จิต มโน วิญญาณ ไม่ยากเลยที่จะเข้าใจ

จิต มโน วิญญาณ คืออะไร มีความหมายต่างกันอย่างไร
จิต ในพระสูตร มีความหมายต่างจากคำว่า วิญญาณ และ คำว่ามโน ส่วนในอภิธรรม จิต วิญญาณ มโน ใช้ในความหมายเดียวกัน
วิญญาณ มีความหมาย ๒ อย่างคือ
๑. วิญญาณที่ยังเป็นธาตุตามธรรมชาติมีลักษณะประภัสสร ซึ่งวิญญาณธาตุนี้คือตัวรู้หรือผู้รู้ หรือ ผู้เห็น หรือผู้สังเกตุ ซึ่งหมายถึง จิต
หรือ จิตเดิม เรียกว่าวิญญาณธาตุ (จิตนี้แค่ประภัสสรแต่ยังไม่บริสุทธิ์)จึงมีภาวะที่ถูกเรียกว่าสัตว์อยู่ด้วยเพราะยังมีอวิชชาติดข้องอยู่
ในจิตนี้ จึงเวียนว่ายคือเมื่อกายเราแตกทำลายลง และเพราะจิตนึ้ยังมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงไปฏิสนธิกับอีก 5 ธาตุต่อไปรวมตัวเป็น
กายกับจิต(รูปนาม)อีก เมื่อจิตนี้ยังมี อวิชชา ติดอยู่ จะเรียกว่าสัตว์หรือที่บางสำนักเรียกสัตตานัง เพราะเราคือสัตว์ใช้
อธิบาย ได้บางบริบทได้ เพราะเรา ฉัน หรือ ข้าพเจ้า คือธาตุรู้หรือจิตและเรายังมีภาวะสัตว์หรือสัตตภาวะ และไม่ควรใช้คำว่าสัต
ตานังแทนคำว่าสัตว์ เพราะว่า สัตตานังมันหมายถึงเหล่าสัตว์ หรือสรรพสัตว์ ซึ่งเราควรใช้คำว่าจิตจึงจะชัดเจนที่สุดในหลายๆ
เรื่องที่อธิบาย
****จึงมีพุทธพจน์เช่น เห็นจิตในจิต หรือมีการ ตรัสว่า เมื่อราคะเกิดขึ้นที่จิต ก็รู้ชัดว่าราคะเกิดขึ้นที่จิต...... ไม่ใช้ว่า เมื่อราคะเกิด
ขึ้นที่สัตว์ ก็รู้ชัดว่าเกิดขึ้นที่สัตว์***** เมื่ออวิชชา หมดไปจากจิต ก็เรียก วิมุตติจิต หรือจิตคือพุทธะ

๒. วิญญาณที่ถูกปรุงแต่งโดยสังขาร หรือถูกอวิชชาปรุงแต่งเป็นความรู้สึกทางอายตนะ และ วิญญาณนี้เมื่อดับลง ก็เกิดวิญญาณดวง
ใหม่และจะเปลี่ยนชื่อไปตาม อายตนะ นั้นๆ เช่น วิญญาณทางตา วิญญาณทางหู วิญญาณเหล่านี้เมี่อเราแบ่ง รูปนาม หรือ
กายกับจิต เป็นกองๆ 5 กองหรือ 5 ขันธ์ คือ
รูป 1 กอง เวทนา 1 กอง สัญญา 1 กอง สังขาร 1 กอง และ วิญญาณ 1 กอง วิญาณในฐานะเป็นส่วนประกอบของขันธ์ ๕ คือ
อาการรู้แจ้งในอารมณ์ต่างๆ หรือ ก็คืออาการทางจิตนั่นเอง(คืออาการที่ถูกเราหรือวิญญาณธาตุ(จิต)ในความหมายที่ ๑ รับรู้ หรือ
ถูกเราเห็นเป็นเรื่องๆทีละเรื่อง หรือ เกิดดับๆทีละดวงไม่ได้เวียนว่าย)

คำว่า มโน หรือใจนั้น การที่จิตรู้เรื่องนั้นๆจะต้องรับรู้ผ่านทวารหรือประตูทั้ง ๖ ได้แก่ ๑. ทางตาเช่นจักษุวิญญาณ ๒. ทางหู
๓. ทางจมูก ๔. ทางลิ้น ๕. ทางกายสัมผัส และ ๖. ทางใจหรือมโน เช่น มโนวิญญาณ

