พาณิชย์ใจชื้น! ส่งออก เดือน ต.ค. พลิกกับมาโต 8.7% โดยส่งออกไป "สหรัฐฯ และจีน" คู่สงครามการค้า กลับมาขยายตัว 7.2% และ 3% ตามลำดับ มั่นใจ! ทั้งปีนี้ส่งออกไทยยังขยายตัวได้ตามเป้าหมาย 8% "ยางพารา-รถยนต์-แผงวงจร" น่าห่วง ส่งออกวูบต่อเนื่อง
จากการส่งออกของไทยในเดือน ก.ย. 2561 ที่ติดลบ 5.2% ซึ่งเป็นการติดลบรอบ 19 เดือน ผลกระทบหลักจากสงครามการค้าสหรัฐอเมริกา-จีน สร้างความกังวลใจทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องของไทย เกรงจะส่งผลกระทบการส่งออกเดือนที่เหลือในปีนี้ให้ขยายตัวลดลงไปด้วยนั้น
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เผยในการแถลงการส่งออกของไทยในเดือน ต.ค. 2561 ว่า กลับมาขยายตัวได้ที่ 8.7% หรือคิดเป็นมูลค่า 21,758 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยการส่งออกขยายตัวเกือบทุกตลาด อาทิ ตลาดสหรัฐอเมริกาขยายตัว 7.2% ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 6 เดือน สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์และส่วนประกอบ เหล็กและผลิตภัณฑ์ เครื่องนุ่งห่ม และอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สินค้าที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศ อย่าง เครื่องซักผ้าและโซลาร์เซลล์ยังคงหดตัวต่อเนื่อง ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2561 ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัว 5.2%
ส่วนตลาดสหภาพยุโรป (15) หดตัว 4.1% เนื่องจากปัจจัยชั่วคราวตามการหดตัวของสินค้าอากาศยาน ซึ่งในปีก่อนหน้ามีฐานสูง อย่างไรก็ตาม สินค้าสำคัญอื่น ๆ ยังขยายตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ คอมพิวเตอร์ และไก่แปรรูป ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 6.6%
ตลาดญี่ปุ่นขยายตัว 18.7% ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 8 เดือน โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ โทรศัพท์และอุปกรณ์ฯ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับที่ 1 ไปตลาดญี่ปุ่นในเดือนนี้ รวมทั้งเม็ดพลาสติก รถยนต์และส่วนประกอบ โทรทัศน์และส่วนประกอบ และเครื่องจักรกลฯ เป็นต้น ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 15.2%
ตลาดจีนกลับมาขยายตัว 3.0% หลังจากหดตัวในเดือนก่อนหน้า โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาน้ำมันที่ยังขยายตัวในระดับสูง รวมทั้งการขยายตัวของการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ ข้าว และผลไม้สด-แช่แข็ง-แห้งฯ เป็นต้น ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 3.8%
ตลาด CLMV ขยายตัว 18.2% เป็นการขยายตัวในระดับ 2 หลัก ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ (โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดเวียดนามขยายตัวสูงถึงร้อยละ 173) น้ำมันสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ เม็ดพลาสติก และเครื่องจักรกลฯ เป็นต้น ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 19.3%
ตลาดอาเซียน-5 ขยายตัว 24.4% สินค้าสำคัญที่ขยายตัว โดยเฉพาะการส่งออกไปสิงคโปร์ขยายตัวสูงถึง 72.8% โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัวสูงในตลาดอาเซียน-5 ได้แก่ น้ำตาลทราย (+643%) น้ำมันสำเร็จรูป (+ 50%) อัญมณีและเครื่องประดับ (+339%) และข้าว (+159%) เป็นต้น ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 15.5%
ตลาดเอเชียใต้ขยายตัวร้อยละ 17.1 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องเทศและสมุนไพร (+1,124%) เคมีภัณฑ์ ปูนซีเมนต์ โทรศัพท์และอุปกรณ์ และน้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 17.6%
ตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS หดตัว 38.8% เป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลฯ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง และเม็ดพลาสติก ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 11.4%
