23ตุลาคม61
น้องปุณแอดมิทคืนแรก ขึ้นมาประมาณ3-4ทุ่ม ชั้น10ก เตียง20 พยาบาลเรียกซักประวัติ ไม่เห็นแนะนำสถานที่เหมือนที่แจ้งตอนแรก คืนนั้นปุณงอแงมาก ทั้งพิษไข้ หอบและคงตกใจกลัว ดิฉันแทบไม่มีเวลาเดินไปไหน พยาบาลปิดไฟนอนประมาณตี1-2 ประมาณตี4ด้วยความที่ปุณร้องไห้ทั้งคืน หอบเริ่มเยอะมากขึ้น เอาลูกวางลงเตียงเด็ก น้องจะยืนและโยกเตียง เรากลัวน้องลื่นล้มในเตียงไม่ก็ปีนตกลงมา เลยไม่กล้าห่างออกมา ตัดสินใจกดออดหัวเตียงเรียก ก็ไม่มีเสียงตอบรับ ในใจคิดว่าออดอาตเสียหรือไม่ได้ใช้มานาน เลยเดินออกมานอกห้อง แต่ไม่เจอใคร ไฟก็ปิดหมด เลยเดินกลับมาที่เตียงเพราะลูกร้องหนักขึ้น อีกอย่างเคยไปตามพยาบาลมา2รอบแล้วเรื่องพัดลม กับเก็บฉี่และขอเปลี่ยนผ้าปู แทนที่เห็นเราอุ้มลูกอยู่จะช่วยสักนิดก็ไม่มี เอาผ้าปูมาวางให้แล้วก็ไป เราเกิดความเกรงใจ รู้สึกเหมือนขัดจังหวะเวลานอนของพยาบาลยังไงไม่รู้ ตี5-6โมง พยาบาลเอายาพ่นมาให้ เราลองแจ้งว่าน้องหอบเยอะ ไม่เห็นพยาบาลเดินเวร จะไปตามลูกก็ร้องหนักไม่กล้าทิ้งไป พยาบาลร่ายยาวเป็นหางว่าวว่าให้ตัดใจทิ้งลูกไปตาม ถ้าเป็นอะไรมาไม่คุ้ม เรารู้ตัวว่าเราลังเลและไม่กล้า แต่ในใจก็คิดลึกๆว่า น่าจะมีพยาบาลที่ต้องผลัดกันดูแลตอนดึก ขนาดเสียงเครื่องดังตั้งนานกว่าจะมีใครมารีเซทเครื่อง(ได้ยินเสียงเครื่องเตียงอื่นๆดังทั้งคืนและญาติต้องออกไปตามเอง ถ้าไม่ตามก็ไม่ค่อยมา เคยได้ยินนานสุดเป็นสิบๆนาที) ประมาณ6-7โมงได้ยินเสียงลำโพงเครื่องออดดัง2-3รอบเหมือนพบาบาลพึ่งเห็นสัญญาณแต่เราก็ไม่ได้พูดอะไร ฝั่งนู้นก็ไม่มีเสียงพูดเช่นกัน 8โมงโดยประมาณของวันที่24หมอมาดูอาการว่าน้องปุณอาการหนัก สั่งย้ายมาเตียง9 ต้องฝ้าดูอาการ ทุกอย่างปกติ หมอมาบ่อย ตรวจบ่อย งดน้ำงดอาหาร เราก็เริ่มชินกับการดูแลที่นี่แล้ว วันที่25เริ่มให้ทานนม เริ่มให้ดูดน้ำมูก แต่ไม่มีใครอธิบายเรื่องเวลาหรือการป้อนนมเพื่อให้สอดคล้องกับการดูดน้ำมูกเลย แรกๆก็มีปัญหาบ้าง ถ้ายังไม่ได้ทานอะไรไปก็ได้ดูด ทานไปแล้วก็อดดูดไป เลยสอบถามกับพยาบาลคนนึงเพื่อจะได้ปฏิบัติถูก พยาบาลคนนั้นก็อธิบายได้เข้าใจ น้องมีไข้บ่อยมาก ไม่ทราบสาเหตุ ถ้าไข้ต่ำเช็ดตัวก็หาย แต่พอผ่านไปซักชั่วโมงไข้ก็เริ่มมาอีก เราก็ถามพยาบาลเรื่องการให้ยาลดไข้ การเช็ดตัว ไข้ต่ำไข้สูงเป็นต้น ประมาณ5โมงเย็นวันนั้นน้องไข้สูงประมาณ38.6ถ้าจำไม่ผิด เราก็เช็ดตัว10นาทีเศษ ถึงเวลาพ่นยาก็พ่นยาต่อเลย น้องก็หลับ เราคุยโทรศัพท์กับญาติเห็นว่าน้องหลับก็คุยอยู่พักใหญ่ ปกติถ้าไข้สูงแบบนี้ประมาณ15นาทีพยาบาลจะเอายาลดไข้มาให้เอง และตอนนั้นก็เป็นรอบของการวัดไข้ของพยาบาลไม่ใช้เราไปตามมาพิเศษ เลยไม่ได้กังวลอะไร เราคุยโทรศัพท์ประมาณ30นาที ปรากฏว่ายังไม่มีใครเอายามาให้และน้องตัวร้อนมากขึ้น เลยตัดสินใจเช็ดตัวอีกรอบระหว่างรอให้สามีไปขอยาที่เคาน์เตอร์ พยาบาลที่เคาน์เตอร์พูดกับสามีเราว่านึกว่าได้แล้วซะอีก เห็นได้ชัดว่าคนวัดไข้กับคนนั่งเคาน์เตอร์ไม่ได้ประสานงานกัน ขณะเดียวกันทางฝ่ายเรามีชุดม่วงจะมาวัดไข้ซ้ำ เห็นเราเช็ดตัวลูกอีกก็รีบต่อว่า ว่าเราเช็ดตัวลูกบ่อย จะทำให้ลูกเพลียแทนที่จะได้พักผ่อน โดยไม่ได้ถามเหตุผลหรือให้เราอธิบาย แต่ก็ไม่ได้อธิบายต่อ ว่าเราควรเช็ดระยะเวลาห่างกันแค่ไหนในแต่ละรอบ ซึ่งความเป็นจริงคือเราไม่ได้ยาและเราก็รอเห็นว่านานเกินไปแล้วจึงให้สามีไปตาม เราก็เช็ดตัวรอเพราะเราเกรงว่ากว่ายาจะออกฤทธิ์ลูกเราจะแย่ซะก่อน ครั้งแรกกับครั้งที่2ก็ห่างกันประมาณ40นาที ยอมรับตอนนั้นโกรธจัดมาก ถ้าพูดคงปรี๊ดแตกโวยวายลั่น ซึ่งเราก็ไม่ได้อยากทำเช่นนั้น เราคุมสติและตอบเสื้อม่วงกลับได้แค่ _ค่ะ_ คือรับทราบ เรารู้ตัวว่าถ้าพูดตอนนั้นคงไม่มีประโยชน์ วันที่26อาการน้องดีขึ้นมีไข้ต่ำๆบ้าง ตอนเย็นย้ายมาอยู่เตียง1 วันที่27 อาการน้องค่อยๆดีขึ้นมีพยาบาลมาอธิบายการลดรอบพ่นยาและดูดน้ำมูก เราดีใจมากที่มีใครสนใจอธิบายเราก่อนบ้าง วันที่29 ถอดออกซิเจน ให้นักเรียนพยาบาลมาดูแล แต่น่าจะไม่ได้มีการส่งงานกัน น่าจะให้น้องศึกษาเอาเอง ซึ่งความใหม่ของน้องและไม่มีใครส่งงานต่อ ทำให้ตอนเช้าได้พ่นยาช้ากว่าปกติ ซึ่งปกติแล้ว ดูดน้ำมูกรอบ6โมงเช้าเสร็จแม่จะให้กินแค่นมก่อนเพราะข้าวจะมาประมาณ7เกือบ8โมง ซึ่งน้องเป็นเด็กเล็กทานข้าวได้ช้า ทำให้กระชั้นชิดไปสำหรับการดูดน้ำมูกรอบ9-10โมงเศษ พยาบาลบอกให้รอน้องนักเรียนวันนี้น้องนักเรียนกว่าจะมาวัดไข้ก็9โมง35โดยประมาณ 10โมงและยังไม่เอาที่พ่นยามาให้เลยซึ่งปกติเกือบคือพ่นยาเสร็จดูดน้ำมูกแล้ว เมื้อเที่ยงไม่มีปัญหาข้าวมาเที่ยงให้กินประมาณบ่ายโมงก็ทันเพราะดูดน้ำมูกอีกที5โมงเย็น ดูดน้ำมูกเสร็จก็ทานมื้อเย็นได้ ข้าวมา4โมง เราให้ทานประมาณ5โมงครึ่งคือดูดน้ำมูกเสร็จ เราก็ทำแบบนี้ปกติ แต่วันนี้10โมงกว่าแล้วยังไม่ได้อะไร ลูกเราหิว