[รีวิว] หาหมอที่อเมรี่

มาเรียน+ทำงานที่อเมรี่นับได้เก้าปีถ้วน มีเรื่องที่ต้องไปโรงมดโรงหมอทั้งหมด 3 ครั้ง แต่ละครั้งต้องผจญวิบากกรรมมากมาย วันนี้สบโอกาสจึงมารีวิวให้ฟัง

.

ครั้งที่ 1 เมื่อประมาณปี 2013 เราตื่นมาพร้อมกับตาแดงก่ำ, เคืองตา, และตามัวแบบเห็น halo ประดุจเทวดาเกเบรียลมาส่งสาส์น ด้วยความที่เป็นหมอจึงคิดไปไกลว่าต้องเป็น acute anterior uveitis แน่ๆ (ม่านตาอักเสบเฉียบพลัน เป็นโรคทางตาที่รุนแรงมักเกิดจากความผิดปกติของภูมิคุ้มกันที่เรียกว่า autoimmune disease; หมอบางคนแปลเป็นไทยว่า “ภูมิเพี้ยน” คือร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันมาทำลายตัวเอง) อีกใจหนึ่งก็คิดว่าอาจจะเป็นแค่เยื่อบุตาขาวอักเสบธรรมดา (acute conjunctivitis) เลยกินยาแก้แพ้หรือ antihistamines แล้วหยอดยาหยอดตาซึ่งก็เป็น antihistamines อีกเช่นกัน จากนั้นจึงขับรถไป ER เสียเงิน 50 เหรียญเป็นค่าธุรกรรม (ในอเมรี่หากจะไปหาหมอต้องมีประกัน ถ้าไม่มีแนะนำให้ทำอสุภะกรรมฐานอยู่บ้านจะคุ้มกว่า; ในส่วนของการได้ประกันมานั้นก็มีทั้งซื้อเองหรือบริษัทห้างร้านที่เราทำงานอยู่จะซื้อให้แล้วเรา “ต้อง” จ่ายรายเดือนเพิ่มอีกส่วนหนึ่ง ตัวกรมธรรม์ก็มีหลายเฉดยิ่งกว่าสีทาบ้าน TOA ความครอบคลุมก็ลดหลั่นกันไปตามเบี้ยประกัน แต่ทุกครั้งที่ไปหาหมอจะต้องจ่ายค่าธุรกรรมโดย ER จะใช้เรทสูงสุด); พอแจ้งความว่าตามัวคุณพี่พยาบาลก็พาไปวัดสายตา ระหว่างรอหมอเริ่มรู้สึกว่าเคืองตาน้อยลงเลยเข้าห้องน้ำไปส่องกระจกพบว่าตาแดงลดลงมากกว่า 70% ตกใจเอามือทาบอกพลางรำพึงว่าเรานี่หนอเว่อร์ไปซะทุกเรื่อง แต่ด้วยทิฐิมานะเลยขยี้ตาให้มันแดงขึ้นเพราะกลัวเสียหน้า (ไม่แนะนำให้ทำนะคะ) พอเจอหมอ ER นางก็รีเฟอร์ไปเจอหมอตาให้ตรวจละเอียดอีกที เราก็ต้องขับรถไปคลินิกตาที่ห่างจาก ER ประมาณ 3-4 ไมล์ พอไปถึงก็ต้องจ่ายค่าธุรกรรมให้แก่คลินิก จำได้ว่าประมาณ 20 เหรียญ หมอตาตรวจเสร็จบอกว่าเป็นตาแห้ง (dry eyes หรือ sicca) และแห้งมาก ไม่ใช่ uveitis นางจ่าย steroid มาหยอดตา 4-5 วันแล้วแนะนำว่าเจ็บป่วยอย่ากูเกิ้ลวินิจฉัยตัวเองเพราะมันจะทำให้เป็นกังวล (โมเม้นต์นั้นเหมือนโดนลากมาตบหน้ากลาง Time Square)

ป.ล.

1. ยังไม่จบนะคะ ต้องควบรถไปเอายาที่ร้านยา ที่คลินิกไม่มีห้องยา หลกทง กว่าจะเก็บ RC ครบหมดไปหนึ่งวัน

.

ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นในวันปีใหม่ปี 2015 อยู่ดีๆก็มีอาการชาจากก้นขวาร้าวมาที่ขาขวา ไม่ปวดและไม่ได้มีอุบัติเหตุนำ ด้วยความที่เป็นคนวิตกจริตเลยคิดว่าน่าจะเกิด disc herniation (หมอนรองกระดูกเคลื่อนมาทับเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงระยางค์ล่าง) ก็เลยขอลาหยุดนอนดู The Big Bang Theory ผ่านไป 3 วันอาการไมดีขึ้นบวกกับมีอาการที่ขาซ้ายร่วมด้วย เห็นสมควรแก่เวลาจึงไป ER หมอมาตรวจไม่เจอสิ่งผิดปกติแต่สั่งทำ MRI กระดูกและไขสันหลังตั้งแต่เอวลงไป ปรากฎว่ามีหมอนรองกระดูกเคลื่อนเล็กน้อย ทีนี้ก็กลายเป็นบ้ากลัวจะพิการ หมอ ER รีเฟอร์ไปเจอหมอกระดูก วิธีการนั้นง้ายง่ายคือหมอคลิกรีเฟอร์ในคอมพิวเตอร์แต่ตัวผู้ป่วยต้องโทรไปนัดแนะเอง วันรุ่งขึ้นโทรไปนัด, opening spot ที่เร็วสุดคืออีก 3 สัปดาห์ หลกทง ถึงตอนนั้นคงนอนเป็นผักบูดเน่าจนห้องข้างๆต้องโทรหา 911 ตัดสินใจใช้กำลังภายในอีเมล์ไปหาอาจารย์หมอนิวโรที่ทำงานด้วย นางก็น่ารักและนัดแนะให้ไปตรวจกับเพื่อนนางในวันรุ่งขึ้น การตรวจที่อเมรี่นี่คือตรวจจริงๆ ตรวจทุกอย่างในสากลจักรวาล ท้ายสุดหาอะไรไม่เจอ เริ่มคิดว่า เอ๊ะ! หรือจะเป็น conversion disorder? (อาการทางจิตที่ส่งผลต่อกายภาคโดยเฉพาะอาการทางกายที่เกี่ยวเนื่องกับระบบประสาท) เราปรึกษากับหมอที่ตรวจ หมอก็เห็นด้วยเลยให้ยาต้านอาการซึมเศร้ามากิน (conversion disorder มักจะมี co-morbidities คือโรคร่วมโดยเฉพาะโรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวล) พอกินยาได้ไม่ถึง 1 สัปดาห์อาการชาหายเป็นปลิดทิ้ง amazing jing-a-bell!

