‘บี้’ จัดระเบียบตัวเอง ยึดความสุข – ความกตัญญู

กลับมาทวงพื้นที่งานในวงการบันเทิง สำหรับซูเปอร์สตาร์หนุ่ม ‘บี้’ สุกฤษฎ์ วิเศษแก้ว ทั้งผลงานการแสดงละครเรื่อง “พรหมไม่ได้ลิขิต” ทางช่องวัน ที่จับคู่กับนางเอกสาว ‘เอสเธอร์ สุปรีย์ลีลา’ และผลงานซิงเกิลล่าสุด “ก่อนเช้า”


หายจากการทำเพลงไปนานเกือบ 2 ปี?
บี้ – “เกือบ 2 ปี เพลงล่าสุดคือ ‘ถลำ’ แต่ก็ยังทำเพลงอยู่เรื่อยๆ ทำแล้วรู้สึกว่าไม่ใช่ก็เก็บ เลยทำละครเรื่อง เธอคือพรหมลิขิต กับ พรหมไม่ได้ลิขิต พอละครจบ จึงมีโอกาสปลุกปล้ำเรื่องเพลง จนได้เพลง ‘ก่อนเช้า’ ขึ้นมา กลับมาคราวนี้ปรับลุกส์เบาๆ ดูโตขึ้นตามวัย แนวเพลงเป็นป๊อปอย่างที่คุ้นเคย แต่จะมีกลิ่น R&B, SOUL ผสม ซึ่งตอนเพลงเสร็จสมบูรณ์และครั้งแรกที่ได้ฟังก็รู้สึกว่า ดีใจและหายเหนื่อย เพราะค่อนข้างทุ่มเทเต็มที่ เพื่อให้ผลงานออกมาดีและถูกใจทุกๆคน”


แล้วละคร “พรหมไม่ได้ลิขิต” เป็นยังไงบ้าง?
บี้ – “โอเคครับ ละคร พรหมไม่ได้ลิขิต เกิดขึ้นได้เพราะเกิดกระแสเรียกร้องต่อเนื่องจากละคร เธอคือพรหมลิขิต ว่าอยากเห็นผมกับเอสเธอร์เล่นละครคู่กันอีก ก็เลยจัดให้ แต่ละครสองเรื่องไม่เกี่ยวข้องกันหรือต่อเนื่องกัน มันคือคนละเรื่องเลย บทบาทในเรื่องนี้ผมจะเป็นไฮโซแล้วเกิดป่วย เอสเธอร์ก็เป็นพยาบาลที่เข้ามาดูแล ทำให้เราเรียนรู้การให้ รวมถึงการเสียสละจากเขา นี่คือจุดเริ่มต้นความรักของพระเอกกับนางเอก ส่วนเรื่องความกดดัน ไม่กดดันนะ ผมสนุก สบายใจ มีความสุขกับการทำงานนี้ ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้สามารถส่งไปถึงคนดูได้”


ชีวิตของบี้ตอนนี้เป็นอย่างไร?
บี้ – “ผมได้แบ่งเวลาตัวเอง 7 วัน จันทร์-ศุกร์ จะรับงานสัก 3-4 วัน อีกวันนึงได้มีโอกาสดูแลตัวเอง ดูแลครอบครัว ดูแลเพื่อน ดูแลสิ่งรอบข้างที่เราไม่เคยได้ดูแล เสาร์-อาทิตย์ก็ไปดูแลจิตใจตัวเองที่วัด”

