ขอออกตัวก่อนเลยค่ะ ว่านี่เป็นกระทู้แรกที่เขียน จะเป็นผู้อ่านเงียบๆ สะส่วนใหญ่ ก่อนจะทนไม่ไหวสมัครสมาชิกมาแชร์ประสบการณ์ชวนขนหัวลุก ให้ทุกคนได้อ่านกัน อาจจะมีการใช้ภาษาถิ่น ใช้คำหรือสำนวนผิดพลาดไปบ้างก็ขออภัยล่วงหน้านะคะ ซึ่งเรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ จะจริงไม่จริงก็สุดแล้วแต่วิจารณญาณของผู้อ่าน เพราะเราเองก็ไม่แน่ใจในสิ่งที่พบที่เจอนั้นจะใช่ผี วิญญาณหรือไม่ จะเป็นความบังเอิญที่เกิดขึ้นพร้อมๆ กัน ในช่วงเวลาเดียวกันเท่านั้น ก็ไม่อาจทราบได้แหะๆ แต่ก็ทำให้เราจำได้ไม่ลืมจนทุกวันนี้เลยละค่ะ
เราอาศัยอยู่ที่จังหวัดหนึ่งในภาคอีสานตอนล่าง ซึ่งถือว่าเป็นจังหวัดที่ความเจริญยังน้อยอยู่ในสมัยนั้น เรื่องผีจึงมีอิทธิพลในการดำเนินชีวิตมากๆ แต่เราเองจะเป็นคนที่ไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ แม้พี่ๆ ปู่ย่าจะเล่าขู่ให้กลัวเวลาออกไปเล่นกับเพื่อนๆ อยู่เสมอก็ตาม เข้าเรื่องกันเลยค่ะ เรื่องนี้เกิดขึ้นในตอนที่
เราอายุได้ประมาณ 8-9 ขวบ กำลังดื้ออยากรู้อยากเห็นเลยค่ะ บวกกับเพื่อนๆ วัยเดียวกันในตอนนั้นมีแต่ผช. เลยต้องเล่นอะไรห่ามๆ ไม่งั้นจะไม่ได้เล่นด้วย และสถานที่ที่ชอบไปชุมนุมกันก็คือบ่อเลี้ยงกบของลุงคนหนึ่งในหมู่บ้าน ลักษณะจะเป็นบ่อซีเมนท์ ไม่สูงมาก มีหลุมซึ่งน่าจะทำเป็นบ่อน้ำเล็กๆ ให้กบ แต่น้ำนี่ออกสีเขียว มีตะไคร่เกาะเต็ม มีครั้งหนึ่งที่เราลงไปไล่จับกบ ไม่รู้ว่าจับยังไงลื่นตะไคร่น้ำจนหัวเข่าถลอก ปากแตกได้แผลกลับบ้านพร้อมกบในห่อเสื้อด้วยความภาคภูมิใจ ยังดีที่ไม่โดนกระเบื้องแตกๆ ที่ลุงเจ้าของแกเอามาไว้คอยให้พวกกบได้หลบแดดกัน กลิ่นคาวน้ำ คาวกบคลุ้ง แต่เพราะมันร่มด้วยต้นไผ่ที่เรียงรายล้อมรอบ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะใช้เป็นสนามเด็กเล่น ซึ่งบ่อกบนี้จะอยู่ห่างจากบ้านเราประมาณ 1 กิโลได้ และเรื่องที่จะเล่าก็เกิดในระหว่างเดินทางจากบ้านไปบ่อเลี้ยงกบนี่ละค่ะ ช่วงปิดภาคเรียน เวลาบ่ายแก่ๆ พวกเพื่อนส่วนใหญ่จะไปกันก่อนแล้ว เพราะกว่าเราจะแอบแม่กับย่าออกมาได้สำเร็จก็นานโข ทางที่จะไปที่ใกล้ที่สุดคือเดินผ่านข้างหลังโรงสีข้าว วันไหนโชคดีก็เดินผ่านชิลๆ โชคร้ายหน่อยก็ต้องฝ่าดงเปลือกข้าวที่โรงสีพ่นออกมา โดนขา โดนตัว แต่ละทีแสบสะท้านทรวงเลยล่ะค่ะ บางวันเจ้าของโรงสีก็ปล่อยห่านออกมา บรรดาห่านๆ นี่ดุยิ่งกว่าหมาเสียอีก เดินมาเจอกันทีไรเป็นอันต้องได้วิ่งหลบวิ่งหนีกันให้วุ่น และข้างๆ โรงสีข้าวจะมีบ้านหลังหนึ่งซึ่งสวยมากในสมัยนั้น เพราะเป็นบ้านปูนทั้งหลัง มีประตูไม้บานใหญ่ สวยเหมือนกับบ้านในละครทีวีเลยค่ะ ผิดกับบ้านเราที่เป็นร้านขายของชำ ประตูไม้บานพับ ดูเหมือนบ้านผีสิงยังไงอย่างงั้น เราจึงชอบหยุดดูนานๆ ทุกครั้งที่ผ่าน และในจังหวะที่กำลังเดินผ่าน เราก็สังเกตเห็นว่าประตูบ้านหลังนั้นเปิดอยู่ โดยปกติที่ผ่านไม่เคยเห็นเปิดเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับเปิดอ้าราวกับว่าจะเชิญชวนให้เข้าไป ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เราเลยหยุดเดินและค่อยๆ เดินตรงไปที่บ้านหลังนั้น ยืนชะเง้อคอสอดส่องดูลาดเลาอยู่นานก่อนจะหันมาเห็นหญิงชราผมรองทรงสีดอกเลา ใส่เสื้อกระแล่ง ผ้าถุงสีซีดๆ ที่นอนมองเราอยู่ก่อนแล้วบนแคร่ไม้ข้างประตูอีกฝั่ง อารมณ์ตอนนั้นคือตกใจมาก แต่ความอยากรู้มันมีเยอะ เลยยืนมองอยู่อย่างนั้น พลางนึกในใจว่ามีคนอยู่ด้วยหรือนี่ สักพักยายแกก็ยกมือขึ้นกวักเรียก (ขอเรียกว่ายายละกันนะคะ) เราไม่รอช้า ปรี่เข้าไปหาประหนึ่งว่าเป็นญาติที่พลัดพรากจากกันไปนาน บรรยากาศภายในบ้านต่างจากข้างนอกลิบลับ คือมันอับมากเหมือนไม่เจอลมเจอแดดมาเป็นปี มีกลิ่นแปลกๆ จะกิ่นน้ำหมากก็ไม่ใช่ เราก็ไม่รู้ว่ากลิ่นอะไร ขมุกขมัวไม่น่าอยู่ ทั้งที่ดูสะอาดสะอ้าน ภายในบ้านจะมีตู้โชว์ถ้วยจาน หมอน ผ้าห่มอยู่เยอะแยะ บางอย่างก็ยัดสุมกันอยู่ดูไม่ออกว่าเป็นอะไร เมื่อสำรวจจนพอใจก็หันไปมองดูยาย ในหัวเต็มไปด้วยความสงสัยว่าแกเป็นใคร เพราะไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้ง ก่อนจะทันได้คิดไปไกลกว่านั้น เราได้ยินเสียงไอเหมือนมีอะไรติดคอ อาการเหมือนสำลัก ก็ยายที่นอนอยู่นั่นแหละที่ไอ แกชี้นิ้วไปที่ขันน้ำสีเงินใบใหญ่บนโต๊ะที่อยู่ถัดจากแคร่ ด้วยความกลัวว่าแกจะตาย เรารีบยกขันน้ำนั้นให้แกดื่ม เสียงดัง อึก อึก ก่อนจะส่งขันให้เราคืนแล้วพูดว่า
"กิน" เราชะงัก นิ่งฟังอีกครั้ง
"ให้กิน"
เราก้มลงมามองที่ขันก็เห็นเมล็ดข้าวสวยบวมๆ ลอยอยู่เต็มคาดว่าน่าจะอยู่ในน้ำมานานแล้ว พอเห็นดังนั้นเรายิ่งงงใหญ่ 'จะให้กินน้ำล้างมือนี่เหรอ' ในใจนี่ขยะแขยงมาก เลยบอกไปว่า