เปรียบเหมือนน้ำในแก้วใบที่๑ที่สั่นไหว มีลูกคลื่นไหวไปมาตลอด คลื่นลูกที่ 1.2.3.....เหมือนวิญญาณดวง1.2.3...เกิดดับๆ ฉนั้นวิญญาณก็เกิดดับไม่ได้เวียนว่าย แต่น้ำก็ยังเป็นน้ำในแก้วในแก้วใบที่ ๑ แล้วเราเทน้ำในแก้วใบที่ ๑ ย้ายไปไว้ในแก้วที่ ๒ ลูกคลื่นใหม่หรือเทียบกับวิญญาณใหม่ก็เกิดดับตลอด ส่วน น้ำก็ยังเป็นน้ำตลอด ไม่เปลี่ยนแต่เปลี่ยนไปอยู่แก้วใบที่ ๒ เปรึยบน้ำเหมือนจิตเดิม ก็ยังเป็นจิต
เดิมตลอดไป ไม่ได้ดับแต่ย้ายหรือเวียนว่ายไปอยู่ในขันธ์ใหม่ หรือถ้าเป็นน้ำก็ย้ายใปอยู่ในแก้วใบใหม่เท่านั้นเอง พระพุทธองค์สอนหลักธรรมชาติ เพราะธรรม ธรรมะ ธรรมชาติ จิต คิอสี่งเดียวกันง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่ยาก ตรงที่ทำอย่างไรถึงจะให้ตะกอน ฝุ่นหยาบ ตะกอนละเอึยดต่างๆ หมดไปจากน้ำ หรือขจัดกิเลสที่อยู่ในจิตให้หมดไปได้อย่างไรเพื่อให้จิตบริสุทธ๋ ผมก็กำลังทำอยู่แต่ยังไม่หมด นี่ซิครับ ยากจริงๆ
วิญญาณ ในฐานะเป็นส่วนประกอบขันธ์ ๕ เป็นส่วนหนึ่งที่รู้แจ้งในอารมณ์ ลักษณะรับรู้อารมณ์ เรียกว่า วิญญาณขันธ์ คือธรรมชาติที่รู้อารมณ์ คือ ความรู้แจ้งเรี่องนั้นๆผ่านทางทวารหรือประตูทั้ง ๖ ได้แก่ ทางตาเช่นจักษุวิญญาณ ทางหู ทางจมูก ทางลิ้นทางกาย และทางใจ(มโน) หรือกล่าวได้ว่าเป็นความรู้หรือเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่ออายตนะภายใน และอายตนะภายนอกกระทบกัน
เป็นเหตุเกิดของตัณหาอุปาทาน
ที่เกิดดับตลอดทั้งกลางวันกลางคืนคือ วิญญาณขันธ์ หรือจิตสังขาร คืออาการทางจิตเกิดดับๆ ตลอดเวลา
โดยร่างกายเราประกอบด้วยธาตุ ๖ อย่าง ได้แก่ ธาตุคือดิน ธาตุคือน้ำ ธาตุคือไฟ ธาตุคือลม ธาตุคืออากาศ ธาตุคือวิญญาณ(จิต) ทั้ง 6 ธาตุเป็นอมตะธาตุคือ ไม่ปรากฏการเกิดแต่มีอยู่ตามธรรมชาติ เมื่อร่างกายแตกทำลาย(ตาย) ธาตุทั้ง 6 ก็แยกตัวกันออกสู่ธรรมชาติไปไม่ใช่ดับ วิญญาณธาตุ(จิต)ก็เตลื่อนตัว(จุติ)คือแยกตัวออกไป และถ้าจิตนี้ยังมีอวิชาอยู่ วิญญาณธาตุ(จิต)ก็เคลื่อนไปปฏิสนธิหรือไปรวมกับธาตุอื่นๆเป็นสิ่งมีชีวิตต่อไป ภาวะที่วิญญาณ(จิต)ยังมีอวิชาอยู่นี้คือภาวะที่เราถูกเรียกว่าสัตว์ จะเห็นได้ว่า ดินน้ำไฟลมอากาศ ไม่ใช่เรา เราคือจิตคือธรรม แต่ ความยาก มันอยู่ที่เราจะชำระล้างจิตที่มีอวิชชาและอกุศลกรรมที่เราเป็นผู้กระทำไว้ในอดึตเป็นพันๆเป็นแสนๆชาติให้หมดไปได้อย่างไร หนทางที่พระพุทธองค์ตรัสรู้คือ มรรค 8 คือทางเดียวที่จะชำระจิตของเราให้บริสุทธิ์ เพราะเมื่อเราชำระล้างจิตให้บริสุทธิ์แล้ว จิตเรานี้ก็จะเป็นจิตที่เป็นอมตะหรือกลับสู่ธรรมชาติเดิมไม่ใช่ถูกกิเลสครอบงำอยู่แล้วต้องเวียนว่ายตายเกิดไม่จบไม่สิ้น
เพราะฉนั้นพระอาจารย์บางท่านกล่าว วิญญาณเวียนว่ายตายเกิด ก็ไม่ผิดเพราะท่านหมายถึง วิญญาณธาตุ(จิต) ท่านไม่ได้หมายถึงวิญญาณขันธ์ ฉนั้น เราๆ ท่านๆ อย่าได้กล่าวใส่ร้ายว่าท่านพูดผิดจะเป็นกรรมกับตัวเราเอง หรือจะกล่าวว่าสัตว์หรือบางสำนักเรียกสัตตานังเวียนว่ายตายเกิดก็ไม่ผิด เพราะจิตเราที่ยังมีอวิชชาก็มีภาวะที่เรียกว่าสัตว์อยู่ด้วยในตัว
หนังสิอเรี่อง จิต วิญญาน ขององค์สมเด็จพระสังฆราช อธิบายพระธรรมคำสอนเรื่องจิตนี้ไว้อย่างชัดเจน ทั้งแง่มุมภาษา บาลี อภิธรรม ศาสนา ปรัชญา วิทยาศาสตร์
https://www.sangharaja.org/document/%E0%B8%98%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%9E%E0%B8%99%E0%B8%98%E0%B9%8C/sangharaja021.pdf
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่