เริ่มจัดเวลาตัวเองให้เป็นระบบตั้งแต่ตอนไหน?
บี้ – “เริ่มตั้งแต่ต้นปีนี้ หรือปลายๆ ปีที่แล้ว เพราะดูคนรอบตัวทีมงานหลายๆคนป่วยเข้าโรงพยาบาล เขาทำงานหนัก 7 วัน เรารู้สึกว่าไม่น่าใช่คำตอบ ขณะที่เรามีคุณพ่อคุณแม่ มีเพื่อน คนพวกนี้เราจะไม่ให้เวลากับเขาหน่อยเหรอ ทำไมต้องให้เวลากับงาน 7 วันเพื่อไปนอนโรงพยาบาล เราได้เรียนรู้ว่าการทำงาน 7 วัน ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง การแบ่งเวลาให้ถูกต้องและเหมาะสมน่าจะเป็นเรามากกว่า”

2 ปีที่ผ่านมา ที่ใช้ชีวิตไม่หักโหมกับงาน คนรอบข้างว่าอย่างไร?
บี้ – “ทุกคนสบายใจมาก เรามีเวลาให้คนรอบข้าง ให้พ่อให้แม่หรือแม้แต่เพื่อนที่ถูกทิ้งไป เขาก็ทักมาวันนี้ว่างมั้ย ว่าง ถ้าเป็นเมื่อก่อน ไม่ได้ มันมีทำงานต่อ”

ความสุขเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ทำงานหนักๆ กับเมื่อ 2 ปีที่เราเริ่มปล่อยว่างมากขึ้น ต่างกันไหม?
บี้ – “แตกต่างกัน เมื่อก่อนถ่ายละคร 8 เดือนเครียด แล้วต้องรออีกว่า 2 เดือนที่ละครออนแอร์ดังหรือเปล่า ถ้าดังรอดตัวมีความสุข 2 เดือน ถ้าไม่ดังไปเลย 1 ปีจบ ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผมไม่ได้เครียดขนาดนั้นนะ แต่ทำงานหนัก มันต้องไปหวังความสุขจากผลงานที่สำเร็จแล้ว ขณะที่ทำงานก็มีภาวะกดดัน”

10 ปีที่ทำงานหนัก เคยร้องไห้ไหมว่าทำไมต้องทำเยอะขนาดนี้?
บี้ – “ร้องไห้ตลอด เหมือนทำงาน 8 วันต่ออาทิตย์ ไปบ่นกับผู้จัดการว่าถ้าฉันตายจะมีคนมาทำให้มั้ย ถามตัวเองตลอดว่าทำงานเยอะไปทำไม ที่บ้านพ่อแม่ก็ไม่ได้ใช้เงิน เขากินข้างอยู่ตลาดที่เชียงใหม่ เปิดร้านกาแฟเล็กๆ มีความพอเพียง เมื่อก่อนเขาเป็นอย่างนี้ พอเราเข้าวงการเขาก็เป็นอย่างนี้ ก่อนเราเข้าวงการเรากินข้าวกินปลากับเพื่อนง่ายๆ เข้าวงการแล้วเราก็เป็นอย่างนั้น คอนโดฯ ที่อยู่เมื่อก่อนเราก็อยู่อย่างนี้ ไม่ได้อยู่หรูขึ้น อยากลองซื้อรถหรูก็ไม่ใช่เรา เราชอบแบบนี้ ชีวิตสบายๆ ทำไมต้องทำงาน 7 วัน เพื่อหาเงินเกินตัวแล้วเอาไปทำอะไร ตัวเองก็ใช้อยู่แค่เท่าที่เล่าให้ฟัง ฉะนั้นเลยตัดปัญหาโจทย์ที่ว่าทำงาน 7 วันเพื่อหาเงินเกินตัวไม่มีประโยชน์”