"นางบ่หิวจ้า"
พอพูดจบเท่านั้นล่ะ ยายแกก็กระเด้งตัวขึ้นมานั่ง ขอย้ำว่ากระเด้ง ไม่ใช่อาการค่อยๆ ลุก หรือยันตัวขึ้น ก่อนจะดันขันที่เราถือมาใกล้ๆ ปากเรา พร้อมกับขึงตาใส่ พูดว่า “กินถะแหมะ” อยู่อย่างนั้นซ้ำๆ ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องทำ ด้วยความที่คบเพื่อนผช. ซะส่วนใหญ่ เลยมีทักษะการเอาตัวรอดอยู่บ้าง เราจึงแสร้งทำว่าดื่มน้ำนั้น ยายแกดูพอใจที่เห็นว่าเรายอมดื่ม แกมองเราไม่ละสายตาก่อนจะยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มเย็นชาประกอบกับดวงตาแข็งๆ มันจึงดูเป็นรอยยิ้มที่ไร้ชีวิตชีวาชวนขนลุกมาก แล้วค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาทีละน้อย เรายิ่งกลัวหนักเมื่อได้เห็นเหงือกคล้ำๆ ที่ไม่มีฟันแม้แต่ซี่เดียว (เมื่อโตขึ้นจึงได้ทราบว่านั่นเป็นเรื่องปกติของคนอายุมากที่ฟันแท้จะหลุด) เราปล่อยขันน้ำหลุดจากมือ วิ่งกลับบ้านอย่างไม่คิดชีวิต จากไปโดยไม่มีแม้คำร่ำลาให้กับเจ้าของบ้าน จำได้ว่าลืมใส่รองเท้ากลับด้วย โดนแม่ซักใหญ่ว่าไปเล่นแล้วลืมทิ้งไว้ที่ไหน วันนั้นก็ได้รอยจากก้านมะยมมาประดับน่องขาเก๋ๆ แต่นั่นแหละ โดนตีแค่ 2-3 ทีก็ดีกว่าต้องเดินกลับไปเอารองเท้าแหละน่า
และในคืนนั้นเอง เราฝันว่าตัวเองกำลังปั่นจักรยานไปที่บ่อเลี้ยงกบ แต่ไปอีกทางหนึ่งที่ไม่เคยไป ในขณะที่ปั่นเพลินๆ ก็เห็นหมาดำตัวใหญ่ขนาดเท่าลูกควาย ขนสีดำมะเมื่อม ดวงตาสีแดงฉานเกินกว่าจะเป็นดวงตาปกติของหมาได้ ยืนแยกเขี้ยววาววับยาวๆ ขู่อยู่ข้างหน้า ในฝันเรากลัวมาก ตัดสินใจทิ้งจักรยานที่ปั่นมาแล้ววิ่งหนี จนไปเจอศาลาเอียงๆ ใกล้จะพังอยู่ด้านหน้ากอไผ่กอใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมถนนในหมู่บ้าน หมาดำเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ คงหนีไม่พ้นแน่แล้ว ตัดสินใจปีนขึ้นบนศาลา ก่อนที่หมาผีจะค่อยๆ ตะกุยขึ้นมา เราร้องลั่น อีกนิดเดียวมันก็จะงับขาได้แล้ว แต่ก่อนที่มันจะกระโจนมางับขาเราได้สำเร็จ พลันสายตาก็เห็นคนเดินเข้ามา ใกล้พอจนเห็นว่าเป็นผช. มีอายุ ใส่กางเกงสีดำ ไม่ใส่เสื้อ เราจำได้ทันทีว่านี่คือปู่ทวดของเรา ท่านเสียไปก่อนที่เราจะเกิด แต่ที่จำได้แม่นเพราะย่าเอารูปของท่านมาแขวนไว้บนผนัง เยื้องกับโต๊ะเขียนหนังสือ เราเห็นทุกวันเวลานั่งทำการบ้าน เห็นดังนั้นเราร้องไห้ออกมา เรียก