เลยเป็นเรื่องต้องปรับใหม่ หรือเปลี่ยนรอบให้ห่างขึ้นแล้วไม่มีใครมาแจ้งหรือไม่ อย่างไร โดยส่วนตัวเราก็ไม่ได้อย่างทำให้การทำงานของใครมีปัญหานะ เรามองว่าปัญหามันเกิดจากการไม่ประสานงาน การไม่พูดคุยมากกว่า พวกคุณเองทำให้งานของคุณมันยุ่งยากขึ้นเอง เกิดจากระบบงาน ไม่ได้โทษใครคนใดคนนึงนะคะ พยาบาลไม่คุยกับเพื่อนร่วมเองอาจเกิดจากการขัดแย้งกันภายในหรืออย่างอื่นอันนี้ไม่อาจทราบได้ และพยาบาลก็ไม่ให้ความรู้กับญาติคนไข้เท่าที่ควร ทำให้การทำงานไม่ราบรื่น ผลสุดท้ายกระทบที่สุดคือคนไข้ส่วนใหญ่คือเด็ก ที่รอการช่วยเหลือ คนที่มารพ.เห็นพวกคุณเป็นเหมือนเทพเจ้า ไม่ใช่แค่หมอ แต่คือทุกคนทุกกลุ่มงาน ทุกคนหนีร้อนมาพึ่งเย็น มาหาคุณด้วยความหวัง คุณอาจเหนื่อยกับงาน แต่อย่าลืมว่ามันคืองานที่คุณเลือกเอง อยากให้เต็มที่กับมัน ถ้าคุณส่งงานกันดี ประสานกับหมอดี ทำความเข้าใจกับญาติและคนไข้ ทุกคนมีส่วนสร้างทีมเวิร์ค เราเชื่อว่างานของคุณจะไม่ยุ่งยากยุ่งเหยิงแน่นอนค่ะ ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ ไม่ได้เอาผิดใครนะคะ ทุกคนที่นี่มีความรู้และประสบการณ์ มีความสามารถทุกคน ขอแสดงความนับถือค่ะ
รพ.แห่งความหวัง ใจกลางกรุงเทพ (ม10ก)
น้องปุณแอดมิทคืนแรก ขึ้นมาประมาณ3-4ทุ่ม ชั้น10ก เตียง20 พยาบาลเรียกซักประวัติ ไม่เห็นแนะนำสถานที่เหมือนที่แจ้งตอนแรก คืนนั้นปุณงอแงมาก ทั้งพิษไข้ หอบและคงตกใจกลัว ดิฉันแทบไม่มีเวลาเดินไปไหน พยาบาลปิดไฟนอนประมาณตี1-2 ประมาณตี4ด้วยความที่ปุณร้องไห้ทั้งคืน หอบเริ่มเยอะมากขึ้น เอาลูกวางลงเตียงเด็ก น้องจะยืนและโยกเตียง เรากลัวน้องลื่นล้มในเตียงไม่ก็ปีนตกลงมา เลยไม่กล้าห่างออกมา ตัดสินใจกดออดหัวเตียงเรียก ก็ไม่มีเสียงตอบรับ ในใจคิดว่าออดอาตเสียหรือไม่ได้ใช้มานาน เลยเดินออกมานอกห้อง แต่ไม่เจอใคร ไฟก็ปิดหมด เลยเดินกลับมาที่เตียงเพราะลูกร้องหนักขึ้น อีกอย่างเคยไปตามพยาบาลมา2รอบแล้วเรื่องพัดลม กับเก็บฉี่และขอเปลี่ยนผ้าปู แทนที่เห็นเราอุ้มลูกอยู่จะช่วยสักนิดก็ไม่มี เอาผ้าปูมาวางให้แล้วก็ไป เราเกิดความเกรงใจ รู้สึกเหมือนขัดจังหวะเวลานอนของพยาบาลยังไงไม่รู้ ตี5-6โมง พยาบาลเอายาพ่นมาให้ เราลองแจ้งว่าน้องหอบเยอะ ไม่เห็นพยาบาลเดินเวร จะไปตามลูกก็ร้องหนักไม่กล้าทิ้งไป พยาบาลร่ายยาวเป็นหางว่าวว่าให้ตัดใจทิ้งลูกไปตาม ถ้าเป็นอะไรมาไม่คุ้ม