ร้องไห้เสร็จให้คำตอบตัวเองอย่างไร?
บี้ – “คำตอบตอนนั้นคือเจ้านายเป็นคนให้โอกาส เพราะมีคนที่ร้องเพลงเก่งกว่าเราเต็มค่าย แต่ไม่ได้ออกอัลบั้ม มีคนเต้นเก่งกว่าแต่ไม่ได้อยู่ด้านหน้า มีคนเล่นละครเก่งกว่าแต่ไม่ได้เป็นพระเอก แต่ 3 อย่างนี้ผมได้ทำหมดถือเป็นโอกาส ฉะนั้นทุกวันที่ตื่นมาอย่างหนึ่งที่ผมมีคือต้องทดแทนบุญคุณทุกคนที่มีบุญคุณ เรื่องความกตัญญูติดตัวตั้งแต่เด็ก เจ้านายมีบุญคุณ ถ้าทำให้เขามีความสุขได้จากตัวงานที่เราทำเรายินดีเหนื่อยที่จะทำ อันนี้คือจุดยืนของผม”

เมื่อปลายปีที่แล้วที่ตัดสินใจเดินไปบอก คุณบอย-ถกลเกียรติ ว่าอย่างไร?
บี้ – “บอกว่าทุกวันนี้ผมอยู่ด้วยความกตัญญู ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเอง ผมแบ่งเป็น 4 คน อันดับแรกพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด สองคนที่โอกาสในอาชีพคือเจ้านาย สามคือคนให้ความรู้ด้านจิตใจ ความจริงของโลกคือพระ จะแบ่งเวลาให้ 4 ท่านนี้อันดับแรก นอกนั้นแล้วแต่งานแต่ละวัน เจ้านายฟังก็โอเค ไม่เสียหาย เพียงแต่ทำให้งานลดลงบ้าง ก็มีกระทบต่อการทำงาน แต่ฟังเหตุผลแล้วน่าฟัง ก็เลยโอเค”

เมื่อ 10 ปีที่อยู่มาได้เพราะความกตัญญู คนอาจมองว่าทนอยู่เพราะชื่อเสียงความเป็นซูเปอร์สตาร์?
บี้ – “ผมไม่เคยหลงไปกับความเป็นซูเปอร์สตาร์ เราจับความกตัญญูอยู่ในใจเรา เสียงฟีดแบ็กจากคนอื่นจึงไม่มีความหมาย แต่เสียงฟีดแบ็กจากเจ้านาย หรือคนรอบข้าง เขาคือคนใกล้ชิด รักและหวังดีกับเรา เราให้เกียรติเสียงเหล่านั้น ฉะนั้นเสียงโห่ร้องเสียงสรรเสริญเลยไม่มีสิทธิทำให้เราเหลิง แต่ถ้าเสียงเหล่านั้นเป็นคำชื่นชมยินดี เราน้อมรับ ถ้าเป็นคำติ จะดูว่าติเพราะคุณรักเราหรือเปล่า อันนี้ยอมรับ แต่ถ้าก่นด่าไม่ใช่ ต้องพิจารณาดีๆ”
“เราเป็นตัวเรามานานแล้ว ใช้ชีวิตปกติ โชคดีชีวิตปกติของผมไม่ได้เป็นชีวิตร้ายแรง ความเป็นบี้ไม่เหนื่อยเลย เพียงแต่ทำงานทุกอย่างให้เต็มที่ ตอบแทนสิ่งที่ทุกคนให้มา เราเดินด้วยความกตัญญู ฉะนั้นหัวใจตรงนี้มันครอบงำทุกอย่างไว้ เมื่อไหร่ที่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงมันจะแค่นิดหน่อย”

เชื่อว่าความกตัญญูส่งผลให้ชีวิตดี?
บี้ – “ถูก ฉะนั้นเรื่องราวร้ายแรงจึงไม่ได้เกิดกับเรามากนัก เราเจอใครก็ให้ความรักทุกคน ไม่คิดร้าย แม้เขาจะด่าเราก็เข้าใจ มันเป็นอารมณ์ของเขา ก็ให้ความรัก ถ้าเขาไม่ชอบเราก็แค่อยู่ห่างๆ”

