แชร์ประสบการณ์ใช้เงิน 20 ล้านหมดตัวภายใน 1 ปีกว่าๆ และติดลบอีก 1 ล้าน

อยากแบ่งปันประสบการณ์ที่ล้ำค่าที่สุดในชีวิตของผมคือการเปลี่ยนแปลงจากคนที่ประมาทมากในการใช่จ่าย เปลี่ยนแปลงเป็นคนที่รู้คุณค่าของเงินและใช้จ่ายตามที่ชีวิตต้องการหรือมีความจำเป็นเท่านั้น

หลังจากชีวิตที่ผันตัวได้มีความโชคดีมากมาย ขอไม่ย้อนเล่าเรื่องอดีตแต่เคยเขียนไว้มากระดับหนึ่งจากกระทู้

“เมื่อชีวิตคือการพัฒนา ผมจึงปิดบริษัทที่ทำรายได้ปีละ 20 ล้าน มาเป็นเกษตรกร และเปิดโรงเรียนให้กับลูกชาย”
https://pantip.com/topic/34885983

ปัจจุบันสร้างเสร็จแล้วนะครับผม







ตอนที่ผมตัดสินใจปิดบริษัทพร้อมกำเงินในมือไว้เยอะระดับหนึ่งเพื่อมาสร้างฝันนั้นคือสร้างโรงเรียนหรือพื้นที่การเรียนรู้ของลูกผมที่จังหวัดลำปาง ผมตั้งใจจะสร้างมันให้เป็น Farmstay พร้อมกับเป็นสถานที่ที่ไว้ทำ school camping คือจัดกิจกรรมชวนเด็กๆมาค้างคืนและฝึกฝนทักษะหลายๆด้านในการใช้ชีวิตโดยผมตั้งชื่อที่นี่ว่า บ้านไร่ปาล์มปิยา (Bann Rai PalmPiya) โดยหวังว่าเป็นการสร้างบ้านสำหรับการอยู่อาศัยและมีพื่นที่แบ่งปันให้เด็กๆอีกกลุ่มเข้ามาเรียนรู้ สำหรับผมตอนนั้นคิดว่าเงินก้อนนี้ใช้อย่างไรก็น่าจะเหลือ  (ตรงนี้เป็นความประมาทอย่างมากเลยทำการก่อสร้างแบบไม่ได้คุมค่าใช้จ่ายเลย)

ภาพกิจกรรมที่เคยให้น้องๆมาลองทำกิจกรรมในพื้นที่

















และด้วยชีวิตที่เหมือนถูกสปอย์มาระดับหนึ่งคือ เป็นคนชอบกิน กินบุปเฟ่ต์ กินอาหารในห้าง และกินกาแฟ starbucks ช่วงนั้น
ผมถึงนั้นซื้อคูปองกินบุปเฟ่ต์ของ รร. เก็บไว้เป็นเล่มๆ อย่าง startbucks นี่ผมก็กินแบบว่าภายใน 4 เดือนผมได้ 250 point สำหรับเป็น Gold level เรียบร้อยแล้ว
จะเห็นว่าส่วนตัวและวิธีการใช้ชีวิตนั้นมีความเสี่ยงอยู่มากคือเป็นการใช้จ่ายแบบไม่ค่อยคิดอะไรเลย คิดแต่ว่าเรามีเงินพอที่จะใช้จ่ายก็ใช้จ่ายโดยที่ไม่ได้ดูว่าพอรวมๆกันแล้วแต่ละเดือน
ค่าใช้จ่ายส่วนตัวพวกนี้แหละที่สูงมากด้านหนึ่ง แต่ที่จริงแล้วพอเทียบกับรายได้ผมช่วงนั้นมันอาจจะไม่มีผลกระทบก็จริง แต่เพราะการที่ผมเลือกที่จะปิดบริษัทมันทำให้รายได้ผมลดลงอย่างมากและกลายเป็นว่าพอมีค่าใช้จ่ายที่สูงนั้น ชีวิตก็เริ่มติดขัด