“ทวดจ๋า ช่วยหนูแหน่” ท่านเดินมาอุ้มเรา พร้อมกับเช็ดน้ำตาให้ พลางพูดปลอบเบาๆ ว่า
“บ่ต้องไห้ เซาไห้สา ทวดสิพาเมือเฮือน” ได้ยินเท่านี้ก็รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ส่วนหมาผีนั้นทันทีที่เห็นท่านมา มันก็เดินถอยห่างจนเลือนหายไป
ประสบการณ์สยองขวัญของฉันในวัยเด็ก ++เล่นจนได้เรื่อง++
เราอาศัยอยู่ที่จังหวัดหนึ่งในภาคอีสานตอนล่าง ซึ่งถือว่าเป็นจังหวัดที่ความเจริญยังน้อยอยู่ในสมัยนั้น เรื่องผีจึงมีอิทธิพลในการดำเนินชีวิตมากๆ แต่เราเองจะเป็นคนที่ไม่ค่อยกลัวเท่าไหร่ แม้พี่ๆ ปู่ย่าจะเล่าขู่ให้กลัวเวลาออกไปเล่นกับเพื่อนๆ อยู่เสมอก็ตาม เข้าเรื่องกันเลยค่ะ เรื่องนี้เกิดขึ้นในตอนที่
เราอายุได้ประมาณ 8-9 ขวบ กำลังดื้ออยากรู้อยากเห็นเลยค่ะ บวกกับเพื่อนๆ วัยเดียวกันในตอนนั้นมีแต่ผช. เลยต้องเล่นอะไรห่ามๆ ไม่งั้นจะไม่ได้เล่นด้วย และสถานที่ที่ชอบไปชุมนุมกันก็คือบ่อเลี้ยงกบของลุงคนหนึ่งในหมู่บ้าน ลักษณะจะเป็นบ่อซีเมนท์ ไม่สูงมาก มีหลุมซึ่งน่าจะทำเป็นบ่อน้ำเล็กๆ ให้กบ แต่น้ำนี่ออกสีเขียว มีตะไคร่เกาะเต็ม มีครั้งหนึ่งที่เราลงไปไล่จับกบ ไม่รู้ว่าจับยังไงลื่นตะไคร่น้ำจนหัวเข่าถลอก ปากแตกได้แผลกลับบ้านพร้อมกบในห่อเสื้อด้วยความภาคภูมิใจ ยังดีที่ไม่โดนกระเบื้องแตกๆ ที่ลุงเจ้าของแกเอามาไว้คอยให้พวกกบได้หลบแดดกัน กลิ่นคาวน้ำ คาวกบคลุ้ง แต่เพราะมันร่มด้วยต้นไผ่ที่เรียงรายล้อมรอบ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดที่จะใช้เป็นสนามเด็กเล่น ซึ่งบ่อกบนี้จะอยู่ห่างจากบ้านเราประมาณ 1 กิโลได้ และเรื่องที่จะเล่าก็เกิดในระหว่างเดินทางจากบ้านไปบ่อเลี้ยงกบนี่ละค่ะ ช่วงปิดภาคเรียน เวลาบ่ายแก่ๆ พวกเพื่อนส่วนใหญ่จะไปกันก่อนแล้ว เพราะกว่าเราจะแอบแม่กับย่าออกมาได้สำเร็จก็นานโข ทางที่จะไปที่ใกล้ที่สุดคือเดินผ่านข้างหลังโรงสีข้าว วันไหนโชคดีก็เดินผ่านชิลๆ โชคร้ายหน่อยก็ต้องฝ่าดงเปลือกข้าวที่โรงสีพ่นออกมา โดนขา โดนตัว แต่ละทีแสบสะท้านทรวงเลยล่ะค่ะ บางวันเจ้าของโรงสีก็ปล่อยห่านออกมา บรรดาห่านๆ นี่ดุยิ่งกว่าหมาเสียอีก เดินมาเจอกันทีไรเป็นอันต้องได้วิ่งหลบวิ่งหนีกันให้วุ่น และข้างๆ โรงสีข้าวจะมีบ้านหลังหนึ่งซึ่งสวยมากในสมัยนั้น