ประสบการณ์การหา รร ในจังหวัดเชียงใหม่

ดิฉันขอแบ่งปันประสบการณ์การหา โรงเรียนในเชียงใหม่

ดิฉันและลูกเป็นคนกรุงเทพตั้งแต่กำเนิด แต่ส่วนตัวรู้สึกต้องการใช้ชีวิตอยู่เชียงใหม่ จึงเริ่มหาข้อมูลโรงเรียน โดยดูรายละเอียดจากเว็บไซด์ของแต่ละสถาบัน ดูรีวิวในพันทิพย์ และุเว็บไซด์อื่น ๆ ดิฉันใช้เวลาในการสอบถามคนพื้นที่เกี่ยวกับชื่อเสียงของโรงเรียน ก็ได้รับคำแนะนำมากมาย แต่โรงเรียนที่ดิฉันมองไว้มีอยู่ 2 โรงเรียนในใจ คือโรงเรียนปรินซ์รอยัลและโรงเรียนมงฟอร์ด ด้วยข้อจำกัดบางประการทำให้ไม่ได้เลือก ปรินซ์ (จำใจไม่เลือกนะคะ เสียดายมาก) จึงเหลือโรงเรียนมงฟอร์ด  แต่เกรงลูกจะสอบเข้าไม่ได้จึงต้องหาโรงเรียนสำรองไว้อีกหนึ่งแห่ง ซึ่งก็ใช้วิธีเช่นเดิมคือการดูเว็บไซด์ของสถาบัน และดูรีวิวจากเว็บไซด์ ก็มีสถาบันเอกชนแห่งหนึ่งดูดี สะอาด และร่มรื่น (ดูหลักสูตรการเปิดสอนหลากหลาย จึงดำเนินการโทรสอบถามกว่า 6 ครั้ง ก่อนจะตัดสินใจให้ลูกไปสมัครสอบ ทั้ง 2 รร คือ รร มงฟอร์ด และ รร เอกชนที่ไม่ได้อยู่ในอันดับดีเลยในด้านวิชาการ แต่ที่เลือกเพราะ จนท บอกว่า “ทุกวิชาสอนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด ยกเว้น ภาษาไทย ประวัติศาสตร์ และลูกเสือ” ดูจากเว็บไซด์ของสถาบันก็เขียนเช่นนั้น มันสมควรไว้ใจและน่าสนใจใช่ไม๊คะ

สุดท้ายลูกสอบผ่านทั้ง 2 รร ดังนั้นการที่จะต้องเลือกโรงเรียนให้ลูก ย่อมสำคัญที่สุด ดิฉันจึงโทรสอบถามเรื่องหลักสูตร ทั้งสองแห่งอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ โดยมีใจความรวมดังนี้:

1.    ต้องขอขอบคุณมงฟอร์ดที่ให้ข้อมูลอันเป็นจริง (จึงทำให้ดิฉันไม่ได้เลือกมงฟอร์ด) เสียดายมาก

2.    สถาบันที่ 2 แห่งนี้ ดิฉันก็โทรสอบถามทั้งฝ่ายประชาสัมพันธ์  หรือ แผนกให้ข้อมูลแล้วแต่จะเรียก และมีโอกาสคุยกับฝ่ายวิชาการ เรื่องหลักสูตรการสอน ซึ่งก็ได้คำตอบตรงกันทั้ง 2 แผนกเรื่องการชำระค่าเรียน และหลักสูตรซึ่งข้อมูลเกี่ยวกับหลักสูตรการสอนตรงกับ ข้อมูลในเว็บไซด์ และข้อมูลในหนังสือคู่มือ

3.    ก่อนตัดสินใจเลือกสถานศึกษาและชำระเงินดิฉันสอบถามว่า หลักสูตร EP 1 นั้น เรียนภาษาอังกฤษวิชาอะไรบ้าง ทั้งเจ้าหน้าที่ประชาสัมพันธ์ และวิชาการให้ข้อมูลตรงกันว่า ทุกวิชาเป็นภาษาอังกฤษ ยกเว้นภาษาไทย ประวัติศาสตร์ และลูกเสือ การสอบถามไม่ใช่ครั้งเดียว หลายครั้งมาก เพราะดิฉันก็ย้ำว่าต้องการข้อมูลเพื่อเปรียบเทียบกับสถาบันอื่น ก็ได้คำตอบเหมือนเดิม คือเรียนทุกวิชาเป็นภาาาอังกฤษหมด ยกเว้น ภาษาไทย ประวัติศาสตร์ และ ลูกเสือ

