วิกฤติศรัทธาของคนไทยที่มีต่อ "ทปอ."
11 พ.ย. 2561 21:40 น.
กรุงเทพมหานคร - ทำไมภึงเกิด "วิกฤติศรัทธาของคนไทยที่มีต่อ "ทปอ." โดย รศ.ดร.รังสรรค์ วงศ์สรรค์ อดีตรองอธิการบดีของมหาวิทยาลัยในกำกับฯ แห่งแรกและที่ปรึกษาด้านวิชาการของศูนย์ CHES
https://pantip.com/topic/38260716
http://www.komkhaotuathai.com/content/5188?st&fbclid=IwAR23HUdf0fau6WX95uTMOp5zlgMpg9WFyRb6c1BwkUFYuE6H_eaKgkf09T8
จากประกาศของ ป.ป.ช. ฉบับล่าสุดที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2561 ที่มีผลบังคับให้นายกสภาและคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยต้องยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมเมื่อทางที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ได้เชิญอธิการบดีทั้งจากมหาวิทยาลัยราชภัฏและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลมาประชุมร่วมกันพร้อมออกมติเชิงคัดค้านที่ประกาศ ป.ป.ช.จะบังคับให้นายกสภาและคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน มิเช่นนั้นจะลาออกกันยกขโยง
โดยมีประธาน ทปอ. ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา จน ทปอ. โดยประธานฯ ผู้ออกมาแถลงข่าวเสียผู้เสียคนจนเลยเถิดกลายเป็นวิกฤติศรัทธาที่เหวี่ยงกลับไปหาบุคคลเหล่านั้นอย่างรุนแรง ประเด็นสาเหตุที่สำคัญ คือ หลายบุคคลที่ออกมาให้ข่าวว่าไม่เห็นด้วยกับประกาศของ ป.ป.ช. นั้น "พูดไม่หมด"
การที่ "พูดไม่หมด" พูดแล้วดูเหมือนปกป้องผลประโยชน์ของมหาวิทยาลัยและลามไปพูดเสมือนว่ากำลังเอานิสิตศึกษามาเป็นตัวประกันก็ยิ่งถูกประชาชนคนไทยที่ติดตามข่าวไล่ตามถล่มมากยิ่งขึ้น แต่จริงๆ แล้วในใจของอธิการบดีของแต่ละมหาวิทยาลัยที่เข้าไปร่วมประชุมกับ ทปอ.ในวันนั้นต่างหากที่รู้อยู่เต็มอกว่า "ทำไมถึงต้องคัดค้านประกาศของ ปปช." เลยนึกสงสารท่านประธาน ทปอ. ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ น้องชายของผมอยู่เหมือนกันว่า ไปตกเป็นเครื่องมือของอธิการบดีกลุ่มหนึ่งที่มีความคิดซ่อนเร้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ในรูปแบบของ "สภาเกาหลัง" ได้อย่างไร ผู้ที่ติดามข่าวเรื่องนี้มาอย่างใกล้ชิดจะสังเกตุได้ว่ามาถึง ณ วันนี้ ยังไม่เคยมีนายกสภาหรือกรรมการสภาของมหาวิทยาลัยใดๆ ออกมาแสดงอาการคัดค้านหรือกังวลใจเช่นที่ ทปอ. หรืออธิการบดีบางคนแสดงออกอย่างทุกวันนี้เลย
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธาน ทปอ.
