อาคารรุกล้ำทะเลในวอล์คกิ้งสตรีท ควรถูกรื้อถอนตามมติครม. ปี 2541 หรือไม่?
ควรทำการรื้อถอนอาคารทั้ง 101 หลังคาเรือนออกไป เพื่อพัฒนาพื้นที่ชายหาดพัทยาใต้ให้เป็นพื้นที่สาธารณะ ขยายพื้นที่ชายหาดจากพัทยาเหนือ ถึงท่าเรือพัทยาใต้ ตามมติคณะรัฐมนตรี ปี 2541
หรือพัทยาควรป้องกันการบุกรุกพื้นที่ด้วยการถมทะเลพัฒนาถนนในทะเล เพื่อทำแนวเขต ไม่ให้มีการรุกล้ำพื้นที่ในอ่าวพัทยาใต้เพิ่มเติม
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ก่อนสภาเมืองพัทยาชุดเดิมจะหมดวาระเพียง 4 เดือน ได้อนุมัติงบประมาณ 4 ล้านบาทว่าจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาโครงการตัดถนนในทะเลพัทยาใต้ ถนนขนาด 2 เลน ลึกลงไปในทะเล 40 เมตร ระยะทาง 800 เมตร
สิ่งที่สภาเมืองพัทยาตัดสินใจจ้างที่ปรึกษานั้น เป็นทางเลือกของใคร?
ของประชาชนส่วนรวม หรือของผู้ประกอบการเจ้าของอาคาร 101 รายในวอล์คกิ้งสตรีทฝั่งทะเล?
ต้องไม่ลืมว่าตามแผนการฟื้นฟูบูรณะเมืองพัทยา คณะรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มีมติอนุมัติงบประมาณให้ถมทะเลเพื่อพัฒนาท่าเรือบาลีฮาย ในปี 2541 พร้อมยังระบุให้รื้อถอนอาคารที่รุกล้ำชายหาดจำนวน 101 หลังคาเรือน (ในวอล์คกิ้งสตรีท ฝั่งทะเล)
ความเป็นมาของอ่าวพัทยาใต้ในอดีตคือหมู่บ้านชาวประมงมีประวัติศาสตร์ยาวนานร่วม 100 ปี จนพัทยามาถึงยุคพัฒนาการท่องเที่ยวในช่วงปี 2510 มีการรุกล้ำพื้นที่ชายทะเลเพิ่มเติม จากเดิมที่มีบ้านขนาดเล็ก ก็ขยับขยายต่อเติมเป็นบังกะโลพักอาศัย จนต่อมาเปิดเป็นกิจการร้านค้า ร้านอาหาร บาร์เบียร์จำนวนมาก ไม่เหลือสภาพหมู่บ้านชาวประมงแบบในอดีตอีกต่อไป
ชายหาดพัทยาจากพัทยาเหนือถึงพัทยาใต้ มีปัญหาคุณภาพสิ่งแวดล้อม น้ำทะเลสกปรก เสื่อมโทรม ที่สำคัญคือาการกัดเซาะหาดทราย ในปี 2532 เจแปน อินเตอร์เนชั่นแนล เอเจนซี่ หรือไจก้า ได้ศึกษาแผนแม่บทพัฒนาเมืองพัทยา ระบุว่าการก่อสร้างอาคารบนชายหาดพัทยาใต้ (วอล์คกิ้งสตรีท) ทำให้มวลชายหาดขาดความสมดุล เกิดปัญหาการเคลื่อนสุทธิของตะกอนหาดทรายชายฝั่งลดลง เป็นต้นเหตุทำให้หาดพัทยาแคบลงเรือยๆ เกิดการกัดเซาะชายหาดพัทยา ตั้งแต่พัทยาเหนือจนถึงพัทยาใต้
ไจก้าได้เสนอให้รื้อถอนอาคารที่รุกล้ำบนชายหาดพัทยาใต้ เพราะก่อสร้างโดยไม่ถูกกฎหมาย และเป็นแหล่งทิ้งขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูล และน้ำเสียลงสู่ทะเลโดยตรง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยอมรับว่าปัญหาการกัดเซาะชายหาดพัทยา สาเหตุหลักมาจากการใช้ประโยชน์พื้นที่จนเกินขีดจำกัด จึงเกิดปัญหาการปลูกสิ่งก่อสร้างโดยเฉพาะที่พักตากอากาศ ร้านค้า และแหล่งบันเทิงรุกล้ำพื้นที่ชายหาด ส่งผลให้ทรัพยากรชายฝั่งของพัทยาเสื่อมโทรมจากการทิ้งสิ่งปฏิกูลลงทะเล และเกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง
ต่อมาในปี 2542 คณะกรรมธิการท่องเที่ยวและคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฏรมีความเห็นว่าให้ชะลอการรื้อถอนอาคารที่รุกล้ำ 101 รายออกไป 3 ปี ตามการเรียกร้องจากนักธุรกิจเจ้าของอาคาร และกำลังอยู่ระหว่างการเสนอให้คณะรัฐมนตรี ทบทวนมติวันที่ 6 ตุลาคม 2541 กรณีคำสั่งรื้อถอน โดยให้ถือว่าอาคารเหล่านั้นเป็นเอกลักษณ์ของเมืองพัทยาซึ่งเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งหากมีการรื้อถอนจะส่งผลประทบต่อประชาชนเป็นอย่างมาก
ประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาคือ ชายหาดพัทยาใต้ คือพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนคนไทยทุกคนมีสิทธิ์ใ้ช้ประโยชน์ร่วมกัน แต่ทุกวันนี้ผู้ประกอบการบางรายถือสิทธิ์เหนือพื้นที่ที่ควรจะเป็นพื้นที่สาธารณะ และไม่ใช่การครอบครองเพื่อพักอาศัย แต่กลับมีการให้เช่าต่อ บางรายผู้เช่าก็เป็นชาวต่างชาติเปิดสถานบริการ ทั้งบาร์รัสเซีย อินเดีย อะโกโก้ ร้านอาหารทะเล ร้านไอศกรีมตุรกี จำนวนมาก
จากการลงพื้นที่ตรวจสอบของปลัดเมืองพัทยาเมื่อต้นปี 2560 พบว่าผู้ประกอบการจำนวนมาก มีพฤติกรรมทิ้งน้ำเสียไม่ผ่านการบำบัด และสิ่งปฏิกูลลงทะเลโดยตรง เมืองพัทยากำหนดให้ผู้ประกอบการทั้งหมด ลงทุนติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียมูลค่า 30 ล้านบาท โดยต้องออกเงินกันเอง แต่ทางผู้ประกอบการยังต้องการคำยืนยันว่า หากติดตั้งแล้ว จะต้องรับประกันว่าจะไม่รื้อ ซึ่งเมืองพัทยาได้ปฏิเสธไปแล้วว่าไม่สามารถรับประกันอะไรได้
นโยบายรัฐบาลชุดปัจจุบันได้ประกาศทวงคืนพื้นที่สาธารณะ และในแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ยังมีแผนการพัฒนาพื้นที่อ่าวพัทายใต้ให้เป็นพัทยาเมืองใหม่ หรือพัทยาออนเพียร์ วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท
แต่สภาเมืองพัทยา และผู้บริหารเมืองพัทยาชุดเดิม กลับมีความพยายามผลักดันโครงการถมทะเลเพื่อทำถนน ซึ่งเป็นโครงการที่เคยมีการศึกษามาแล้วตั้งแต่ยุคนายนิรันดร์ วัฒนศาสตร์สาธร เป็นนกเมืองพัทยาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก็เคยว่างจ้างบริษัท แอสดีคอน คอร์ปอเรชั่น จำกัด ศึกษา ออกแบบ และวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โครงการปรัปบรุงพื้นที่อ่าวพัทยาใต้ เมืองพัทยา แต่เมื่อยื่นรายงานอีไอเอ ให้ ส.ผ. พิจารณา
เท่ากับว่าที่ผ่านมาเคยมีการอนุมัติงบประมาณ ให้ศึกษาและวางแผนมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง ในยุค นายกนิรันดร์ และนายกอิทธิพล คุณปลื้ม
น่าสนใจว่าครั้งที่แล้วเรื่องจบตรงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ส.ผ.) ไม่สามารถดำเนินการพิจารณารายงานอีไอเอให้ได้เพราะถือว่าขัดแย้งกับมติคณะรัฐมนตรี ปี 2541 ที่ถือเป็นข้อบังคับทางกฎหมาย จนถึงปัจจุบันกัยังไม่มีการยกเลิกมติดังกล่าว