เพราะเป็นบ้านปูนทั้งหลัง มีประตูไม้บานใหญ่ สวยเหมือนกับบ้านในละครทีวีเลยค่ะ ผิดกับบ้านเราที่เป็นร้านขายของชำ ประตูไม้บานพับ ดูเหมือนบ้านผีสิงยังไงอย่างงั้น เราจึงชอบหยุดดูนานๆ ทุกครั้งที่ผ่าน และในจังหวะที่กำลังเดินผ่าน เราก็สังเกตเห็นว่าประตูบ้านหลังนั้นเปิดอยู่ โดยปกติที่ผ่านไม่เคยเห็นเปิดเลยสักครั้ง แต่ครั้งนี้มันกลับเปิดอ้าราวกับว่าจะเชิญชวนให้เข้าไป ด้วยความอยากรู้อยากเห็น เราเลยหยุดเดินและค่อยๆ เดินตรงไปที่บ้านหลังนั้น ยืนชะเง้อคอสอดส่องดูลาดเลาอยู่นานก่อนจะหันมาเห็นหญิงชราผมรองทรงสีดอกเลา ใส่เสื้อกระแล่ง ผ้าถุงสีซีดๆ ที่นอนมองเราอยู่ก่อนแล้วบนแคร่ไม้ข้างประตูอีกฝั่ง อารมณ์ตอนนั้นคือตกใจมาก แต่ความอยากรู้มันมีเยอะ เลยยืนมองอยู่อย่างนั้น พลางนึกในใจว่ามีคนอยู่ด้วยหรือนี่ สักพักยายแกก็ยกมือขึ้นกวักเรียก (ขอเรียกว่ายายละกันนะคะ) เราไม่รอช้า ปรี่เข้าไปหาประหนึ่งว่าเป็นญาติที่พลัดพรากจากกันไปนาน บรรยากาศภายในบ้านต่างจากข้างนอกลิบลับ คือมันอับมากเหมือนไม่เจอลมเจอแดดมาเป็นปี มีกลิ่นแปลกๆ จะกิ่นน้ำหมากก็ไม่ใช่ เราก็ไม่รู้ว่ากลิ่นอะไร ขมุกขมัวไม่น่าอยู่ ทั้งที่ดูสะอาดสะอ้าน ภายในบ้านจะมีตู้โชว์ถ้วยจาน หมอน ผ้าห่มอยู่เยอะแยะ บางอย่างก็ยัดสุมกันอยู่ดูไม่ออกว่าเป็นอะไร เมื่อสำรวจจนพอใจก็หันไปมองดูยาย ในหัวเต็มไปด้วยความสงสัยว่าแกเป็นใคร เพราะไม่เคยเห็นหน้าเลยสักครั้ง ก่อนจะทันได้คิดไปไกลกว่านั้น เราได้ยินเสียงไอเหมือนมีอะไรติดคอ อาการเหมือนสำลัก ก็ยายที่นอนอยู่นั่นแหละที่ไอ แกชี้นิ้วไปที่ขันน้ำสีเงินใบใหญ่บนโต๊ะที่อยู่ถัดจากแคร่ ด้วยความกลัวว่าแกจะตาย เรารีบยกขันน้ำนั้นให้แกดื่ม เสียงดัง อึก อึก ก่อนจะส่งขันให้เราคืนแล้วพูดว่า
"กิน" เราชะงัก นิ่งฟังอีกครั้ง
"ให้กิน"
เราก้มลงมามองที่ขันก็เห็นเมล็ดข้าวสวยบวมๆ ลอยอยู่เต็มคาดว่าน่าจะอยู่ในน้ำมานานแล้ว พอเห็นดังนั้นเรายิ่งงงใหญ่ 'จะให้กินน้ำล้างมือนี่เหรอ' ในใจนี่ขยะแขยงมาก เลยบอกไปว่า
"นางบ่หิวจ้า"