โดยวิธีคิดหลายๆอย่างตอนนั้นมันบ้าบอสิ้นดีผมขอยกตัวอย่างบางตัวอย่างให้ฟังนะครับผม
-    ผมซื้อรถ fork lift โดยคิดว่าไว้ขนของในไร่
-    ผมซื้อรถดั้มคันเล็ก โดยคิดว่าไว้ขนของในไร่
-    ผมซื้อรถไถ่มือสองมาแล้วคันแรก แต่พอเครื่องหลวมระหว่างซ่อม ผมอยากใช้เร็วเลยซื้อรถไถ่อีกคันมา
-    ผมซื้อรถขุด excavator คันเล็กมาเพื่อคิดว่าจะขุดสระเอง แต่ะไม่รู้ว่าพอใช้นานๆค่าดูแลรถขุดนี่สูงมากมาย
-    แค่ผมอยากวัดระยะในไร่ แทนที่จะใช้สายวัดยาวๆๆ ผมซื้อกล้องส่องมาราคาประมาณ 90,000 บาท ถึงทุกวันนี้ยังไม่ได้แกะกล่องเลย
-    หรือไปเดินเที่ยวงานเกษตร เห็นเครื่องบดเศษไม้ ก็คิดว่าเราจะบดเศษไม้เองเพื่อทำปุ๋ย แต่ไม่รู้ว่าเวลาขนไม้เข้าเครื่องนี้เหนื่อยขนาดไหน เครื่องผมก็ซื้อใหญ่สุด 170,000 มาตั้งไว้ ตั้งแต่มาส่งยังไม่เคยเปิดเครือ่งเลย
-    เพื่อๆจะมาเที่ยวไร่ ผมซื้อเต้นท์อย่างดีของยิ่ห้อ Nordisk ทั้งหมด 6 เต้นท์ราคา 240,000 บาท ผิมพ์ไม่ผิดนะครับผม กางไว้พอหญ้าขึ้นเยอะๆๆขี้เกียจไปเก็บออกมา เห็นเนื้อผ้าดีมากน่าจะกันแดดได้ดี ทุกวันนี้เป็นขยะหมดครับผม
นั้นคือการใช้จ่ายของผมนั้นไม่รอบคอบ คิดแต่ว่ามีเงินไม่ต้องกู้ ใช้ไปเลยและไม่คิดถึงช่วยปลายว่าจะเหลือเท่าไหร เพื่อต้องใช้ทำอะไรต่ออีกเท่าไหร
รูปเครื่องจักรที่ซื้อมา




เต้นท์ที่แพงๆ




ล่าสุดเป็นเศษผ้าเอามาทำม่านกันแดด

ด้วยนิสัยการใช้จ่ายแบบข้างต้นทำให้เงินที่ผมถือว่าคิดว่าเยอะหมดไปเยอะมากกับการก่อสร้างบนพื้นที่ 30 ไร่ ซึ่งมันก็มีสิ่งที่ต้องใช้จ่ายเยอะมาก อย่างเช่นระบบไฟฟ้านี่ผมต้องซื้อหม้อแปลงรับ 20,000 volt เองและผมต้องเดินเสาไฟฟ้าพร้อมกับสายไฟฟ้าทั่วไร่ ซึ่งตรงนี้ประมาทเรื่องการออกแบบ ดันไปออกแบบใช้พื้นที่เต็ม ทำให้การก่อสร้างต้องสร้างแบบกระจาย

ตอนนั้นมีพี่ๆๆหลายๆคนที่สนิททักผมว่าค่อยๆเป็นค่อยๆไป แต่ด้วยนิสัยผมที่มั่นใจในตัวเองและชอบทำอะไรแบบทันทีใช้เวลาศึกษาไม่ค่อยเยอะ ทำให้เกิดข้อผิดพลาดเรื่องนี้

จนวันที่เงินหมดก็มาถึงเพราะงานก่อสร้างก็ยังดำเนินต่อไปและบิลก็เรียกเก็บมาเรื่อยๆ
ตอนนั้นสิ่งแรกที่ผมคิดได้คือการลดค่าใช้จ่ายที่เกิดจากตัวเองให้มากที่สุด

โดยประหยัดเรื่องการกินนั้นทำให้ผมจากน้ำหนักตัว 88 kg ลดลงมาถึง 62 kg เลยทีเดียว
จากอ้วนมาผอม


ชนะที่หนึ่งการประกวดแข่งทำท่า Back lever ด้วยเวลา 57 วินาที

และไม่ซื้อของอะไรเลยเข้าบ้าน ซื้อแต่สิ่งที่เป็นของใช้จำเป็นคือสบู่ยาสีฟันแปรงสีฟันเป็นต้น