ป.ล.

1. หลังจากทำ MRI ได้ 1 เดือนก็มีบิลลอยมาจากรพ.เรียกเก็บเงิน 600 เหรียญ เป็นค่า co-pay ที่หักจากประกัน ยัง ยังไม่พอ หลังจากบิลใบแรกมาก็มีใบที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ตามมาเก็บค่ายิบย่อยที่เราก็จำไม่ได้แล้วว่าเป็นค่าอะไร! การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐจริงๆ

2. เราไม่ได้บ้าแค่เป็น conversion disorder

.

ครั้งล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อต้นเดือนกันยายน อยู่ดีๆก็มีลมพิษขึ้นที่หลังต้นขาทั้ง 2 ข้างหลังออกกำลังกาย ทีแรกนึกว่าเป็น cholinergic urticaria (ลมพิษที่เกิดขึ้นหลังจากการกระตุ้นประสาทอัตโนมัติ cholinergic; การเกิดเหงื่อก็ถูกกระตุ้นด้วยระบบประสาทชนิดนี้ ฉะนั้น cholinergic urticaria จึงสัมพันธ์กับการออกกำลังกาย) แต่การณ์กลับเป็นเช่นนั้นไม่เพราะลมพิษจะขึ้นตรงตำแหน่งที่ถูกกดทับ เราถ่ายรูปพยาธิสภาพไปให้เพื่อนที่เป็นหมอผิวที่เมืองไทยดู ทุกคนเห็นด้วยว่าไม่ใช่ cholinergic urticaria แต่เป็น pressure urticaria นางแพทย์ทั้งหลายก็แนะนำให้กิน Telfast (fexofenadine; ที่อเมรี่ใช้ชื่อการค้าว่า Allegra) 180 มก เช้าเย็น หลังจากกินยาความถี่ในการเกิดและความรุนแรงของลมพิษก็ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ คิดว่ามาถูกทางจนกระทั่งเมื่อวานมีปื้นลมพิษขึ้นที่บ่าและหน้าแขน 2 ข้างตรงตำแหน่งที่แบกเป้ ตัดสินใจโทรไปนัดหมอโรคภูมิแพ้ ในอเมรี่จะมีประกัน 2 ระบบคือระบบแรกเราสามารถนัดเจอหมอเฉพาะทางได้เลยและระบบที่ 2 ต้องมีหมอประจำตัวแล้วให้เขารีเฟอร์ไปหาหมอเฉพาะทางอีกที เรามีประกันอย่างแรกแต่คลินิกโรคภูมิแพ้บอกว่านโยบายของคลินิกต้องให้หมอประจำตัวส่งรีเฟอร์มา ส่วน opening spot ที่เร็วที่สุดคือต้นปีหน้า! ค่ะ หลกทง ทำไงได้ต้องยอมรับชะตากรรม จัดแจงโทรไปหาหมอส่วนตัวให้ช่วยจัดการให้ที รู้สึกว่าเป็นการทำงานที่เกินงานแต่ไม่ได้งาน ระหว่างนี้นางแพทย์ที่ไทยแนะนำให้กิน ranitidine 150 มก เช้าเย็นเพิ่มอีกตัว

ป.ล.

1. Ranitidine เป็น anti histamine receptor ชนิดที่ 2 (H2 blocker) ไอ้ receptor นี้เมื่อถูกกระตุ้นจะทำให้กระเพาะหลั่งกรด ranitidine จึงเอามาใช้ลดกรด แต่ receptor นี้ก็มีผลต่อภูมิแพ้เหมือนกัน สรุปคือ block การกระตุ้นสาร histamines ในทุกรูปสื่อ

2. คนที่เป็นลมพิษเกิน 6 สัปดาห์จะเรียกว่า chronic urticaria สาเหตุส่วนใหญ่คือ idiopathic ซึ่งมาจากคำว่า idiot/idiotic หมายถึงไม่ฉลาดพอที่จะรู้ว่าเกิดจากอะไร

3. ตอนเรียนเฉพาะทางมีศูนย์โรคออติซึ่มที่ดังมากในมลรัฐที่เรียนอยู่ waiting list 3 ปี!?! หลกทง แต่งงานปุ๊ปก็โทรไปนัดได้เลยค่ะ

.

ระบบการแพทย์ของที่ไหนในโลกมีทั้งข้อดีข้อเสีย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่