บทความนี้เกิดจากความชอบในการ์ตูนเรื่องนี้ของเจ้าของกระทู้เองและเป็นโอกาสดีที่อาจารย์กลับมาเขียนงานต่ออีกครั้งหลังจากหายไป 2 ปี จึงขอใช้โอกาสนี้เขียนบทความนี้ขึ้นมาเผื่อจะสามารถดึงดูดนักอ่านการ์ตูนที่ยังหาเรื่องใหม่อ่านไม่ได้ มาลองอ่านเรื่องนี้กันและที่สำคัญขยายฐานแฟนๆให้กระทู้ World trigger มีความคึกคักมากขึ้น 555
โอเคขอเริ่มเลยละกันว่าทำไมเราถึงควรอ่าน World trigger
1. เป็นการ์ตูนแนว MOBA (multi player online battle arena) ที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้ จากกลยุทธ์ที่ใช้ในการ์ตูนและการผสมผสาน trigger set ทำให้เกิดแผนต่างๆมากมาย
(ในรูปคือมือยิงจะมีลูกคิวบิกเล็กๆ ซึ่งเป็นกระสุนไว้เตรียมยิง )
(ในภาพคือ Attacker ถือทริคเกอร์โคเทตสึ(อาวุธที่เป็นดาบ)
- การ์ตูนเรื่องนี้ไม่ใช่แนว pure MOBA ซะทีเดียวที่มีการฟาร์มของเพื่อให้ได้ไอเทมใหญ่ๆ แต่จะเหมือนในการต่อสู้เป็นทีม แต่ละทีมจะมี carry ซึ่งเป็น ACE ของตัวเอง และไอเทมเปรียบเสมือน Trigger มีตำแหน่งในการต่อสู้เป็นทีมมากมายทั้ง Attacker (ตัวโจมตีระยะประชิด) , Gunner (มือปืน ) , Shooter (มือยิง จะต่างกับ gunner ที่ไม่มีอาวุธปืน ทำให้ต้องควบคุมกระสุนก่อนยิงเสมอ ) , Trapper (นักวางกับดัก ) , Sniper ( หน่วยซุ่มยิง) , Spotter (ยังไม่เปิดเผย แต่คาดว่าน่าจะเป็นคนที่ทำให้ Sniper เล็งง่ายขึ้น ) สำหรับเจ้าของกระทู้ที่เคยเล่นเกมส์อย่าง DotA มาก่อน เจอการ์ตูนแบบนี้รู้สึกถูกจริตมากๆ เพราะมีทั้งกลยุทธ์ในการดึงประสิทธิภาพของ Ace ตัวเองให้ออกมาสูงที่สุด , การเลือกใช้ทริคเกอร์ (อาวุธ) ที่มีความหลากหลายและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดความเป็นไปได้ในหลายรูปแบบ สิ่งเหล่านี้เป็นการนำให้เกิดจินตนาการใหม่ๆให้กับการ์ตูนเรื่องนี้
(ในภาพคือทริคเกอร์สำหรับสไนเปอร์ ซึ่งจะมีคุณสมบัติต่างกันไลท์นิ่งพลังทำลายน้อยแต่กระสุนไว ส่วนไอบิสพลังทำลายแรงแต่กระสุนมีความช้า)
2. ไม่มีการข้ามขั้นตอนในการฝึกฝน แต่ใช้แนวทาง"ที่เป็นไปได้" ในการพัฒนาตัวเอง
- เกริ่นก่อนว่าตัวเอกเรื่องนี้ของเราอย่างโอซามุนั้นห่วยมาก เป็นตำแหน่งมือยิงระดับล่างๆของเรื่องและมีพลังทริออน(เหมือนมานา)ค่อนข้างน้อยทำให้ใช้ทริคเกอร์ได้น้อย ซึ่งตามประสาพระเอกโชเน็นเริ่มต้นมักจะห่วยแต่เน้นอาศัยความพยายามจนเก่งขึ้นมาได้ ไม่ก็พระเอกจะสามารถใช้เทคนิคลับที่ได้จากความพยายามนั้นและใช้ได้คนเดียวในเรื่องจนสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ แต่เรื่องนี้ก็ดำเนินเรื่องแบบน้นเช่นกันแต่ต่างตรงที่ไม่มีตัวเก่งคนไหนยอมสอนเทคนิคเหล่านั้นเลย 555
(ในภาพเปรียบเทียบระหว่างพระเอกกับมือยิงเก่งสุดในเรื่อง คะแนนต่างกันเท่าตัว O_O !)