เมื่อเปรียบเทียบข้ัอมูลที่ได้แล้ว จึงตัดสินใจเลือกสถาบันที่ว่าสะอาด ดูดี คือสถาบันที่ 2 (เสียดายโอกาสที่ลูกอุตส่าห์สอบเข้าได้ที่มงฟอร์ด) เฮ้อ

เมื่อถึงวันซื้อหนังสือ ก็ค่อนข้างแปลกใจที่หนังสือเกือบทั้งหมดใช้หนังสือแปลของไทย มีเล่มเดียวที่เป็นหนังสือต่างชาติที่ไม่รู้สึกว่าได้ประโยชน์อะไรกับลูกมาก แต่ก็คิดในแง่ดีว่า เอาน่า ลูกเรียนเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง น่าจะมีอะไรที่ดี ๆ เข้ามา

ก่อนการเปิดเรียน มีการพบปะ ผปค และครู ประจำชั้น ซึ่งมีครูหลักอยู่ 2 คน คือครูไทย และครูฝรั่ง เมื่อเวลาผ่านไปก็ค่อนข้างตกใจ เพราะทั้ง ผปค และเด็ก เต็มห้องมาก จึงรู้สึกว่า ห้องเล็กไปรึเปล่า สำหรับเด็ก 35 คน และเมื่อเห็นตารางสอนยิ่งตกใจ ที่ครู ประจำชั้นทั้ง 2 คน สอนเป็นหลัก ครูต่างชาติสอนเกือบ 10 วิชา (ตามตารางสอนที่ได้มา) ครูไทยในตารางสอน กำหนด 4 วิชา แต่ในความเป็นจริง ครูไทยสอนเลข วิทย์ สังคม หรือวิชาอื่น ถ้าครูต่างชาติไม่มา

เรากับลูกจะมีการคุยกันทุกวัน ทุกเรื่อง จึงเป็นที่มาของคำว่า หา รร ใหม่ เมื่อเริ่มเปิดเรียน ประมาณ สัปดาห์ที่ 2 หรือ 3 ไม่แน่ใจ ครูประจำชั้นชาวต่างชาติหยุด ลูกบอกไม่มีครูต่างชาติมาสอนแทน มีแต่ครูไทยประจำชั้นที่สอนแทน เราก็แปลกใจหน่อย ๆ ว่าทำไมไม่มีครูสอนแทน อีกสัปดาห์ถัดมา ครูประจำชั้นชาวต่างชาติขาดอีก ก็ไม่มีครูมาสอนเหมือนเดิม จึงถามลูกว่าใครสอน ลูกบอกครูไทยสอน เป็นภาษาอังกฤษบางครั้ง เราจึงคิดว่า "เฮ้ย มันไม่ใช่แล้ว" ก็ยังมองในแง่ดีว่า รร น่า จะกำลังบริหารจัดการ ครั้งที่ 3 ครูต่าชาติหยุดอีก ก็ไม่มีครูมาสอนแทน จึงไลน์ไปสอบถามครูประจำชั้นไทยเรื่องการไม่มีครูต่างชาติสอนแทน และเรื่องปัญหาต่าง ๆ นอกจากนั้นวิชาคอมพิวเตอร์ที่ตามตารางเรียนระบุไว้เป็นครูต่างชาติสอน สรุปเป็นครูไทยสอนอีก เราจึงโทรสอบถามผ่ายวิชาการว่า....