รู้ใช่ไหมว่ามีคนอยากจะมาเป็นเรา?
บี้ – “รู้ เราจึงเลือกจะไม่ถามไม่พูด ถ้าเขามาถามว่าอยากเป็นบี้ต้องทำยังไง ถึงจะบอก ใครอยากได้อะไรที่เราให้คำปรึกษาได้ เอาไปเลย ถ้าอยากมายืนตรงนี้ คุณทำได้คุณเอาไปเลย ผมไม่ได้กั๊กตำแหน่งนี้ว่าต้องมีผมคนเดียว”

ถ้าให้แนะนำการจะขึ้นมายืนหนึ่ง ต้องทำอย่างไร?
บี้ – “อย่างแรกต้องมีวินัย ขวนขวายใฝ่หาความรู้และฝึกฝนตนเองอยู่เสมอ ให้ความรักแก่ทุกๆคน ถ้าคุณทำตัวหยิ่งยโส ไม่มีใครรักคุณแน่นอน หลังจากนั้นคุณต้องโชว์ความสามารถในสิ่งที่คุณเก็บสะสมมาให้คนได้เห็นว่าคนนี้มีความสามารถจริง และหลังจากนนั้นต่อยอดพัฒนาตัวเอง กระตือรือร้น แค่นั้นแหละ”


จากนี้วางแผนจะอยู่วงการบันเทิงอยู่ไหม หรือจะเฟดตัวลงไปเรื่อยๆ?
บี้ – “เราเริ่มมีตารางชัดเจนมากขึ้น จะทำแบบนี้เรื่อยๆ จนกว่าไม่มีใครต้องการเราแล้ว เราก็จะออก ผมไม่เคยมองการเกษียณของตัวเอง เพราะกลับมาที่คำตอบแรกว่า คนเหล่านี้ให้โอกาสเรา เราทิ้งเขาไม่ได้จนกว่าเมื่อไหร่ที่เราไม่มีประโยชน์กับเขาอีกต่อไปแล้ว เราถึงจะออก นี่คือคำตอบเดียว”

ตอนนี้กับสิ่งที่มีอยู่คือเราพอเพียงแล้ว?
บี้ – “ใช่ เรารู้สึกมีความสุขมากที่เราไม่ได้คาดหวังผลลัพธ์ พอเราละทิ้งคาดหวัง เราอยู่อย่างมีความสุขในทุกๆวัน ผมไม่คาดหวังผลลัพธ์แต่ผมทำงานทุกวันเต็มที่ ไม่ใช่ว่าผมไม่คาดหวังแล้วจะทำงานง่อยเปลี้ย ขอไปที ไม่ใช่ แบบนี้ถือว่าเอาเปรียบคนอื่น งานไหนที่ทำแล้วไม่มีความสุข เกิดความเครียดคนรอบข้างก็จะเครียด เราจะไม่ทำ เวลาทำงานผมไม่ชอบให้คนมาลำบากเพราะเรา”

บี้ไม่คิดจะบวชตลอดชีวิตใช่ไหม คนฝากถามมาเยอะมาก?
บี้ – “ไม่บวชแล้วครับ เพราะผมได้ศึกษาและได้เห็นว่า ทำธรรมะคือเราต้องพัฒนาจิตใจ ไม่ได้สอนให้พัฒนาด้านร่างกาย ฉะนั้นเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม หรือการโกนหัวเพียงแค่สิ่งภายนอก แต่ถ้าจิตใจเราสามารถพัฒนาได้ ตรงนี้สำคัญกว่า”

เรื่องความรักจะละเรื่องนี้ไปเลยหรืออย่างไร?
บี้ – “ความรักคือความเสี่ยง ถ้าเปรียบชีวิตความรักเป็นเหมือนการเข้าบ่อนการพนัน ถ้าคุณเลือกเข้าบ่อน มันมีโอกาสทำให้คุณได้เงินมากขึ้น แต่อย่าลืมนะ มันก็มีโอกาสทำให้คุณหมดตัวเหมือนกัน ถ้าทุกวันนี้คุณมีเงิน มีความสุข พอเพียงกับชีวิตอยู่แล้ว คุณจะเลือกเสี่ยงเข้าไปเล่นสิ่งนั้นหรือเปล่า”