ตัวพระเอกนั้นพยายามจะไปหาทริคต่างๆหรือเทคนิคพิเศษจากคนเก่งๆทั้งคาราซูมะที่เป็น mentor ตัวเอง(คนสอน) หรืออิซูมิ(มือยิงมือต้นๆของเรื่อง) แต่ทั้งสองก็จะพยายามปฏิเสธหรือชี้แนะแนวทางที่ค่อยเป็นค่อยไปให้กับสี่ตา เพราะเทคนิคยิ่งมากเกินไปแต่ทักษะที่มีไม่พอ มันจะกลับมาทำร้ายตัวเอง และจะกลายเป็นภาระตัวเองด้วย
(ในรูปคืออิซูมิมือยิงต้นๆของเรื่องบอกให้พระเอกชนะคนนี้ให้ได้ก่อน 100 ครั้งถึงยอมสอนหรือบอกอีกนัยหนึ่งคือสะสมประสบการณ์ต่อสู้เยอะๆก่อนค่อยไป step ต่อไป)

หรืออย่างคิโทระที่เป็นมือดีคนหนึ่งของเรื่องก็บอกว่าให้ฝึกไป 2 ปีถึงจะเป็นไปได้ จากตรงนี้พระเอกโดนปฏิเสธถึง 3 ครั้งเลยทีเดียวสำหรับจะให้สอนเทคนิคใหม่ๆในการต่อสู้ ถ้าเป็นเรื่องอื่นตัวเอกอาจจะได้รับการสอนเทคนิคนั้นและเก่งในเวลารวดเร็วไปแล้ว ส่วนแนวทางที่เป็นไปได้คือการใช้ทริคเกอร์ง่ายๆอย่าง “เส้นลวด” ที่ใช้ทริออนน้อยในการสร้างเส้นลวดขึ้นมาซึ่งเป็นแนวทางที่เหมาะกับพระเอก ไม่เกินกำลังตัวเอง แต่จะต้องใช้กลยุทธ์หรือสมองในการใช้สำหรับทริคเกอร์นี้หน่อยเพราะว่าไม่สามารถโจมตีศัตรูได้โดยตรง เน้น support ให้เพื่อนร่วมทีมเท่านั้น
3. ไม่มีการพึ่งพลังมิตรภาพเพื่อระเบิดพลังพิเศษ
- สิ่งที่ถูกใจ ถูกจริตอีกอย่างหนึ่งก็คือไม่มีการระเบิดพลังมิตรภาพที่ทำให้ตัวเอกของเรื่องสามารถงัด tactic หรือใช้ option พิเศษของทริคเกอร์เพื่อให้ตัวเองจัดการคู่ต่อสู้ได้ เรามักจะเห็นภาพพระเอกเราเสียท่าให้คู่ต่อสู้เสมอๆ 555

(
2 ภาพนี้คือพระเอกเสียท่าให้กับคู่ต่อสู้เพราะขาดประสบการณ์ในการต่อสู้ทำให้ไม่ระวังในตำแหน่งตัวเองเลยทำให้โดน sniper ยิง และอีกภาพคิดว่าตัวเองชนะแล้ว คู่ต่อสู้สูญเสียทริออนจนไม่สามารถสู้ได้แต่กลับโดนกระสุนที่คู่ต่อสู้ตั้งการเคลื่อนที่ไว้ล่วงหน้ายิงพระเอกจนแพ้ )
หรืออย่างตัวละครตำแหน่ง Attacker อันดับ 1 ของเรื่องมีคอมเม้นท์ไว้ในตอนหนึ่งว่า “
แค่ความรู้สึกในการต่อสู้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้หรอกนะ สิ่งสำคัญคือ พลัง , กลยุทธ์ , โชค” ที่จริงมีคอมเม้นท์ต่อจากภาพนี้อีกว่าไม่อย่างนั้นผมจะมาอยู่จุดนี้ได้ยังไง 555 ฉากนี้ถือเป็น 1 ในประโยคเด็ดที่ผมชอบที่สุดของเรื่องนี้เลย
4. สเกลพลังค่อนข้างนิ่งมาก ไม่มีการเปิดตัวละครใหม่ๆเพื่อมากลบตัวละครเก่าๆ