เรา :                             ไม่ทราบว่าวิชาคอมพิวเตอรืครูไทยหรือครูต่างชาติสอน
ครูฝ่ายวิชาการคนแรก:        เด็กเรียนอยู่ชั้นไหน
เรา:                           EP1 ห้องสี…….....
ครูฝ่ายวิชาการคนแรก:      ครูต่างชาติ
เรา:                          แล้วทำไมที่ผ่านมาเป็นครูไทยสอน
ครูฝ่ายยวิชาการคนแรก:      รอแป๊บ  ครูไปถามครูอีกท่านที่เป็นผู้หญิง  ครั้งแรกที่เราได้ยินเสียงการสนทนาระหว่างครู 2 คน ครูผู้หญิงบอกว่าเป็นครูต่างชาติ แต่ครูผู้ชายบอก ผปค แจ้งเป็นครูไทย เงียบไปซักพัก ครูผู้หญิงจึงรับสายพูดแทน
ครูผู้หญิง:                  วิชาคอมพิวเตอร์เป็นครูไทยสอน    
เรา:                         ทำไมเป็นครูไทยคะในเมื่อในตารางสอนแจ้งว่าเป็นครูต่างชาติ
ครูผู้หญิง:                  ครูต่างชาติไม่ถนัดสอน
เรา:                         หรอคะ (แต่ในใจลึก ๆ ค่อนข้าง งง หน่อย ๆ ว่า
ครูต่างชาติคนนี้สอนมา 2 ปี แล้ว ทางฝ่าย ผู้บริหารและวิชาการ ไม่ทราบเหรอว่าครูถนัดหรือไม่ เท่ากับเป็นการหลอกลวง ผปค นะซิ) ก็จบการสนทนาไป

หลังจากนั้น ดิฉันไม่ใส่ใจเรื่องอะไรต่าง ๆ ของ รร นี้ และวิชาคอมพิวเตอร์ที่แจ้งว่าสอนโดยครูต่างชาติก็เป็นครูไทยสอนจนจบเทอม  ส่วนปัญหาเรื่องการไม่มีครูทดแทนสอน เมื่อครูต่างชาติขาด ก็พอจะมีครูมาสอนแทนบ้าง 1 คาบบ่าง 2 คาบบ้าง  ซึ่งเราบอกได้เลยว่าเราทำใจ

เคยถามลูกว่าครูที่มาสอนแทนเป็นใครบ้าง ก็พอจะทำใจได้ เพราะบางท่านเห็นเป็นครูประจำชั้นข้างห้องที่เอาใจใส่ในการสอนนักเรียนในห้องตนเองดีมาก สังเกตุการกระทำของครูท่านนี้นานพอควร พอมาสอนแทน 1 คาบก็รู้สึกดีกว่าไม่มาสอนและลูกชอบมาก เพราะครูสอนให้เด็กได้ความรู้และลูกสามารถอธิบายต่อ

มีอยู่ครั้งหนึ่งเราถามลูกเรื่องครูไม่มาสอนและใครสอนแทน ครูชื่ออะไร ลูกตอบชื่อแบบจำได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะเป็นครูจากชั้นอื่น ก็ถามลูกว่าครูสอนอะไร ลูกตอบครูบางท่านไม่ได้สอนแค่มานั่งเฉย ๆ เราจึงถามและพวกหนูทำอะไร ลูกบอก พวกหนูก็คุยกันเดินกัน (ใจคิด เออ เจริญ)

วันหนึ่งขณะเรานั่งอยุ่ในโรงอาหาร ลูกชี้ไปที่เด็กเรียนอินเตอร์คนหนึ่ง ลูกบอกนั่นไงครูที่สอนหนู เราถามครูคนไหน ลูกชี้ไปที่เด็กคนนั้นและ้บอกลักษณะของเสื้อ เราว่าฮะใครนะ คนไหน ลูกก็ชี้ไปอีก เราบอกนั้นไม่ใช่ครูเป็นพี่ที่เรียนอินเตอร์ เลยถามลูก หนูจำผิดรึเปล่า ลูกบอกไม่ ครูสอนหนูเพราะหนูทำเลขผิด ครูเลยมาช่วยหนู 555555 (เจริญเข้าไปอีกคะ)

ก่อนจบเทอม เราขอหนังสือ Science ของลูกกลับมาเพื่อจะดู วันไปรับหนังสือ ครูต่างชาติพูดกับเราว่า:

ครูต่างชาติ:    หนังสือไม่ได้ทำอะไรมาก
เรา:                ไม่เป็นไร (ยังไม่เห็นด้านในหนังสือ ไม่คิดว่าไม่ได้ทำอะไรมากเป็นอย่างไร)
ครู:                ชั้นพยายามเจรจากับฝ่ายวิชาการ ว่าหนังสือเล่มนี้ยากเกินไปสำหรับเด็ก
เรา:               ไม่เป็นไร (ไม่ได้คิดอะไรจริง ๆ เพราะไม่คิดว่าไม่ได้ทำอะไรมากนั้นเป็นอย่างนี้)
ดิฉันจะนำไปดูว่าลูกเรียนเป็นอย่างไร
ครู:                หนังสือพวกนี้ยากเกินไปสำหรับเดํก
เรา:               ไม่เป็นไร (ยิ่ม)

กลับถึงบ้าน เปิดหนังสือ พระเจ้า…… อกอีแป้นจะแตก ไม่คิดว่าไม่ได้ทำอะไรมาก จะมีแค่วาดรูป 3 หน้า…… จะได้ส่งไลน์ถามครูประจำชั้นไทย

คืนนี้มีโอกาสได้คุยกับครู….. ก็ทราบว่า ที่ผ่านมาที่ครูไทยสอนที่ รร นี้ ไม่มีการใช้หนังสือพวกนี้ในการสอนเลย ส่วนมากจะเป็นชีท.. .เราก็ ฮะ…… แจ้งครูไปทุกเรื่องในสิ่งที่เกิดขึ้น ทั้งปากกา Markers หายบ้าง ดินสอบ้าง คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของเด็ก แต่หายบ่อยจน เฮ้ย… ไม่ใช่แล้ว ไหนครูบอกว่า ตั้งแต่สอนมา ไม่มีของหาย ………ก็ได้คืนบ้าง ไม่คืนบ้างก็เริ่มไม่สนใจ เพราะใจเริ่มไม่คิดจะอยู่ต่อ รร นี้ หลังจากที่คิดว่าจะออก

นอกจากนั้นหลังจากจะหมดเทอม ทาง รร คืนหนังสือให้ ผปค เห็นหนังสือแล้วตกใจ 55555 หนังสือ

-    Social Studies religion and culture
-    Health and Physical education,
-       วิชาประวัติศาสตร์ ไม่มีหนังสือสอนนะคะ สอนเป็นภาษาอังกฤษด้วย คือ This is the Past หรือ This is Present 5555 กรู นึกว่าครูสอนแกรมม่าอังกฤษ
-    และหนังสือนาฎศิลป์ สะุอาดมากคะ ไม่มีการเปิดใช้เลยซักหน้า ถามลูก ๆ บอก ไม่เคยได้ใช้เลย แม่เจ้า 5555555 อีแป้นทำใจเลยค่ะ 555555  ไม่ถามครูคะ ไม่รู้จะถามทำไม เพราะดูแล้วก็คงจะตอบเหมือนเดิมว่า “สื่อการสอนยากเกินไปสำหรับเด็ก” ในใจคิด แล้วให้ ผปค ซื้อให้เสียเงินเพื่ออะไร

เราก็เปิดดูหนังสือ สมุดแบบฝึกหัด ก็ได้แต่ทำใจและส่ายหน้า  ก็ได้แต่ทำใจเออ (เลือกเองก็รับผลของกรรมไป สงสารลูกจริง ๆ ) เราเปิดดูสมุกแบบฝึกหัดประวัติศาสตร์ แม่เจ้า สมุดแบบฝึกหัดเริ่มเขียนวันที่ 12 กันยายน และเป็นภาษาอังกฤษแทนภาษาไทย ก็เลย งง ว่า ทั้งสัปดาห์ ครูสอนอะไรเกี่ยวกับเรื่องประวัติศาสตร์ ผลงานกับหนังสือก็ไม่มี  วิชา Health มีผลงาน 1 แผ่น  CAT ไม่มีเลยซักแผ่น ว้าว เห็นผลงานแล้ว อยากถามครูจังเลยว่า มาเป็นครูเพื่ออะไรกัน  

