไปเมนิเลคและลูกหลานของเมนิเลคคือ The Chosen Ones

จักรพรรดิเอธิโอเปียทุกพระองค์เชื่อว่าตัวเองสืบเชื้อสายมาจากเมนิเลคก็คือจากพระเจ้าโซโลมอนนั่นเอง ฉะนั้นราชวงค์เอธิโอเปียจึงเรียกว่าราชวงค์โซโลมอนหรือ Solomonic Dynasty

To be continued
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่