โดยปกตินั้นการ์ตูนเรื่องทั่วไปมักจะปล่อยตัวเก่งๆช้าๆไว้ทีหลังแล้วมักจะปล่อยศัตรูใหม่ๆเก่งๆเพื่อตบตัวละครเก่งๆที่ออกมาตอนแรกๆ แต่นี่กลับปล่อย ตัวละครเก่งๆ ของเรื่องตั้งแต่ 30 ตอนแรกของเรื่อง และก็ยังคงความเก่งกาจนั้นไม่มีเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นจุดที่ผมชอบมากๆที่อาจารย์ให้ความสำคัญกับการสร้างตัวละครแบบนี้
(ในภาพคือการเปิดตัว top team ของเรื่อง 3 ทีม)
(ส่วนภาพนี้คือคาซามะที่เปิดตัวตั้งแต่ต้นเรื่องอยู่ rank A-3 สามารถต่อสู้เดี่ยวๆและเอาชนะคู่ต่อสู้มือดีจากนอกโลกได้)
5. การกระจายบทบาทของตัวละครที่ดีแต่ละคนมีคาแรคเตอร์ ไม่มีตัวละครใช้แล้วทิ้ง
- สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนอ่านปวดหัวสำหรับเรื่องนี้มากที่สุดก็คือตัวละครเยอะแบบเยอะมากกกกกกก แต่ว่าอาจารย์ก็ไม่ได้ออกแบบตัวละครมาเยอะๆเพื่อใช้แล้วทิ้ง แต่กลับพยายามใส่คาแรคเตอร์และนิสัยให้กับตัวละคร ทำให้คนอ่านสามารถจดจำได้ อย่างเช่นอิโคมะ Attacker No. 6 ถ้าอยู่ในการ์ตูนเรื่องอื่นแค่ได้ยินว่าอันดับ 6 มันก็ให้ความรู้สึกธรรมดาหรือเฉยๆๆละ แต่อาจารย์สร้างตัวละครนี้ขึ้นมาแล้วให้ทักษะอิโคมะอย่าง “อิโคมะเซนคู” ซึ่งเป็นการยืดระยะฟันโจมตีของทริคเกอร์โคเทตสึ ถ้ามองการต่อสู้ 1-1 โอเคว่าอิโคมะคืออันดับ 6 แต่ถ้ามองในแง่ teamplay การที่สามารถยืดระยะฟันมากกว่าคนทั่วไป 2 เท่า ทำให้ทีมได้เปรียบมหาศาลในการที่จะคอมโบการโจมตีกับทริคเกอร์อื่นๆ ด้วยทักษะนี้ ซึ่งอิโคมะอาจจะไม่ใช่ Attacker อันดับ 6 สำหรับการต่อสู้ระดับทีมก็เป็นได้

หรืออย่างซาซาโมริของหน่วยซูวะ เป็น Attacker ที่ไม่ติดอันดับ top ของเรื่องด้วยซ้ำ(ออกแนวตัวประกอบ) แต่อาจารย์ก็ไม่ทิ้งตัวละคร มีการเขียนโชว์ให้เห็นถึงการพัฒนาในด้านอารมณ์ จากที่ตอนการบุกรุกของเนเบอร์รอบแรกที่เกือบจะไม่ยอมฟังคำสั่งของคาซามะด้วยซ้ำเนื่องจากซูวะเพื่อนร่วมทีมโดนจับตัวไปทำให้คุมสติไม่อยู่ แต่พอการบุกรุกครั้งที่ 2 กลับนิ่งขึ้นเยอะมากและยึดตามแผนรักษาพื้นที่ไม่ให้ทหารทริออนเข้าไปกวนสไนเปอร์ ไม่ปล่อยอารมณ์ทำตามใจตัวเอง
(ภาพแรกคุมสติตัวเองไม่อยู่เพราะหัวหน้าหน่วยโดนจับไป)
(ภาพสองแสดงให้เห็นถึงความนิ่งด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้น)
6. แม้แต่เจ้าพ่อความซับซ้อนในการ์ตูนอย่างอาจารย์โยชิโร่ โทงาชิผู้แต่ง HunterxHunter ยังให้ความสนใจ โดยเป็น 1 ในการ์ตูน 3 เรื่องที่คนวาดอายุน้อยที่เค้าติดตาม
ภาพนี้คือบทสัมภาษณ์ของเจ้าตัวครับ
ปล. เพิ่มข้อ 6 เข้ามาเพราะพึ่งนึกขึ้นได้ 55
เสียดายแก้ไขหัวข้อกระทู้ไม่ได้แล้ว พลาดเลย