ไม่แน่ใจว่าการพยายามหยิบยกเรื่อง 101 หลังคาเรือนขึ้นมาเป็นประเด็น ทั้ง 2 ครั้งมีจุดประสงค์เพียงเพื่อหวังผลทางการเมืองท้องถิ่น และการเลือกตั้งระดับชาติหรือไม่ เพราะทุกครั้งจะเป็นการสร้างความหวังให้ผู้ประกอบการ 101 ราย แต่กลับไม่เคยมีความพยายามผลักดันให้ถึงระดับคณะรัฐมนตรี เพื่อขอให้ทบทวนแก้ไขมติเดิม
3 ปีที่ผ่านมา เมืองพัทยาได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเข้ามาวางแผนพัฒนาพื้นที่ โดยกำหนดทางเลือกไว้ 3-4 แนวทางคือ
1. รื้อถอนอาคารทั้งหมดและพัฒนาพื้นที่เป็นสวนสาธารณะริมทะเล เพื่อให้ทุกคนใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเป็นพื้นที่ต่อเนื่องจากชายหาดพัทยาเหนือ จรดท่าเทียบเรือพัทยาใต้
2. รื้อถอนอาคารบางส่วน และพัฒนาระบบสาธารณูปโภค น้ำประปา น้ำเสีย โดยให้สิทธิ์ผู้ประกอบการรายเดิมใช้พื้นที่เหมือนเดิม แต่ให้มีระยะเว้นอาคาร เพื่อความปลอดภัยตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร
3. รื้อถอนอาคารบางส่วนพัฒนาตามแนวทางที่สอง แต่มีการถมทะเลเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มพื้นที่สวนสาธารณะ และพื้นที่ในทางพาณิชย์บริเวณด้านหลังที่ติดทะเล
4. รื้อถอนอาคารทั้งหมด และถมทะเล สร้างพื้นที่ขึ้นใหม่ทั้งหมด เป็นพื้นที่ในส่วนของสวนสาะารณะ ลานกิจกรรม และพื้นที่เพื่อการพาณิชย์ โดยให้เอกชนเข้าบริหาร ผู้ประกอบการรายเดิมและรายใหม่ มีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการเข้าใช้พื้นที่
คำถามที่น่าคิดคือ #ใครบ้างเป็นผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจ ว่าพื้นที่ชายหาดอ่าวพัทยาใต้ควรพัฒนาไปในทิศทางใด
พื้นที่ที่ควรเป็นที่สาธารณะ ควรเป็นทางเลือกของใครในการแก้ไขปัญหารุกล้ำทะเลอ่าวพัทยาใต้
ที่ผ่านการวางแผน ศึกษา มีการรับฟังความคิดเห็นจากใครบ้าง เฉพาะผู้ประกอบการ 101 หลังคาเรือน ตัวแทนชุมชน 42 แห่ง
เท่านั้นหรือที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบ
ประชาชนคนไทยทุกคนมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกแนวทางที่เราต้องการหรือเปล่า?
1. ควรให้รื้อถอนอาคารที่รุกล้ำออกไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2541
2. ควรให้มีการถมทะเลและพัฒนาถนนขนาด 2 เลน ลึกลงไปในทะเลประมาณ 40 เมตร ระยะทาง 800 เมตรเพื่อป้องกันการรุกล้ำเพิ่มเติม?
https://www.facebook.com/PattayaWatchdog/posts/ควรรื้อถอนอาคารรุกล้ำทะเลในวอล์คกิ้งสตรีท-หรือควรทำถนนในทะเลเพื่อคุ้มครองผู้รุกล/1753198501391730/
ควรรื้อถอนอาคารรุกล้ำทะเลในวอล์คกิ้งสตรีท หรือควรทำถนนในทะเลเพื่อคุ้มครองผู้รุกล้ำ?