สิ่งที่ "พูดไม่หมด" และคนไทยส่วนใหญ่เขารู้ไม่ทันก็คือ การรักษาสถานะการเกาหลังให้กันระหว่างอธิการบดีและนายกสภาที่รวมตัวกับคณะกรรมการสภาบางกลุ่มให้มีอยู่อย่างยั่งยืนและถ่ายทอดอำนาจผ่านทายาทรุ่นต่อรุ่นนั้น สามารถใช้เทคนิคจากการกำหนดวาระการทำงานของตำแหน่งอธิการบดีและสภามหาวิทยาลัยที่ "เหลื่อมกันอยู่" ซึ่งเราเห็นอยู่ทั่วไปคือ วาระของอธิการบดีส่วนใหญ่อยู่ที่วาระละ 4 ปี
ส่วนวาระของนายกสภาและกรรมการสภาบางแห่งอาจจะ 2 ปีหรือ 3 ปี ก็แล้วแต่ พ.ร.บ.ของมหาวิทยาลัยแห่งนั้นกำหนดเอาไว้ ซึ่งการ "เหลื่อมกันอยู่" ของวาระการทำงานที่แตกต่างกันนี่แหละคือสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายนำมาใช้เป็นเทคนิคเกื้อหนุนกันในการแต่งตั้งอธิการบดีและสรรหานายกสภา/คณะกรรมการสภาของมหาวิทยาลัย เพราะโอกาสการหมดวาระพร้อมๆ กันของทั้งสองฝ่ายนี้มีน้อยกว่ามากๆ ซึ่งหากถึงวันนั้นบุคคลเหล่านี้อาจจะสิ้นอายุขัยหรือตำน้ำกินแล้วก็ได้
ตัวอย่างเช่น หากปีนี้ตำแหน่งอธิการบดีจะหมดวาระ แต่คณะกรรมการสภาฯ ยังอยู่ อธิการบดีที่ต้องการนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อในวาระที่สอง (บางแห่งให้เป็นแบบไม่กำหนดวาระก็มี) หรืออธิการบดีที่ไม่สามารถเป็นต่อในวาระที่สามได้แต่ยังมีความประสงค์ให้ทายาทหรือนอมินีมาเป็นอธิการบดีคั่นกลางไว้ก่อนในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อที่ตนเองจะกลับเข้ามาเป็นต่อในวาระที่สี่ ก็จะพยายามวิ่งเต้นกับคณะกรรมการสภาฯ ชุดนี้ที่ยังไม่หมดวาระ (เพราะเกิดจากเวลาที่เหลื่อมกันนี่แหละ) เพื่อให้ความต้องการของตนเองบรรลุเป้าหมายได้ โดยจะกลับมาตอบแทนกันอย่างชัดเจนในช่วงที่คณะกรรมการสภาฯ ชุดนี้ที่อาจจะหมดวาระในปีถัดๆไปในขณะที่ตนเองหรือทายาทเข้ามาเป็นอธิการบดีเรียบร้อยแล้ว ด้วยการตอบแทนโดยใช้วิธีหาทางให้นายกสภาและคณะกรรมการชุดนี้ส่วนใหญ่กลับเข้ามาเป็นกรรมการสภาฯ ชุดใหม่อีกรอบนึงให้ได้
ซึ่งบางท่านอาจจะโต้แย้งได้ว่า การสรรหาอธิการบดีหรือสรรหากรรมการสภาฯ เขาก็มีกระบวนการและระเบียบกำกับไว้ชัดเจนมิใช่เหรอ? คำตอบของผมคือ "ใช่" แต่กลุ่มคนที่นิยมในระบอบสภาเกาหลังเขามีแทคติกหลากหลายและกระทำกันมาหลายสิบปีแล้ว วัฏจักรเหล่านี้จะหมุนเวียนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมาถึงช่วงที่ถึงเวลาหมดเวลาพร้อมกันก็อาจจะต้องเหนื่อยในการหาแทคติกพิเศษเพื่อให้แต่ละฝ่ายไม่ต้องลงจากหลังเสือ ซึ่งสถาบันอุดมศึกษาบางแห่งอาจใช้วิธีเปลี่ยนจากตำแหน่งอธิการบดีไปเป็นนายกสภาฯ แล้วให้ทายาทของตัวเองขึ้นมาเป็นอธิการบดีแทนก็มีกันให้เห็นไม่ใกล้ไม่ไกล แล้วก็เริ่มต้นวัฏจักรจากช่องโหว่ของการเหลื่อมเวลามาใช้เวียนเทียนกันต่อไป
จากการที่ทั้งสองฝ่ายอยู่กันแบบ "น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า" นี่แหละ คือ จุดกำเนิดของการแลกเปลี่ยนและแสวงหาผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในเกือบทุกสถาบันอุดมศึกษา เรื่องของผลประโยชน์ที่เป็นเงินทองอาจจะจะมีไม่มาก แต่ผลประโยชน์ในเรื่องของอำนาจและการได้รับของแถมที่นอกเหนือจากค่าตอบแทน ค่าเบี้ยประชุม หรือผลประโยชน์ใดๆ ที่กำหนดไว้ในประกาศของแต่ละแห่งนี่สิ คือ สิ่งที่คนภายนอกรั้วมหาวิทยาลัยไม่สามารถมองเห็นได้ง่ายนัก บางมหาวิทยาลัยในช่วงที่มีการแข่งขันเพื่อช่วงชิงตำแหน่งผู้บริหารอื่นๆ ที่กำหนดไว้ว่าต้องนำมาโหวตพิจารณาโดยคณะกรรมการสภาฯ จะพบว่าในช่วงเวลานั้นกรรมการสภาฯ จะถูกรับรองและดูแลเป็นอย่างดี แสดงว่ามีอิทธิพลในทางปกครองเป็นอย่างมาก ส่วนจะแลกกันด้วยผลประโยชน์ใดๆ ณ เวลานั้น หรือหลังจากประกาศผลการพิจารณาก็ว่ากันไปตามอัธยาศัย