จบละครับ สิ่งที่อยากจะเขียน หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คนอ่านตัดสินใจง่ายขึ้นว่าควรอ่านการ์ตุนเรื่องนี้หรือไม่
ขอบคุณครับ
5 เหตุผลที่คุณควรอ่านการ์ตูนเรื่อง World Trigger
โอเคขอเริ่มเลยละกันว่าทำไมเราถึงควรอ่าน World trigger
1. เป็นการ์ตูนแนว MOBA (multi player online battle arena) ที่ดีที่สุด ณ ตอนนี้ จากกลยุทธ์ที่ใช้ในการ์ตูนและการผสมผสาน trigger set ทำให้เกิดแผนต่างๆมากมาย
(ในรูปคือมือยิงจะมีลูกคิวบิกเล็กๆ ซึ่งเป็นกระสุนไว้เตรียมยิง )
(ในภาพคือ Attacker ถือทริคเกอร์โคเทตสึ(อาวุธที่เป็นดาบ)
- การ์ตูนเรื่องนี้ไม่ใช่แนว pure MOBA ซะทีเดียวที่มีการฟาร์มของเพื่อให้ได้ไอเทมใหญ่ๆ แต่จะเหมือนในการต่อสู้เป็นทีม แต่ละทีมจะมี carry ซึ่งเป็น ACE ของตัวเอง และไอเทมเปรียบเสมือน Trigger มีตำแหน่งในการต่อสู้เป็นทีมมากมายทั้ง Attacker (ตัวโจมตีระยะประชิด) , Gunner (มือปืน ) , Shooter (มือยิง จะต่างกับ gunner ที่ไม่มีอาวุธปืน ทำให้ต้องควบคุมกระสุนก่อนยิงเสมอ ) , Trapper (นักวางกับดัก ) , Sniper ( หน่วยซุ่มยิง) , Spotter (ยังไม่เปิดเผย แต่คาดว่าน่าจะเป็นคนที่ทำให้ Sniper เล็งง่ายขึ้น ) สำหรับเจ้าของกระทู้ที่เคยเล่นเกมส์อย่าง DotA มาก่อน เจอการ์ตูนแบบนี้รู้สึกถูกจริตมากๆ เพราะมีทั้งกลยุทธ์ในการดึงประสิทธิภาพของ Ace ตัวเองให้ออกมาสูงที่สุด , การเลือกใช้ทริคเกอร์ (อาวุธ) ที่มีความหลากหลายและคุณสมบัติที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดความเป็นไปได้ในหลายรูปแบบ สิ่งเหล่านี้เป็นการนำให้เกิดจินตนาการใหม่ๆให้กับการ์ตูนเรื่องนี้
(ในภาพคือทริคเกอร์สำหรับสไนเปอร์ ซึ่งจะมีคุณสมบัติต่างกันไลท์นิ่งพลังทำลายน้อยแต่กระสุนไว ส่วนไอบิสพลังทำลายแรงแต่กระสุนมีความช้า)
2. ไม่มีการข้ามขั้นตอนในการฝึกฝน แต่ใช้แนวทาง"ที่เป็นไปได้" ในการพัฒนาตัวเอง
- เกริ่นก่อนว่าตัวเอกเรื่องนี้ของเราอย่างโอซามุนั้นห่วยมาก เป็นตำแหน่งมือยิงระดับล่างๆของเรื่องและมีพลังทริออน(เหมือนมานา)ค่อนข้างน้อยทำให้ใช้ทริคเกอร์ได้น้อย ซึ่งตามประสาพระเอกโชเน็นเริ่มต้นมักจะห่วยแต่เน้นอาศัยความพยายามจนเก่งขึ้นมาได้ ไม่ก็พระเอกจะสามารถใช้เทคนิคลับที่ได้จากความพยายามนั้นและใช้ได้คนเดียวในเรื่องจนสามารถเอาชนะคู่ต่อสู้ได้ แต่เรื่องนี้ก็ดำเนินเรื่องแบบน้นเช่นกันแต่ต่างตรงที่ไม่มีตัวเก่งคนไหนยอมสอนเทคนิคเหล่านั้นเลย 555
(ในภาพเปรียบเทียบระหว่างพระเอกกับมือยิงเก่งสุดในเรื่อง คะแนนต่างกันเท่าตัว O_O !)