ควรทำการรื้อถอนอาคารทั้ง 101 หลังคาเรือนออกไป เพื่อพัฒนาพื้นที่ชายหาดพัทยาใต้ให้เป็นพื้นที่สาธารณะ ขยายพื้นที่ชายหาดจากพัทยาเหนือ ถึงท่าเรือพัทยาใต้ ตามมติคณะรัฐมนตรี ปี 2541
หรือพัทยาควรป้องกันการบุกรุกพื้นที่ด้วยการถมทะเลพัฒนาถนนในทะเล เพื่อทำแนวเขต ไม่ให้มีการรุกล้ำพื้นที่ในอ่าวพัทยาใต้เพิ่มเติม
เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2559 ก่อนสภาเมืองพัทยาชุดเดิมจะหมดวาระเพียง 4 เดือน ได้อนุมัติงบประมาณ 4 ล้านบาทว่าจ้างที่ปรึกษาทำการศึกษาโครงการตัดถนนในทะเลพัทยาใต้ ถนนขนาด 2 เลน ลึกลงไปในทะเล 40 เมตร ระยะทาง 800 เมตร
สิ่งที่สภาเมืองพัทยาตัดสินใจจ้างที่ปรึกษานั้น เป็นทางเลือกของใคร?
ของประชาชนส่วนรวม หรือของผู้ประกอบการเจ้าของอาคาร 101 รายในวอล์คกิ้งสตรีทฝั่งทะเล?
ต้องไม่ลืมว่าตามแผนการฟื้นฟูบูรณะเมืองพัทยา คณะรัฐมนตรี โดยคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติได้มีมติอนุมัติงบประมาณให้ถมทะเลเพื่อพัฒนาท่าเรือบาลีฮาย ในปี 2541 พร้อมยังระบุให้รื้อถอนอาคารที่รุกล้ำชายหาดจำนวน 101 หลังคาเรือน (ในวอล์คกิ้งสตรีท ฝั่งทะเล)
ความเป็นมาของอ่าวพัทยาใต้ในอดีตคือหมู่บ้านชาวประมงมีประวัติศาสตร์ยาวนานร่วม 100 ปี จนพัทยามาถึงยุคพัฒนาการท่องเที่ยวในช่วงปี 2510 มีการรุกล้ำพื้นที่ชายทะเลเพิ่มเติม จากเดิมที่มีบ้านขนาดเล็ก ก็ขยับขยายต่อเติมเป็นบังกะโลพักอาศัย จนต่อมาเปิดเป็นกิจการร้านค้า ร้านอาหาร บาร์เบียร์จำนวนมาก ไม่เหลือสภาพหมู่บ้านชาวประมงแบบในอดีตอีกต่อไป
ชายหาดพัทยาจากพัทยาเหนือถึงพัทยาใต้ มีปัญหาคุณภาพสิ่งแวดล้อม น้ำทะเลสกปรก เสื่อมโทรม ที่สำคัญคือาการกัดเซาะหาดทราย ในปี 2532 เจแปน อินเตอร์เนชั่นแนล เอเจนซี่ หรือไจก้า ได้ศึกษาแผนแม่บทพัฒนาเมืองพัทยา ระบุว่าการก่อสร้างอาคารบนชายหาดพัทยาใต้ (วอล์คกิ้งสตรีท) ทำให้มวลชายหาดขาดความสมดุล เกิดปัญหาการเคลื่อนสุทธิของตะกอนหาดทรายชายฝั่งลดลง เป็นต้นเหตุทำให้หาดพัทยาแคบลงเรือยๆ เกิดการกัดเซาะชายหาดพัทยา ตั้งแต่พัทยาเหนือจนถึงพัทยาใต้
ไจก้าได้เสนอให้รื้อถอนอาคารที่รุกล้ำบนชายหาดพัทยาใต้ เพราะก่อสร้างโดยไม่ถูกกฎหมาย และเป็นแหล่งทิ้งขยะมูลฝอย สิ่งปฏิกูล และน้ำเสียลงสู่ทะเลโดยตรง
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ยอมรับว่าปัญหาการกัดเซาะชายหาดพัทยา สาเหตุหลักมาจากการใช้ประโยชน์พื้นที่จนเกินขีดจำกัด จึงเกิดปัญหาการปลูกสิ่งก่อสร้างโดยเฉพาะที่พักตากอากาศ ร้านค้า และแหล่งบันเทิงรุกล้ำพื้นที่ชายหาด ส่งผลให้ทรัพยากรชายฝั่งของพัทยาเสื่อมโทรมจากการทิ้งสิ่งปฏิกูลลงทะเล และเกิดปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง
ต่อมาในปี 2542 คณะกรรมธิการท่องเที่ยวและคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฏรมีความเห็นว่าให้ชะลอการรื้อถอนอาคารที่รุกล้ำ 101 รายออกไป 3 ปี ตามการเรียกร้องจากนักธุรกิจเจ้าของอาคาร และกำลังอยู่ระหว่างการเสนอให้คณะรัฐมนตรี ทบทวนมติวันที่ 6 ตุลาคม 2541 กรณีคำสั่งรื้อถอน โดยให้ถือว่าอาคารเหล่านั้นเป็นเอกลักษณ์ของเมืองพัทยาซึ่งเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยว ซึ่งหากมีการรื้อถอนจะส่งผลประทบต่อประชาชนเป็นอย่างมาก
ประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาคือ ชายหาดพัทยาใต้ คือพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนคนไทยทุกคนมีสิทธิ์ใ้ช้ประโยชน์ร่วมกัน แต่ทุกวันนี้ผู้ประกอบการบางรายถือสิทธิ์เหนือพื้นที่ที่ควรจะเป็นพื้นที่สาธารณะ และไม่ใช่การครอบครองเพื่อพักอาศัย แต่กลับมีการให้เช่าต่อ บางรายผู้เช่าก็เป็นชาวต่างชาติเปิดสถานบริการ ทั้งบาร์รัสเซีย อินเดีย อะโกโก้ ร้านอาหารทะเล ร้านไอศกรีมตุรกี จำนวนมาก
จากการลงพื้นที่ตรวจสอบของปลัดเมืองพัทยาเมื่อต้นปี 2560 พบว่าผู้ประกอบการจำนวนมาก มีพฤติกรรมทิ้งน้ำเสียไม่ผ่านการบำบัด และสิ่งปฏิกูลลงทะเลโดยตรง เมืองพัทยากำหนดให้ผู้ประกอบการทั้งหมด ลงทุนติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสียมูลค่า 30 ล้านบาท โดยต้องออกเงินกันเอง แต่ทางผู้ประกอบการยังต้องการคำยืนยันว่า หากติดตั้งแล้ว จะต้องรับประกันว่าจะไม่รื้อ ซึ่งเมืองพัทยาได้ปฏิเสธไปแล้วว่าไม่สามารถรับประกันอะไรได้
นโยบายรัฐบาลชุดปัจจุบันได้ประกาศทวงคืนพื้นที่สาธารณะ และในแผนพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ยังมีแผนการพัฒนาพื้นที่อ่าวพัทายใต้ให้เป็นพัทยาเมืองใหม่ หรือพัทยาออนเพียร์ วงเงิน 1 หมื่นล้านบาท
แต่สภาเมืองพัทยา และผู้บริหารเมืองพัทยาชุดเดิม กลับมีความพยายามผลักดันโครงการถมทะเลเพื่อทำถนน ซึ่งเป็นโครงการที่เคยมีการศึกษามาแล้วตั้งแต่ยุคนายนิรันดร์ วัฒนศาสตร์สาธร เป็นนกเมืองพัทยาเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ก็เคยว่างจ้างบริษัท แอสดีคอน คอร์ปอเรชั่น จำกัด ศึกษา ออกแบบ และวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (อีไอเอ) โครงการปรัปบรุงพื้นที่อ่าวพัทยาใต้ เมืองพัทยา แต่เมื่อยื่นรายงานอีไอเอ ให้ ส.ผ. พิจารณา
เท่ากับว่าที่ผ่านมาเคยมีการอนุมัติงบประมาณ ให้ศึกษาและวางแผนมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ครั้ง ในยุค นายกนิรันดร์ และนายกอิทธิพล คุณปลื้ม