ถามเรื่องหนังสือบางเล่มลูกบอกไม่เคยใช้ ส่วนสมุดแบบฝึกหัดของประวัติศาสตร์ ที่จะต้องสอนเป็นภาษาไทย ก็เป็นภาษาอังกฤษ พึ่งจะเริ่มแปะภาพวันที่ 12 September 2018 ลูกบอกครูบอกให้วาดรูปถึง 3 ภาพในวันเดียว ดิฉันดัวันที่เพื่อให้แน่ใจว่าลูกพูดความจริง

จึงเข้าไปสอบถามครูไทย ครูท่านก็ตอบดีคะ ออกแนบวิชาการบอกตามกระทรวง และส่งรายละเอียดการสอนบางส่วนให้เรา เราบอก เข้าใจคะครู สอนเรื่องควายไถนาในการปลูกข้าวเข้าใจได้ แต่ไอ้แค่แปะกระดาษ Past กับ Present หรือวาดรูปของเทศกาลต่าง ๆ ซึ่งยังไม่ถึง เหมือนเพื่อจะให้ ผปค รู้สึกว่า ทำอะไรไปบ้าง คือสำหรับเรามันไม่ใช่ เราก็เลยแจ้งแบบเชิงกระแนะกระแหนว่า นึกว่าลูกเรียนแกรมม่าภาษาอังกฤษ 555555

ก่อนลาออกจาก รร ดิฉันลองโทรสอบถาม ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ก็ยังคงได้รับคำตอบเดิมว่า ทุกวิชาเป็นภาษาอังกฤษหมด ยกเล้นภาษาไทย ประว้ัติศาสตร์ และลูกเสือ ส่วนค่าเทอม จนท ตอบแบบต้องการให้ ผปค เสียเงินเยอะมั้งคะ ถามหลักสูตรธรรมดาซึ่งค่าเรียนก็ประมาณ 30000 บาท จนท บอก 49000 สำหรับ หลักสูตรธรรมดา ส่วนหลักสูตร EP1ตอบค่าเทอมตามจริงคือ เกือบ 60000 บาท ต่อเทอม … เออ เจริญ 55555 อยากได้หลักฐานไม๊คะ มีคะ 55555

คือไม่ได้โทษครูนะคะ เพราะเข้าใจว่า ครู 1 คน โดยเฉพาะครูต่างชาติท่านนี้ซึ่งสอนประมาณ 8 วิชาหรือมากกว่า ว๊าว เก่งจัง สอนไปได้ยังไง 5555 หรือช่วงแรกครูต่างชาติไม่มาครูไทย เหมาหมด เด็กจะได้อะไรคะด้านความรู้ บางครั้งลูกพูดเองเลยคะ ว่าครูไทยสอนเป็นภาษาอังกฤษ หนูไม่รู้เรื่อง เออ เจริญ (ไม่ได้โทษครูนะคะ ดิฉันโทษฝ่าย บริหาร และวิชาการ คูณเปิดหลักสูตรออกมาได้อย่างไร ถ้าคุณไม่พร้อมเรื่องบุคคลากร

ค่าเทอม ปีละ เกือบ 120,000 x นักเรียน 35 คน ต่อห้อง = 4,200,000 บาท ประมาณเงินเดือนครูต่างชาติ ประมาณ 50,000 บาท ครูไทย 25,000 รวม 75,000x12 = 900,000 บาท โบนัสรวม 2 ท่าน 100,000 บาท รวม 1,000,000 บาท ค่า น้ำไฟ เสื่อราคาอุปกรณ์และอาคาร พนักงานต่าง ๆ ให้ปีละ 750,000 บาท รวมค่าใช้จ่าย 1,750,000 บาทต่อปี คงเหลือกำไร 4,200,000-1,750,000 บาท เหลือกำไร +/- ปรมาณ 2,450,000 ต่อห้องของหลักสูตร EP

ดิฉันเป็นคนไม่เชื่อลูกทั้งหมดคะ เพราะก่อนส่งครูจะสอนลูกก่อน โดยเฉพาะเรื่องภาษาอังกฤษ เราเองยังงง กับรูปภาพและคำตอบ มันช่างเออ….. คือไรคะ …. ใครเป็นผู้ออกแบบสื่อการสอนและชีทงานการบ้าน …..
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่