ตัวพระเอกนั้นพยายามจะไปหาทริคต่างๆหรือเทคนิคพิเศษจากคนเก่งๆทั้งคาราซูมะที่เป็น mentor ตัวเอง(คนสอน) หรืออิซูมิ(มือยิงมือต้นๆของเรื่อง) แต่ทั้งสองก็จะพยายามปฏิเสธหรือชี้แนะแนวทางที่ค่อยเป็นค่อยไปให้กับสี่ตา เพราะเทคนิคยิ่งมากเกินไปแต่ทักษะที่มีไม่พอ มันจะกลับมาทำร้ายตัวเอง และจะกลายเป็นภาระตัวเองด้วย
(ในรูปคืออิซูมิมือยิงต้นๆของเรื่องบอกให้พระเอกชนะคนนี้ให้ได้ก่อน 100 ครั้งถึงยอมสอนหรือบอกอีกนัยหนึ่งคือสะสมประสบการณ์ต่อสู้เยอะๆก่อนค่อยไป step ต่อไป)
หรืออย่างคิโทระที่เป็นมือดีคนหนึ่งของเรื่องก็บอกว่าให้ฝึกไป 2 ปีถึงจะเป็นไปได้ จากตรงนี้พระเอกโดนปฏิเสธถึง 3 ครั้งเลยทีเดียวสำหรับจะให้สอนเทคนิคใหม่ๆในการต่อสู้ ถ้าเป็นเรื่องอื่นตัวเอกอาจจะได้รับการสอนเทคนิคนั้นและเก่งในเวลารวดเร็วไปแล้ว ส่วนแนวทางที่เป็นไปได้คือการใช้ทริคเกอร์ง่ายๆอย่าง “เส้นลวด” ที่ใช้ทริออนน้อยในการสร้างเส้นลวดขึ้นมาซึ่งเป็นแนวทางที่เหมาะกับพระเอก ไม่เกินกำลังตัวเอง แต่จะต้องใช้กลยุทธ์หรือสมองในการใช้สำหรับทริคเกอร์นี้หน่อยเพราะว่าไม่สามารถโจมตีศัตรูได้โดยตรง เน้น support ให้เพื่อนร่วมทีมเท่านั้น
3. ไม่มีการพึ่งพลังมิตรภาพเพื่อระเบิดพลังพิเศษ
- สิ่งที่ถูกใจ ถูกจริตอีกอย่างหนึ่งก็คือไม่มีการระเบิดพลังมิตรภาพที่ทำให้ตัวเอกของเรื่องสามารถงัด tactic หรือใช้ option พิเศษของทริคเกอร์เพื่อให้ตัวเองจัดการคู่ต่อสู้ได้ เรามักจะเห็นภาพพระเอกเราเสียท่าให้คู่ต่อสู้เสมอๆ 555
( 2 ภาพนี้คือพระเอกเสียท่าให้กับคู่ต่อสู้เพราะขาดประสบการณ์ในการต่อสู้ทำให้ไม่ระวังในตำแหน่งตัวเองเลยทำให้โดน sniper ยิง และอีกภาพคิดว่าตัวเองชนะแล้ว คู่ต่อสู้สูญเสียทริออนจนไม่สามารถสู้ได้แต่กลับโดนกระสุนที่คู่ต่อสู้ตั้งการเคลื่อนที่ไว้ล่วงหน้ายิงพระเอกจนแพ้ )
หรืออย่างตัวละครตำแหน่ง Attacker อันดับ 1 ของเรื่องมีคอมเม้นท์ไว้ในตอนหนึ่งว่า “แค่ความรู้สึกในการต่อสู้ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ได้หรอกนะ สิ่งสำคัญคือ พลัง , กลยุทธ์ , โชค” ที่จริงมีคอมเม้นท์ต่อจากภาพนี้อีกว่าไม่อย่างนั้นผมจะมาอยู่จุดนี้ได้ยังไง 555 ฉากนี้ถือเป็น 1 ในประโยคเด็ดที่ผมชอบที่สุดของเรื่องนี้เลย
4. สเกลพลังค่อนข้างนิ่งมาก ไม่มีการเปิดตัวละครใหม่ๆเพื่อมากลบตัวละครเก่าๆ
โดยปกตินั้นการ์ตูนเรื่องทั่วไปมักจะปล่อยตัวเก่งๆช้าๆไว้ทีหลังแล้วมักจะปล่อยศัตรูใหม่ๆเก่งๆเพื่อตบตัวละครเก่งๆที่ออกมาตอนแรกๆ แต่นี่กลับปล่อย ตัวละครเก่งๆ ของเรื่องตั้งแต่ 30 ตอนแรกของเรื่อง และก็ยังคงความเก่งกาจนั้นไม่มีเปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นจุดที่ผมชอบมากๆที่อาจารย์ให้ความสำคัญกับการสร้างตัวละครแบบนี้