น่าสนใจว่าครั้งที่แล้วเรื่องจบตรงการศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ส.ผ.) ไม่สามารถดำเนินการพิจารณารายงานอีไอเอให้ได้เพราะถือว่าขัดแย้งกับมติคณะรัฐมนตรี ปี 2541 ที่ถือเป็นข้อบังคับทางกฎหมาย จนถึงปัจจุบันกัยังไม่มีการยกเลิกมติดังกล่าว
ไม่แน่ใจว่าการพยายามหยิบยกเรื่อง 101 หลังคาเรือนขึ้นมาเป็นประเด็น ทั้ง 2 ครั้งมีจุดประสงค์เพียงเพื่อหวังผลทางการเมืองท้องถิ่น และการเลือกตั้งระดับชาติหรือไม่ เพราะทุกครั้งจะเป็นการสร้างความหวังให้ผู้ประกอบการ 101 ราย แต่กลับไม่เคยมีความพยายามผลักดันให้ถึงระดับคณะรัฐมนตรี เพื่อขอให้ทบทวนแก้ไขมติเดิม
3 ปีที่ผ่านมา เมืองพัทยาได้ว่าจ้างที่ปรึกษาเข้ามาวางแผนพัฒนาพื้นที่ โดยกำหนดทางเลือกไว้ 3-4 แนวทางคือ
1. รื้อถอนอาคารทั้งหมดและพัฒนาพื้นที่เป็นสวนสาธารณะริมทะเล เพื่อให้ทุกคนใช้ประโยชน์ร่วมกัน โดยเป็นพื้นที่ต่อเนื่องจากชายหาดพัทยาเหนือ จรดท่าเทียบเรือพัทยาใต้
2. รื้อถอนอาคารบางส่วน และพัฒนาระบบสาธารณูปโภค น้ำประปา น้ำเสีย โดยให้สิทธิ์ผู้ประกอบการรายเดิมใช้พื้นที่เหมือนเดิม แต่ให้มีระยะเว้นอาคาร เพื่อความปลอดภัยตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร
3. รื้อถอนอาคารบางส่วนพัฒนาตามแนวทางที่สอง แต่มีการถมทะเลเพิ่มเติมเพื่อเพิ่มพื้นที่สวนสาธารณะ และพื้นที่ในทางพาณิชย์บริเวณด้านหลังที่ติดทะเล
4. รื้อถอนอาคารทั้งหมด และถมทะเล สร้างพื้นที่ขึ้นใหม่ทั้งหมด เป็นพื้นที่ในส่วนของสวนสาะารณะ ลานกิจกรรม และพื้นที่เพื่อการพาณิชย์ โดยให้เอกชนเข้าบริหาร ผู้ประกอบการรายเดิมและรายใหม่ มีสิทธิ์เท่าเทียมกันในการเข้าใช้พื้นที่
คำถามที่น่าคิดคือ #ใครบ้างเป็นผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจ ว่าพื้นที่ชายหาดอ่าวพัทยาใต้ควรพัฒนาไปในทิศทางใด
พื้นที่ที่ควรเป็นที่สาธารณะ ควรเป็นทางเลือกของใครในการแก้ไขปัญหารุกล้ำทะเลอ่าวพัทยาใต้
ที่ผ่านการวางแผน ศึกษา มีการรับฟังความคิดเห็นจากใครบ้าง เฉพาะผู้ประกอบการ 101 หลังคาเรือน ตัวแทนชุมชน 42 แห่ง
เท่านั้นหรือที่เป็นผู้ได้รับผลกระทบ
ประชาชนคนไทยทุกคนมีสิทธิ์ออกเสียงเลือกแนวทางที่เราต้องการหรือเปล่า?
1. ควรให้รื้อถอนอาคารที่รุกล้ำออกไปตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อปี 2541
2. ควรให้มีการถมทะเลและพัฒนาถนนขนาด 2 เลน ลึกลงไปในทะเลประมาณ 40 เมตร ระยะทาง 800 เมตรเพื่อป้องกันการรุกล้ำเพิ่มเติม?
https://www.facebook.com/PattayaWatchdog/posts/ควรรื้อถอนอาคารรุกล้ำทะเลในวอล์คกิ้งสตรีท-หรือควรทำถนนในทะเลเพื่อคุ้มครองผู้รุกล/1753198501391730/