เรารู้ตัวว่าเราลังเลและไม่กล้า แต่ในใจก็คิดลึกๆว่า น่าจะมีพยาบาลที่ต้องผลัดกันดูแลตอนดึก ขนาดเสียงเครื่องดังตั้งนานกว่าจะมีใครมารีเซทเครื่อง(ได้ยินเสียงเครื่องเตียงอื่นๆดังทั้งคืนและญาติต้องออกไปตามเอง ถ้าไม่ตามก็ไม่ค่อยมา เคยได้ยินนานสุดเป็นสิบๆนาที) ประมาณ6-7โมงได้ยินเสียงลำโพงเครื่องออดดัง2-3รอบเหมือนพบาบาลพึ่งเห็นสัญญาณแต่เราก็ไม่ได้พูดอะไร ฝั่งนู้นก็ไม่มีเสียงพูดเช่นกัน 8โมงโดยประมาณของวันที่24หมอมาดูอาการว่าน้องปุณอาการหนัก สั่งย้ายมาเตียง9 ต้องฝ้าดูอาการ ทุกอย่างปกติ หมอมาบ่อย ตรวจบ่อย งดน้ำงดอาหาร เราก็เริ่มชินกับการดูแลที่นี่แล้ว วันที่25เริ่มให้ทานนม เริ่มให้ดูดน้ำมูก แต่ไม่มีใครอธิบายเรื่องเวลาหรือการป้อนนมเพื่อให้สอดคล้องกับการดูดน้ำมูกเลย แรกๆก็มีปัญหาบ้าง ถ้ายังไม่ได้ทานอะไรไปก็ได้ดูด ทานไปแล้วก็อดดูดไป เลยสอบถามกับพยาบาลคนนึงเพื่อจะได้ปฏิบัติถูก พยาบาลคนนั้นก็อธิบายได้เข้าใจ น้องมีไข้บ่อยมาก ไม่ทราบสาเหตุ ถ้าไข้ต่ำเช็ดตัวก็หาย แต่พอผ่านไปซักชั่วโมงไข้ก็เริ่มมาอีก เราก็ถามพยาบาลเรื่องการให้ยาลดไข้ การเช็ดตัว ไข้ต่ำไข้สูงเป็นต้น ประมาณ5โมงเย็นวันนั้นน้องไข้สูงประมาณ38.6ถ้าจำไม่ผิด เราก็เช็ดตัว10นาทีเศษ ถึงเวลาพ่นยาก็พ่นยาต่อเลย น้องก็หลับ เราคุยโทรศัพท์กับญาติเห็นว่าน้องหลับก็คุยอยู่พักใหญ่ ปกติถ้าไข้สูงแบบนี้ประมาณ15นาทีพยาบาลจะเอายาลดไข้มาให้เอง และตอนนั้นก็เป็นรอบของการวัดไข้ของพยาบาลไม่ใช้เราไปตามมาพิเศษ เลยไม่ได้กังวลอะไร เราคุยโทรศัพท์ประมาณ30นาที ปรากฏว่ายังไม่มีใครเอายามาให้และน้องตัวร้อนมากขึ้น เลยตัดสินใจเช็ดตัวอีกรอบระหว่างรอให้สามีไปขอยาที่เคาน์เตอร์ พยาบาลที่เคาน์เตอร์พูดกับสามีเราว่านึกว่าได้แล้วซะอีก เห็นได้ชัดว่าคนวัดไข้กับคนนั่งเคาน์เตอร์ไม่ได้ประสานงานกัน ขณะเดียวกันทางฝ่ายเรามีชุดม่วงจะมาวัดไข้ซ้ำ เห็นเราเช็ดตัวลูกอีกก็รีบต่อว่า ว่าเราเช็ดตัวลูกบ่อย จะทำให้ลูกเพลียแทนที่จะได้พักผ่อน โดยไม่ได้ถามเหตุผลหรือให้เราอธิบาย แต่ก็ไม่ได้อธิบายต่อ ว่าเราควรเช็ดระยะเวลาห่างกันแค่ไหนในแต่ละรอบ ซึ่งความเป็นจริงคือเราไม่ได้ยาและเราก็รอเห็นว่านานเกินไปแล้วจึงให้สามีไปตาม เราก็เช็ดตัวรอเพราะเราเกรงว่ากว่ายาจะออกฤทธิ์ลูกเราจะแย่ซะก่อน ครั้งแรกกับครั้งที่2ก็ห่างกันประมาณ40นาที ยอมรับตอนนั้นโกรธจัดมาก ถ้าพูดคงปรี๊ดแตกโวยวายลั่น