(ในภาพคือการเปิดตัว top team ของเรื่อง 3 ทีม)
(ส่วนภาพนี้คือคาซามะที่เปิดตัวตั้งแต่ต้นเรื่องอยู่ rank A-3 สามารถต่อสู้เดี่ยวๆและเอาชนะคู่ต่อสู้มือดีจากนอกโลกได้)
5. การกระจายบทบาทของตัวละครที่ดีแต่ละคนมีคาแรคเตอร์ ไม่มีตัวละครใช้แล้วทิ้ง
- สิ่งหนึ่งที่ทำให้คนอ่านปวดหัวสำหรับเรื่องนี้มากที่สุดก็คือตัวละครเยอะแบบเยอะมากกกกกกก แต่ว่าอาจารย์ก็ไม่ได้ออกแบบตัวละครมาเยอะๆเพื่อใช้แล้วทิ้ง แต่กลับพยายามใส่คาแรคเตอร์และนิสัยให้กับตัวละคร ทำให้คนอ่านสามารถจดจำได้ อย่างเช่นอิโคมะ Attacker No. 6 ถ้าอยู่ในการ์ตูนเรื่องอื่นแค่ได้ยินว่าอันดับ 6 มันก็ให้ความรู้สึกธรรมดาหรือเฉยๆๆละ แต่อาจารย์สร้างตัวละครนี้ขึ้นมาแล้วให้ทักษะอิโคมะอย่าง “อิโคมะเซนคู” ซึ่งเป็นการยืดระยะฟันโจมตีของทริคเกอร์โคเทตสึ ถ้ามองการต่อสู้ 1-1 โอเคว่าอิโคมะคืออันดับ 6 แต่ถ้ามองในแง่ teamplay การที่สามารถยืดระยะฟันมากกว่าคนทั่วไป 2 เท่า ทำให้ทีมได้เปรียบมหาศาลในการที่จะคอมโบการโจมตีกับทริคเกอร์อื่นๆ ด้วยทักษะนี้ ซึ่งอิโคมะอาจจะไม่ใช่ Attacker อันดับ 6 สำหรับการต่อสู้ระดับทีมก็เป็นได้
หรืออย่างซาซาโมริของหน่วยซูวะ เป็น Attacker ที่ไม่ติดอันดับ top ของเรื่องด้วยซ้ำ(ออกแนวตัวประกอบ) แต่อาจารย์ก็ไม่ทิ้งตัวละคร มีการเขียนโชว์ให้เห็นถึงการพัฒนาในด้านอารมณ์ จากที่ตอนการบุกรุกของเนเบอร์รอบแรกที่เกือบจะไม่ยอมฟังคำสั่งของคาซามะด้วยซ้ำเนื่องจากซูวะเพื่อนร่วมทีมโดนจับตัวไปทำให้คุมสติไม่อยู่ แต่พอการบุกรุกครั้งที่ 2 กลับนิ่งขึ้นเยอะมากและยึดตามแผนรักษาพื้นที่ไม่ให้ทหารทริออนเข้าไปกวนสไนเปอร์ ไม่ปล่อยอารมณ์ทำตามใจตัวเอง
(ภาพแรกคุมสติตัวเองไม่อยู่เพราะหัวหน้าหน่วยโดนจับไป)
(ภาพสองแสดงให้เห็นถึงความนิ่งด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้น)
6. แม้แต่เจ้าพ่อความซับซ้อนในการ์ตูนอย่างอาจารย์โยชิโร่ โทงาชิผู้แต่ง HunterxHunter ยังให้ความสนใจ โดยเป็น 1 ในการ์ตูน 3 เรื่องที่คนวาดอายุน้อยที่เค้าติดตาม
ภาพนี้คือบทสัมภาษณ์ของเจ้าตัวครับ
ปล. เพิ่มข้อ 6 เข้ามาเพราะพึ่งนึกขึ้นได้ 55
เสียดายแก้ไขหัวข้อกระทู้ไม่ได้แล้ว พลาดเลย
จบละครับ สิ่งที่อยากจะเขียน หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้คนอ่านตัดสินใจง่ายขึ้นว่าควรอ่านการ์ตุนเรื่องนี้หรือไม่
ขอบคุณครับ