ตลาดลาตินอเมริกาหดตัว 6.0% โดยเฉพาะการส่งออกไปอาร์เจนตินาที่หดตัว 22.9% จากผลกระทบของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและการอ่อนค่าอย่างรุนแรงของอัตราแลกเปลี่ยน โดยสินค้าที่หดตัวในตลาดลาตินอเมริกา ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องยนต์สันดาป และเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ ด้านสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าฯ และแผงวงจรไฟฟ้า ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 4.0%

ด้านสินค้า ในส่วนของการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวที่ 12.2% (YoY) โดยสินค้าส่งออกที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ น้ำตาลทรายขยายตัวที่ 77.8% (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ และจีน) ข้าวขยายตัวทั้งด้านราคาและปริมาณที่ 28.2% (ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ แอฟริกาใต้ กานา มาเลเซีย และฟิลิปปินส์) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังขยายตัวด้านราคาเป็นหลัก ขยายตัว 18.5% (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ไต้หวัน มาเลเซีย และสหรัฐฯ) ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ขยายตัว 15.6% (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ เกาหลีใต้ และสิงค์โปร์) ผัก ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ขยายตัว 10.6% (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง และแคนาดา) สินค้าเกษตรสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ยางพาราหดตัวต่อเนื่องทั้งด้านปริมาณและราคา หดตัว 19.1% (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และอินเดีย) ภาพรวม 10 เดือนแรกของปี 2561 กลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัว 4.3%
ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวที่ 6.8% (YoY) โดยสินค้าสำคัญที่ยังขยายตัวได้ดี ได้แก่ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ขยายตัวเกือบทุกตลาด ขยายตัว 29.1% (ขยายตัวในตลาดจีน เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย) ทองคำขยายตัว 240.8% (ขยายตัวในตลาดกัมพูชา สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และฮ่องกง) อัญมณีและเครื่องประดับไม่รวมทองคำขยายตัว 21.1% (ขยายตัวในตลาดกัมพูชา สิงคโปร์ สหรัฐฯ สวิตเซอร์แลนด์ และเยอรมนี) เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวดีเกือบทุกตลาด ขยายตัว 33.7% (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ ฮ่องกง อินเดีย และเม็กซิโก) สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ หดตัวเกือบทุกตลาด 8.9% (หดตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และเม็กซิโก แต่ยังขยายตัวในตลาดเวียดนาม และญี่ปุ่น) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัวที่ 4.9% (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน ฮ่องกง และมาเลเซีย แต่ยังขยายตัวในตลาดเนเธอร์แลนด์และญี่ปุ่น) แผงวงจรไฟฟ้าหดตัว 8.8% (หดตัวในตลาดฮ่องกง จีน เยอรมนี และไต้หวัน แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดสิงคโปร์ สหรัฐฯ และญี่ปุ่น) เครื่องซักผ้าและเครื่องซักแห้งและส่วนประกอบหดตัว 40.2% (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ และมาเลเซีย แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดเวียดนาม และเกาหลีใต้) ภาพรวม 10 เดือนแรกของปี 2561 กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมยังขยายตัว 7.9%
ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกของไทยช่วง 10 เดือนแรก มีมูลค่า 211,488 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.2% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 208,929 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 14.8% ส่งผลให้ไทยยังเกินดุลการค้า 2,559 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
กระทรวงพาณิชย์คาดว่า การส่งออกของไทยในปี 2561 จะยังขยายตัวได้ที่ 8% ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญที่ยังเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 3/2561 อาทิ สหรัฐฯ ที่การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวแข็งแกร่งจากการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน เป็นผลดีต่อการส่งออกไทยในกลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภค และการเติบโตของภาคธุรกิจที่ยังได้รับอานิสงส์จากมาตรการลดภาษี สหภาพยุโรป จีน และญี่ปุ่น เศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่ามีแนวโน้มชะลอลงบ้างจากปัจจัยภายในประเทศ ตลาดอาเซียนที่มีแนวโน้มการขยายตัวสูงและเป็นอีกหนึ่งตลาดศักยภาพที่มีบทบาทสูงต่อภาพรวมการส่งออกไทยในระยะหลัง