ซึ่งเราก็ไม่ได้อยากทำเช่นนั้น เราคุมสติและตอบเสื้อม่วงกลับได้แค่ _ค่ะ_ คือรับทราบ เรารู้ตัวว่าถ้าพูดตอนนั้นคงไม่มีประโยชน์ วันที่26อาการน้องดีขึ้นมีไข้ต่ำๆบ้าง ตอนเย็นย้ายมาอยู่เตียง1 วันที่27 อาการน้องค่อยๆดีขึ้นมีพยาบาลมาอธิบายการลดรอบพ่นยาและดูดน้ำมูก เราดีใจมากที่มีใครสนใจอธิบายเราก่อนบ้าง วันที่29 ถอดออกซิเจน ให้นักเรียนพยาบาลมาดูแล แต่น่าจะไม่ได้มีการส่งงานกัน น่าจะให้น้องศึกษาเอาเอง ซึ่งความใหม่ของน้องและไม่มีใครส่งงานต่อ ทำให้ตอนเช้าได้พ่นยาช้ากว่าปกติ ซึ่งปกติแล้ว ดูดน้ำมูกรอบ6โมงเช้าเสร็จแม่จะให้กินแค่นมก่อนเพราะข้าวจะมาประมาณ7เกือบ8โมง ซึ่งน้องเป็นเด็กเล็กทานข้าวได้ช้า ทำให้กระชั้นชิดไปสำหรับการดูดน้ำมูกรอบ9-10โมงเศษ พยาบาลบอกให้รอน้องนักเรียนวันนี้น้องนักเรียนกว่าจะมาวัดไข้ก็9โมง35โดยประมาณ 10โมงและยังไม่เอาที่พ่นยามาให้เลยซึ่งปกติเกือบคือพ่นยาเสร็จดูดน้ำมูกแล้ว เมื้อเที่ยงไม่มีปัญหาข้าวมาเที่ยงให้กินประมาณบ่ายโมงก็ทันเพราะดูดน้ำมูกอีกที5โมงเย็น ดูดน้ำมูกเสร็จก็ทานมื้อเย็นได้ ข้าวมา4โมง เราให้ทานประมาณ5โมงครึ่งคือดูดน้ำมูกเสร็จ เราก็ทำแบบนี้ปกติ แต่วันนี้10โมงกว่าแล้วยังไม่ได้อะไร ลูกเราหิว เลยเป็นเรื่องต้องปรับใหม่ หรือเปลี่ยนรอบให้ห่างขึ้นแล้วไม่มีใครมาแจ้งหรือไม่ อย่างไร โดยส่วนตัวเราก็ไม่ได้อย่างทำให้การทำงานของใครมีปัญหานะ เรามองว่าปัญหามันเกิดจากการไม่ประสานงาน การไม่พูดคุยมากกว่า พวกคุณเองทำให้งานของคุณมันยุ่งยากขึ้นเอง เกิดจากระบบงาน ไม่ได้โทษใครคนใดคนนึงนะคะ พยาบาลไม่คุยกับเพื่อนร่วมเองอาจเกิดจากการขัดแย้งกันภายในหรืออย่างอื่นอันนี้ไม่อาจทราบได้ และพยาบาลก็ไม่ให้ความรู้กับญาติคนไข้เท่าที่ควร ทำให้การทำงานไม่ราบรื่น ผลสุดท้ายกระทบที่สุดคือคนไข้ส่วนใหญ่คือเด็ก ที่รอการช่วยเหลือ คนที่มารพ.เห็นพวกคุณเป็นเหมือนเทพเจ้า ไม่ใช่แค่หมอ แต่คือทุกคนทุกกลุ่มงาน ทุกคนหนีร้อนมาพึ่งเย็น มาหาคุณด้วยความหวัง คุณอาจเหนื่อยกับงาน แต่อย่าลืมว่ามันคืองานที่คุณเลือกเอง อยากให้เต็มที่กับมัน ถ้าคุณส่งงานกันดี ประสานกับหมอดี ทำความเข้าใจกับญาติและคนไข้ ทุกคนมีส่วนสร้างทีมเวิร์ค เราเชื่อว่างานของคุณจะไม่ยุ่งยากยุ่งเหยิงแน่นอนค่ะ ฝากเรื่องนี้ด้วยนะคะ ไม่ได้เอาผิดใครนะคะ ทุกคนที่นี่มีความรู้และประสบการณ์ มีความสามารถทุกคน ขอแสดงความนับถือค่ะ