รศ.ดร.รังสรรค์ วงศ์สรรค์
สิ่งที่คนภายนอกไม่สามารถมองทะลุเข้าไปภายในรั้วมหาวิทยาลัยนี่แหละ เลยทำให้ฝังใจจนอาจกลายเป็นอาการเคลิบเคลิ้มหลงเชื่อในบางรายบุคคลที่นิยมการเกาหลังให้กันหรือบางรายบุคคลที่อยู่นอกรั้วไกลสุดกู่แต่ก็พอมีหน้าตาและฐานะทางสังคมอยู่บ้าง เวลาออกมาแสดงความเห็นอะไรก็ตามแล้วมันน่าเชื่อถือและคงต้องถูกต้องทั้งหมด....มันตรงกันข้ามเลยใช่หรือไม่ครับ
เชื่อผมเถิดครับ "ถ้าดีจริงต้องไม่กลัวที่จะต้องยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน หรือถ้าคิดว่ามันยุ่งยากจุกจิกหัวใจ ก็มีช่องทางให้เดินออกไปโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครขวางท่าน"...
เดินหน้าต่อไปเถิดประเทศไทย
โดย รศ.ดร.รังสรรค์ วงศ์สรรค์
อดีตรองอธิการบดีของมหาวิทยาลัยในกำกับฯ แห่งแรก
และที่ปรึกษาด้านวิชาการของศูนย์ CHES
วิกฤติศรัทธาของคนไทยที่มีต่อ "ทปอ." 11 พ.ย. 2561 21:40 น. 12/11/2561 สรายุทธ กันหลง
11 พ.ย. 2561 21:40 น.
กรุงเทพมหานคร - ทำไมภึงเกิด "วิกฤติศรัทธาของคนไทยที่มีต่อ "ทปอ." โดย รศ.ดร.รังสรรค์ วงศ์สรรค์ อดีตรองอธิการบดีของมหาวิทยาลัยในกำกับฯ แห่งแรกและที่ปรึกษาด้านวิชาการของศูนย์ CHES
https://pantip.com/topic/38260716
http://www.komkhaotuathai.com/content/5188?st&fbclid=IwAR23HUdf0fau6WX95uTMOp5zlgMpg9WFyRb6c1BwkUFYuE6H_eaKgkf09T8
จากประกาศของ ป.ป.ช. ฉบับล่าสุดที่ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อ 1 พฤศจิกายน 2561 ที่มีผลบังคับให้นายกสภาและคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยต้องยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน กลายเป็นประเด็นร้อนในสังคมเมื่อทางที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ได้เชิญอธิการบดีทั้งจากมหาวิทยาลัยราชภัฏและมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลมาประชุมร่วมกันพร้อมออกมติเชิงคัดค้านที่ประกาศ ป.ป.ช.จะบังคับให้นายกสภาและคณะกรรมการสภามหาวิทยาลัยต้องยื่นบัญชีทรัพย์สิน มิเช่นนั้นจะลาออกกันยกขโยง
โดยมีประธาน ทปอ. ออกมาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 7 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา จน ทปอ. โดยประธานฯ ผู้ออกมาแถลงข่าวเสียผู้เสียคนจนเลยเถิดกลายเป็นวิกฤติศรัทธาที่เหวี่ยงกลับไปหาบุคคลเหล่านั้นอย่างรุนแรง ประเด็นสาเหตุที่สำคัญ คือ หลายบุคคลที่ออกมาให้ข่าวว่าไม่เห็นด้วยกับประกาศของ ป.ป.ช. นั้น "พูดไม่หมด"
การที่ "พูดไม่หมด" พูดแล้วดูเหมือนปกป้องผลประโยชน์ของมหาวิทยาลัยและลามไปพูดเสมือนว่ากำลังเอานิสิตศึกษามาเป็นตัวประกันก็ยิ่งถูกประชาชนคนไทยที่ติดตามข่าวไล่ตามถล่มมากยิ่งขึ้น แต่จริงๆ แล้วในใจของอธิการบดีของแต่ละมหาวิทยาลัยที่เข้าไปร่วมประชุมกับ ทปอ.ในวันนั้นต่างหากที่รู้อยู่เต็มอกว่า "ทำไมถึงต้องคัดค้านประกาศของ ปปช." เลยนึกสงสารท่านประธาน ทปอ. ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ น้องชายของผมอยู่เหมือนกันว่า ไปตกเป็นเครื่องมือของอธิการบดีกลุ่มหนึ่งที่มีความคิดซ่อนเร้นเพื่อปกป้องผลประโยชน์ในรูปแบบของ "สภาเกาหลัง" ได้อย่างไร ผู้ที่ติดามข่าวเรื่องนี้มาอย่างใกล้ชิดจะสังเกตุได้ว่ามาถึง ณ วันนี้ ยังไม่เคยมีนายกสภาหรือกรรมการสภาของมหาวิทยาลัยใดๆ ออกมาแสดงอาการคัดค้านหรือกังวลใจเช่นที่ ทปอ. หรืออธิการบดีบางคนแสดงออกอย่างทุกวันนี้เลย
ศ.ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ประธาน ทปอ.