ส่วนในปี 2562 เศรษฐกิจและการค้าโลกเริ่มมีแนวโน้มชะลอตัว อาจส่งผลต่อการส่งออกไทยในระยะข้างหน้า ผู้ประกอบการและนักลงทุนยังอยู่ในระยะปรับตัวต่อความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า โดยมีสัญญาณการชะลอตัวของการลงทุน สะท้อนจากตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production) และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Manufacturing Purchasing Managers’ Indices) ทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและกลุ่มประเทศเกิดใหม่ นอกจากนี้ การตอบโต้ทางการค้าของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลงจะส่งผลบวกต่อสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันน้อยกว่าระยะที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์พร้อมผลักดันการส่งออกในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2561 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการขยายตัวของการส่งออกในประเทศกลุ่มอาเซียนและ CLMV มากขึ้น และอาจทดแทนการส่งออกที่หดตัวลงในภูมิภาคอื่น ๆ ได้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการขยายความร่วมมือทางการค้าในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง และพยายามเพิ่มบทบาททางการค้าของประเทศไทยในฐานะที่ประเทศไทยที่จะได้รับเกียรติเป็นประธานอาเซียนในปี 2562 เพื่อรองรับการเติบโตในภูมิภาคต่อไป พร้อมทั้งเตรียมรับมือผลกระทบจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นในปัจจุบัน เพื่อให้การส่งออกของไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่องต่อไปในปี 2562
ส่งออกเฮ! ต.ค. พลิกบวก 8.7% ตลาดสหรัฐฯ โตสูงสุดรอบ 6 เดือน
พาณิชย์ใจชื้น! ส่งออก เดือน ต.ค. พลิกกับมาโต 8.7% โดยส่งออกไป "สหรัฐฯ และจีน" คู่สงครามการค้า กลับมาขยายตัว 7.2% และ 3% ตามลำดับ มั่นใจ! ทั้งปีนี้ส่งออกไทยยังขยายตัวได้ตามเป้าหมาย 8% "ยางพารา-รถยนต์-แผงวงจร" น่าห่วง ส่งออกวูบต่อเนื่อง
จากการส่งออกของไทยในเดือน ก.ย. 2561 ที่ติดลบ 5.2% ซึ่งเป็นการติดลบรอบ 19 เดือน ผลกระทบหลักจากสงครามการค้าสหรัฐอเมริกา-จีน สร้างความกังวลใจทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องของไทย เกรงจะส่งผลกระทบการส่งออกเดือนที่เหลือในปีนี้ให้ขยายตัวลดลงไปด้วยนั้น
นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร ผู้อำนวยการ สำนักงานนโยบายยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ เผยในการแถลงการส่งออกของไทยในเดือน ต.ค. 2561 ว่า กลับมาขยายตัวได้ที่ 8.7% หรือคิดเป็นมูลค่า 21,758 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยการส่งออกขยายตัวเกือบทุกตลาด อาทิ ตลาดสหรัฐอเมริกาขยายตัว 7.2% ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 6 เดือน สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ยาง รถยนต์และส่วนประกอบ เหล็กและผลิตภัณฑ์ เครื่องนุ่งห่ม และอัญมณีและเครื่องประดับ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม สินค้าที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าจากทุกประเทศ อย่าง เครื่องซักผ้าและโซลาร์เซลล์ยังคงหดตัวต่อเนื่อง ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2561 ตลาดสหรัฐฯ ขยายตัว 5.2%
ส่วนตลาดสหภาพยุโรป (15) หดตัว 4.1% เนื่องจากปัจจัยชั่วคราวตามการหดตัวของสินค้าอากาศยาน ซึ่งในปีก่อนหน้ามีฐานสูง อย่างไรก็ตาม สินค้าสำคัญอื่น ๆ ยังขยายตัว เช่น อัญมณีและเครื่องประดับ คอมพิวเตอร์ และไก่แปรรูป ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 6.6%
ตลาดญี่ปุ่นขยายตัว 18.7% ซึ่งเป็นการขยายตัวสูงสุดในรอบ 8 เดือน โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ โทรศัพท์และอุปกรณ์ฯ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกอันดับที่ 1 ไปตลาดญี่ปุ่นในเดือนนี้ รวมทั้งเม็ดพลาสติก รถยนต์และส่วนประกอบ โทรทัศน์และส่วนประกอบ และเครื่องจักรกลฯ เป็นต้น ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 15.2%