พูดเหมือนจะไม่มีความรักอีกแล้ว?
บี้ – “ไม่ได้บอกว่าไม่มี แต่คุณจะเลือกเสี่ยงหรือเปล่า ทุกวันนี้ถ้าเรามีความสุขในชีวิตอยู่แล้ว คุณจะเลือกหาคนเข้ามาในชีวิตเพื่อให้คุณมีความสุขมากขึ้น หรืออยากหาคนเข้ามาในชีวิตเพื่อให้ชีวิตคุณแย่ลง ตอนนี้ผมเลือกจะไม่เดินเข้าบ่อนเพราะเรามีความสุขในชีวิตอยู่แล้ว และความสุขของเราพอเพียงแล้ว มันเติมเต็มเราและเติมเต็มทุกคนได้”

มีใครเข้ามาบ้างมั้ย?
บี้ – “ก็มีเข้ามา แต่ผมบอกชัดเจนเลยว่าเป็นเพื่อนกัน ไม่ทำตัวให้ความหวัง ปฏิบัติตัวเหมือนเพื่อนพี่น้อง ถ้าจะเกินเลยกว่านี้ก็จะบอกว่า เราไม่ได้เลือกรับความเสี่ยงตรงนี้ ตอนนี้ผมใช้ชีวิตปกติ แบบที่เจอแล้วถูกใจก็มี แต่จะคุยเหมือนเพื่อน ไม่แทงกั๊กหรือเก็บเขาไว้ ไม่ได้คุยเป็นเพื่อนเพื่อจะไปพัฒนาไปเป็นแฟน จะไม่ไปแหย่หรือไปหว่านเสน่ห์”

ความเสี่ยงนั้นบี้ไม่ได้สร้างขึ้นเป็นกำแพงใช่ไหม?
บี้ – “ไม่ได้เป็นกำแพง เพียงแต่สมมติไปงานเจอน้องๆ เราก็ไปนั่งเล่นกินข้าว คุยเล่น สนุกสนาน เทกแคร์ดูแล มีความสุขทั้งสองฝ่าย แต่จะไม่มีการมือชน เราไม่ได้กลัว เพราะอย่างที่บอกว่าเราไม่ได้อยากเบียดเบียนเขา เพราะการที่เราทำแบบนั้นจะทำให้เขาเสียใจภายหลัง สักวันเรารู้ว่าเขาต้องจากไปโดยการทิ้งของเรา ฉะนั้นจุดเริ่มต้นตรงนี้เรารู้แล้วว่าเราอย่าทำ เรารู้ว่าสักวันเขาต้องเสียใจ”

พ่อแม่รู้หรือเปล่าว่าจะครองโสด?
บี้ – “ไม่รู้ถ้าคุณไม่เอาบทสัมภาษณ์ไปให้เขาดู ผมไม่ได้ประกาศชัดเจนว่าจะโสด ถ้าวันนึงเจอผู้หญิงที่มาเติมเต็มความสุข มีความเข้าใจและส่งเสริมซึ่งกันและกัน มีความคิดเห็นไปทางเดียวกัน เดี๋ยวค่อยมาว่ากัน แต่ตอนนี้คือยังไม่มี”

ผู้หญิงหลายคนอยากเป็นแฟนบี้ อาจจะยอมปรับตัวก็ได้?
บี้ – “ยอมปรับตัวแต่ไม่ใช่ตัวตน ถ้ายอมปรับตัวคงไม่น่าเกิน 1-2 ปี ถ้าตัวตนเป็นอย่างที่เราพูดอยู่แล้ว อันนั้นแหละหนึ่งในตองอู”


แหล่งที่มา : บทสัมภาษณ์โดยคุณอฑิตยา เพาะปลูก จากหนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันอาทิตย์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ.2561
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่