สิ่งที่ "พูดไม่หมด" และคนไทยส่วนใหญ่เขารู้ไม่ทันก็คือ การรักษาสถานะการเกาหลังให้กันระหว่างอธิการบดีและนายกสภาที่รวมตัวกับคณะกรรมการสภาบางกลุ่มให้มีอยู่อย่างยั่งยืนและถ่ายทอดอำนาจผ่านทายาทรุ่นต่อรุ่นนั้น สามารถใช้เทคนิคจากการกำหนดวาระการทำงานของตำแหน่งอธิการบดีและสภามหาวิทยาลัยที่ "เหลื่อมกันอยู่" ซึ่งเราเห็นอยู่ทั่วไปคือ วาระของอธิการบดีส่วนใหญ่อยู่ที่วาระละ 4 ปี
ส่วนวาระของนายกสภาและกรรมการสภาบางแห่งอาจจะ 2 ปีหรือ 3 ปี ก็แล้วแต่ พ.ร.บ.ของมหาวิทยาลัยแห่งนั้นกำหนดเอาไว้ ซึ่งการ "เหลื่อมกันอยู่" ของวาระการทำงานที่แตกต่างกันนี่แหละคือสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายนำมาใช้เป็นเทคนิคเกื้อหนุนกันในการแต่งตั้งอธิการบดีและสรรหานายกสภา/คณะกรรมการสภาของมหาวิทยาลัย เพราะโอกาสการหมดวาระพร้อมๆ กันของทั้งสองฝ่ายนี้มีน้อยกว่ามากๆ ซึ่งหากถึงวันนั้นบุคคลเหล่านี้อาจจะสิ้นอายุขัยหรือตำน้ำกินแล้วก็ได้
ตัวอย่างเช่น หากปีนี้ตำแหน่งอธิการบดีจะหมดวาระ แต่คณะกรรมการสภาฯ ยังอยู่ อธิการบดีที่ต้องการนั่งอยู่ในตำแหน่งนี้ต่อในวาระที่สอง (บางแห่งให้เป็นแบบไม่กำหนดวาระก็มี) หรืออธิการบดีที่ไม่สามารถเป็นต่อในวาระที่สามได้แต่ยังมีความประสงค์ให้ทายาทหรือนอมินีมาเป็นอธิการบดีคั่นกลางไว้ก่อนในระยะเวลาสั้นๆ เพื่อที่ตนเองจะกลับเข้ามาเป็นต่อในวาระที่สี่ ก็จะพยายามวิ่งเต้นกับคณะกรรมการสภาฯ ชุดนี้ที่ยังไม่หมดวาระ (เพราะเกิดจากเวลาที่เหลื่อมกันนี่แหละ) เพื่อให้ความต้องการของตนเองบรรลุเป้าหมายได้ โดยจะกลับมาตอบแทนกันอย่างชัดเจนในช่วงที่คณะกรรมการสภาฯ ชุดนี้ที่อาจจะหมดวาระในปีถัดๆไปในขณะที่ตนเองหรือทายาทเข้ามาเป็นอธิการบดีเรียบร้อยแล้ว ด้วยการตอบแทนโดยใช้วิธีหาทางให้นายกสภาและคณะกรรมการชุดนี้ส่วนใหญ่กลับเข้ามาเป็นกรรมการสภาฯ ชุดใหม่อีกรอบนึงให้ได้