ตลาดจีนกลับมาขยายตัว 3.0% หลังจากหดตัวในเดือนก่อนหน้า โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เคมีภัณฑ์ เม็ดพลาสติก ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากราคาน้ำมันที่ยังขยายตัวในระดับสูง รวมทั้งการขยายตัวของการส่งออกอัญมณีและเครื่องประดับ ข้าว และผลไม้สด-แช่แข็ง-แห้งฯ เป็นต้น ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 3.8%
ตลาด CLMV ขยายตัว 18.2% เป็นการขยายตัวในระดับ 2 หลัก ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 10 โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ (โดยเฉพาะการส่งออกไปตลาดเวียดนามขยายตัวสูงถึงร้อยละ 173) น้ำมันสำเร็จรูป อัญมณีและเครื่องประดับ เม็ดพลาสติก และเครื่องจักรกลฯ เป็นต้น ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 19.3%
ตลาดอาเซียน-5 ขยายตัว 24.4% สินค้าสำคัญที่ขยายตัว โดยเฉพาะการส่งออกไปสิงคโปร์ขยายตัวสูงถึง 72.8% โดยสินค้าสำคัญที่ขยายตัวสูงในตลาดอาเซียน-5 ได้แก่ น้ำตาลทราย (+643%) น้ำมันสำเร็จรูป (+ 50%) อัญมณีและเครื่องประดับ (+339%) และข้าว (+159%) เป็นต้น ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 15.5%
ตลาดเอเชียใต้ขยายตัวร้อยละ 17.1 สินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ เครื่องเทศและสมุนไพร (+1,124%) เคมีภัณฑ์ ปูนซีเมนต์ โทรศัพท์และอุปกรณ์ และน้ำมันสำเร็จรูป เป็นต้น ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 17.6%
ตลาดรัสเซียและกลุ่มประเทศ CIS หดตัว 38.8% เป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ติดต่อกัน โดยสินค้าสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องจักรกลฯ อัญมณีและเครื่องประดับ ผลิตภัณฑ์ยาง และเม็ดพลาสติก ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 11.4%
ตลาดลาตินอเมริกาหดตัว 6.0% โดยเฉพาะการส่งออกไปอาร์เจนตินาที่หดตัว 22.9% จากผลกระทบของการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและการอ่อนค่าอย่างรุนแรงของอัตราแลกเปลี่ยน โดยสินค้าที่หดตัวในตลาดลาตินอเมริกา ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ เครื่องยนต์สันดาป และเครื่องคอมพิวเตอร์ฯ ด้านสินค้าที่ขยายตัวสูง ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าฯ และแผงวงจรไฟฟ้า ขณะที่ 10 เดือนแรกของปี 2561 ขยายตัว 4.0%
ด้านสินค้า ในส่วนของการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัวที่ 12.2% (YoY) โดยสินค้าส่งออกที่ขยายตัวได้ดี ได้แก่ น้ำตาลทรายขยายตัวที่ 77.8% (ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ และจีน) ข้าวขยายตัวทั้งด้านราคาและปริมาณที่ 28.2% (ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ แอฟริกาใต้ กานา มาเลเซีย และฟิลิปปินส์) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังขยายตัวด้านราคาเป็นหลัก ขยายตัว 18.5% (ขยายตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย ไต้หวัน มาเลเซีย และสหรัฐฯ) ไก่สดแช่แข็งและแปรรูป ขยายตัว 15.6% (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร เนเธอร์แลนด์ เกาหลีใต้ และสิงค์โปร์) ผัก ผลไม้สด แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป ขยายตัว 10.6% (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น ฮ่องกง และแคนาดา) สินค้าเกษตรสำคัญที่หดตัว ได้แก่ ยางพาราหดตัวต่อเนื่องทั้งด้านปริมาณและราคา หดตัว 19.1% (หดตัวในตลาดจีน มาเลเซีย ญี่ปุ่น สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และอินเดีย) ภาพรวม 10 เดือนแรกของปี 2561 กลุ่มสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตรขยายตัว 4.3%