พอพูดจบเท่านั้นล่ะ ยายแกก็กระเด้งตัวขึ้นมานั่ง ขอย้ำว่ากระเด้ง ไม่ใช่อาการค่อยๆ ลุก หรือยันตัวขึ้น ก่อนจะดันขันที่เราถือมาใกล้ๆ ปากเรา พร้อมกับขึงตาใส่ พูดว่า “กินถะแหมะ” อยู่อย่างนั้นซ้ำๆ ในเมื่อเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องทำ ด้วยความที่คบเพื่อนผช. ซะส่วนใหญ่ เลยมีทักษะการเอาตัวรอดอยู่บ้าง เราจึงแสร้งทำว่าดื่มน้ำนั้น ยายแกดูพอใจที่เห็นว่าเรายอมดื่ม แกมองเราไม่ละสายตาก่อนจะยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มเย็นชาประกอบกับดวงตาแข็งๆ มันจึงดูเป็นรอยยิ้มที่ไร้ชีวิตชีวาชวนขนลุกมาก แล้วค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาทีละน้อย เรายิ่งกลัวหนักเมื่อได้เห็นเหงือกคล้ำๆ ที่ไม่มีฟันแม้แต่ซี่เดียว (เมื่อโตขึ้นจึงได้ทราบว่านั่นเป็นเรื่องปกติของคนอายุมากที่ฟันแท้จะหลุด) เราปล่อยขันน้ำหลุดจากมือ วิ่งกลับบ้านอย่างไม่คิดชีวิต จากไปโดยไม่มีแม้คำร่ำลาให้กับเจ้าของบ้าน จำได้ว่าลืมใส่รองเท้ากลับด้วย โดนแม่ซักใหญ่ว่าไปเล่นแล้วลืมทิ้งไว้ที่ไหน วันนั้นก็ได้รอยจากก้านมะยมมาประดับน่องขาเก๋ๆ แต่นั่นแหละ โดนตีแค่ 2-3 ทีก็ดีกว่าต้องเดินกลับไปเอารองเท้าแหละน่า
และในคืนนั้นเอง เราฝันว่าตัวเองกำลังปั่นจักรยานไปที่บ่อเลี้ยงกบ แต่ไปอีกทางหนึ่งที่ไม่เคยไป ในขณะที่ปั่นเพลินๆ ก็เห็นหมาดำตัวใหญ่ขนาดเท่าลูกควาย ขนสีดำมะเมื่อม ดวงตาสีแดงฉานเกินกว่าจะเป็นดวงตาปกติของหมาได้ ยืนแยกเขี้ยววาววับยาวๆ ขู่อยู่ข้างหน้า ในฝันเรากลัวมาก ตัดสินใจทิ้งจักรยานที่ปั่นมาแล้ววิ่งหนี จนไปเจอศาลาเอียงๆ ใกล้จะพังอยู่ด้านหน้ากอไผ่กอใหญ่ที่ตั้งอยู่ริมถนนในหมู่บ้าน หมาดำเดินเข้ามาใกล้เรื่อยๆ คงหนีไม่พ้นแน่แล้ว ตัดสินใจปีนขึ้นบนศาลา ก่อนที่หมาผีจะค่อยๆ ตะกุยขึ้นมา เราร้องลั่น อีกนิดเดียวมันก็จะงับขาได้แล้ว แต่ก่อนที่มันจะกระโจนมางับขาเราได้สำเร็จ พลันสายตาก็เห็นคนเดินเข้ามา ใกล้พอจนเห็นว่าเป็นผช. มีอายุ ใส่กางเกงสีดำ ไม่ใส่เสื้อ เราจำได้ทันทีว่านี่คือปู่ทวดของเรา ท่านเสียไปก่อนที่เราจะเกิด แต่ที่จำได้แม่นเพราะย่าเอารูปของท่านมาแขวนไว้บนผนัง เยื้องกับโต๊ะเขียนหนังสือ เราเห็นทุกวันเวลานั่งทำการบ้าน เห็นดังนั้นเราร้องไห้ออกมา เรียก
“ทวดจ๋า ช่วยหนูแหน่” ท่านเดินมาอุ้มเรา พร้อมกับเช็ดน้ำตาให้ พลางพูดปลอบเบาๆ ว่า
“บ่ต้องไห้ เซาไห้สา ทวดสิพาเมือเฮือน” ได้ยินเท่านี้ก็รู้สึกอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก ส่วนหมาผีนั้นทันทีที่เห็นท่านมา มันก็เดินถอยห่างจนเลือนหายไป