ซึ่งบางท่านอาจจะโต้แย้งได้ว่า การสรรหาอธิการบดีหรือสรรหากรรมการสภาฯ เขาก็มีกระบวนการและระเบียบกำกับไว้ชัดเจนมิใช่เหรอ? คำตอบของผมคือ "ใช่" แต่กลุ่มคนที่นิยมในระบอบสภาเกาหลังเขามีแทคติกหลากหลายและกระทำกันมาหลายสิบปีแล้ว วัฏจักรเหล่านี้จะหมุนเวียนไปเรื่อยๆ จนกว่าจะมาถึงช่วงที่ถึงเวลาหมดเวลาพร้อมกันก็อาจจะต้องเหนื่อยในการหาแทคติกพิเศษเพื่อให้แต่ละฝ่ายไม่ต้องลงจากหลังเสือ ซึ่งสถาบันอุดมศึกษาบางแห่งอาจใช้วิธีเปลี่ยนจากตำแหน่งอธิการบดีไปเป็นนายกสภาฯ แล้วให้ทายาทของตัวเองขึ้นมาเป็นอธิการบดีแทนก็มีกันให้เห็นไม่ใกล้ไม่ไกล แล้วก็เริ่มต้นวัฏจักรจากช่องโหว่ของการเหลื่อมเวลามาใช้เวียนเทียนกันต่อไป
จากการที่ทั้งสองฝ่ายอยู่กันแบบ "น้ำพึ่งเรือ เสือพึ่งป่า" นี่แหละ คือ จุดกำเนิดของการแลกเปลี่ยนและแสวงหาผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นในเกือบทุกสถาบันอุดมศึกษา เรื่องของผลประโยชน์ที่เป็นเงินทองอาจจะจะมีไม่มาก แต่ผลประโยชน์ในเรื่องของอำนาจและการได้รับของแถมที่นอกเหนือจากค่าตอบแทน ค่าเบี้ยประชุม หรือผลประโยชน์ใดๆ ที่กำหนดไว้ในประกาศของแต่ละแห่งนี่สิ คือ สิ่งที่คนภายนอกรั้วมหาวิทยาลัยไม่สามารถมองเห็นได้ง่ายนัก บางมหาวิทยาลัยในช่วงที่มีการแข่งขันเพื่อช่วงชิงตำแหน่งผู้บริหารอื่นๆ ที่กำหนดไว้ว่าต้องนำมาโหวตพิจารณาโดยคณะกรรมการสภาฯ จะพบว่าในช่วงเวลานั้นกรรมการสภาฯ จะถูกรับรองและดูแลเป็นอย่างดี แสดงว่ามีอิทธิพลในทางปกครองเป็นอย่างมาก ส่วนจะแลกกันด้วยผลประโยชน์ใดๆ ณ เวลานั้น หรือหลังจากประกาศผลการพิจารณาก็ว่ากันไปตามอัธยาศัย
รศ.ดร.รังสรรค์ วงศ์สรรค์
สิ่งที่คนภายนอกไม่สามารถมองทะลุเข้าไปภายในรั้วมหาวิทยาลัยนี่แหละ เลยทำให้ฝังใจจนอาจกลายเป็นอาการเคลิบเคลิ้มหลงเชื่อในบางรายบุคคลที่นิยมการเกาหลังให้กันหรือบางรายบุคคลที่อยู่นอกรั้วไกลสุดกู่แต่ก็พอมีหน้าตาและฐานะทางสังคมอยู่บ้าง เวลาออกมาแสดงความเห็นอะไรก็ตามแล้วมันน่าเชื่อถือและคงต้องถูกต้องทั้งหมด....มันตรงกันข้ามเลยใช่หรือไม่ครับ
เชื่อผมเถิดครับ "ถ้าดีจริงต้องไม่กลัวที่จะต้องยื่นแสดงบัญชีทรัพย์สิน หรือถ้าคิดว่ามันยุ่งยากจุกจิกหัวใจ ก็มีช่องทางให้เดินออกไปโดยที่ไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครขวางท่าน"...
เดินหน้าต่อไปเถิดประเทศไทย
โดย รศ.ดร.รังสรรค์ วงศ์สรรค์
อดีตรองอธิการบดีของมหาวิทยาลัยในกำกับฯ แห่งแรก
และที่ปรึกษาด้านวิชาการของศูนย์ CHES