ส่วนการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมกลับมาขยายตัวที่ 6.8% (YoY) โดยสินค้าสำคัญที่ยังขยายตัวได้ดี ได้แก่ สินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ขยายตัวเกือบทุกตลาด ขยายตัว 29.1% (ขยายตัวในตลาดจีน เวียดนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย) ทองคำขยายตัว 240.8% (ขยายตัวในตลาดกัมพูชา สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และฮ่องกง) อัญมณีและเครื่องประดับไม่รวมทองคำขยายตัว 21.1% (ขยายตัวในตลาดกัมพูชา สิงคโปร์ สหรัฐฯ สวิตเซอร์แลนด์ และเยอรมนี) เครื่องโทรสาร โทรศัพท์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ขยายตัวดีเกือบทุกตลาด ขยายตัว 33.7% (ขยายตัวในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ ฮ่องกง อินเดีย และเม็กซิโก) สินค้าอุตสาหกรรมสำคัญที่หดตัว ได้แก่ รถยนต์และส่วนประกอบ หดตัวเกือบทุกตลาด 8.9% (หดตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ และเม็กซิโก แต่ยังขยายตัวในตลาดเวียดนาม และญี่ปุ่น) เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัวที่ 4.9% (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ จีน ฮ่องกง และมาเลเซีย แต่ยังขยายตัวในตลาดเนเธอร์แลนด์และญี่ปุ่น) แผงวงจรไฟฟ้าหดตัว 8.8% (หดตัวในตลาดฮ่องกง จีน เยอรมนี และไต้หวัน แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดสิงคโปร์ สหรัฐฯ และญี่ปุ่น) เครื่องซักผ้าและเครื่องซักแห้งและส่วนประกอบหดตัว 40.2% (หดตัวในตลาดญี่ปุ่น สหรัฐฯ และมาเลเซีย แต่ยังขยายตัวได้ดีในตลาดเวียดนาม และเกาหลีใต้) ภาพรวม 10 เดือนแรกของปี 2561 กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมยังขยายตัว 7.9%
ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกของไทยช่วง 10 เดือนแรก มีมูลค่า 211,488 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8.2% ส่วนการนำเข้ามีมูลค่า 208,929 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 14.8% ส่งผลให้ไทยยังเกินดุลการค้า 2,559 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
กระทรวงพาณิชย์คาดว่า การส่งออกของไทยในปี 2561 จะยังขยายตัวได้ที่ 8% ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสำคัญที่ยังเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 3/2561 อาทิ สหรัฐฯ ที่การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวแข็งแกร่งจากการฟื้นตัวของตลาดแรงงาน เป็นผลดีต่อการส่งออกไทยในกลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภค และการเติบโตของภาคธุรกิจที่ยังได้รับอานิสงส์จากมาตรการลดภาษี สหภาพยุโรป จีน และญี่ปุ่น เศรษฐกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี แม้ว่ามีแนวโน้มชะลอลงบ้างจากปัจจัยภายในประเทศ ตลาดอาเซียนที่มีแนวโน้มการขยายตัวสูงและเป็นอีกหนึ่งตลาดศักยภาพที่มีบทบาทสูงต่อภาพรวมการส่งออกไทยในระยะหลัง
ส่วนในปี 2562 เศรษฐกิจและการค้าโลกเริ่มมีแนวโน้มชะลอตัว อาจส่งผลต่อการส่งออกไทยในระยะข้างหน้า ผู้ประกอบการและนักลงทุนยังอยู่ในระยะปรับตัวต่อความไม่แน่นอนของนโยบายการค้า โดยมีสัญญาณการชะลอตัวของการลงทุน สะท้อนจากตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรม (Industrial Production) และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (Manufacturing Purchasing Managers’ Indices) ทั้งในประเทศพัฒนาแล้วและกลุ่มประเทศเกิดใหม่ นอกจากนี้ การตอบโต้ทางการค้าของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทย อาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มลดลงจะส่งผลบวกต่อสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมันน้อยกว่าระยะที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์พร้อมผลักดันการส่งออกในช่วงเวลาที่เหลือของปี 2561 เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการขยายตัวของการส่งออกในประเทศกลุ่มอาเซียนและ CLMV มากขึ้น และอาจทดแทนการส่งออกที่หดตัวลงในภูมิภาคอื่น ๆ ได้ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้ดำเนินการขยายความร่วมมือทางการค้าในภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง และพยายามเพิ่มบทบาททางการค้าของประเทศไทยในฐานะที่ประเทศไทยที่จะได้รับเกียรติเป็นประธานอาเซียนในปี 2562 เพื่อรองรับการเติบโตในภูมิภาคต่อไป พร้อมทั้งเตรียมรับมือผลกระทบจากสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้นในปัจจุบัน เพื่อให้การส่งออกของไทยเติบโตได้อย่างต่อเนื่องต่อไปในปี 2562