อาหารจากเคยกินนมสดตอนเยอะทุกวันเปลี่ยนเป็นกล้วยเพราะหนึ่งหวีนั้นกินได้ 5 วันเลยทีเดียว ส่วนเวลากินที่อื่นก็กินแต่ข้าวราดแกง ตอนเย็นกินไข่ต้ม (เนื่องด้วยการกินที่น้อยลงทำให้ผมเริ่มศึกษาเรื่องอาหารอย่างจริงจังว่าถ้าจะกินน้อยแต่สารอาหารต้องครบถ้วนนั้นจะต้องกินอะไรบ้างและปริมาณเท่ากันถึงจะพอต่อร่างกาย นั้นทำให้ผมกลายเป็นวิทยากรบรรยายเรื่องอาหารในทุกวันนี้ เป็นงานเสริมเลย) ตอนนั้นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นผมพยามทำกับตัวเองให้มากที่สุด โดยไม่ไปรบกวนลูกกับภรรยา แต่ก็บอกเค้าว่าถ้าตรงไหนประหยัดได้ก็ทำเต็มที่แล้วกัน
สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในครอบครัวคือเราไม่กินอาหารในห้างกันอีกเลย ถ้าจะกินข้างนอกกันก็ไปกินที่สามย่าน หรือไม่ก็ร้านอร่อยๆๆตามข้างถนน ที่กินแบบจานเดียวและจะเลี่ยงทุกอย่างที่สั่งเป็นกับข้าวแล้วมากินกันเพราะรวมๆค่าใช้จ่ายจะแพง

ภาพการเป็นวิทยากรด้านอาหาร


ช่วงที่เงินหน้าตักหมดตัวต้องเริ่มเอาเงิน OD ออกมาใช้จ่ายและทุกบาทและเงินที่ต้องรอเก็บจากลูกค้าก็ไม่ได้เข้ามาทุกเดือนเพราะงานที่ทำไม่เยอะแล้ว บางทีสามเดือนได้เก็บเงินหนึ่งรอบเท่านั้นเอง สุดท้ายติด OD ทั้งหมด 1 ล้าน และผมเองรู้สึกเสียดายกับดอกเบี้ยมาก เพราะเป็นคนที่ไม่เคยต้องจ่ายดอดเบี้ยเลย ก็เลยไปเอาเงินแม่ น้องสาว แม่ภรรยา คนละเล็กน้อยๆมาแปะOD ไว้เพื่อลดดอกเบี้ย และผมก็ไม่ยืมมาเยอะ ทั้งๆที่แต่ละคนให้เยอะได้ ก็เพื่อมาลดดอดเบี้ยจากเดือนละ 7,000 กว่าๆๆ ก็เหลือประมาณ 2 พันกว่าๆๆแบบที่รู้สึกรับได้

ด้วยการประหยัดแบบนี้ทำให้ชีวิตได้เรียนรู้ว่า เราไม่จำเป็นต้องใช้เงินเยอะเลยก็อยู่ได้แต่ต้องรู้จักวางแผนว่าเงินที่ไม่ต้องใช้เยอะนั้น จะซื้ออะไรกินบ้างที่เป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการ  และข้อใช้ต่างๆเช่นแก้วน้ำสวยๆ หรือ gadget ต่างๆถ้าเราไม่ซื้อชีวิตเราก็ยังดำเนินได้อยู่นี่หน่า และทั้งหมดทีผ่านมานั้นเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ที่ผมได้เรียนรู้กับชีวิตจริง มันเลยทำให้ผมเรียนรู้และมั่นใจกับสิ่งที่ผ่านมามาก ซึ่งมันจะต่างกันมากกับสิ่งที่ผู้ใหญ่เคยสอนว่าให้ประหยัดนะ แต่มันไม่รู้ว่าอะไรและอย่างไร

วิกฤตที่ผ่านมานั้นทำให้ผมรู้สึกว่าผมเติบโตขึ้น และค้นพบว่าความมั่นคงในชีวิตคือความสามารถในการใช้ชีวิตบนปัจจัยที่น้อยที่สุดที่ไม่ได้เป็นการรบกวนร่างกาย (คือถ้าเรื่องการกินก็คือกินเท่าที่ร่างกายต้องใช้) ส่วนเรื่องการดำเนินชีวิตก็แค่สิ่งของที่จำเป็นต้องใช้เช่นสบู่ ยาสระผม  แต่สิ่งที่ไม่จำเป็นคือเฟอร์นิเจอร์หรือของสวยงามต่างๆที่แต่ก่อนเวลาเดินตามตลาดนัดผมมักจะซื้อติดมาวางไว้ที่บ้านและก็ไม่ได้จับต้องมัน


ทุกวันนี้ชีวิตไม่ติดหนี้สินแล้ว มีเงินไม่มากเหมือนสมัยเด็กๆ และรู้จักใช้อย่างพอเพียง กินอาหารที่ดีไม่ต้องแพง โรคภัยไขเจ็บก็ไม่ถามหา นี่คือวิธีการใช้ชีวิตแบบระมัดระวังขึ้นมาอีกระดับหนึ่งแล้วครับผม

---
ขอเพิ่มเติมตอนช่วงที่เข้มงวดเรื่องค่าใช้จ่ายมาก มีอยู่สองครั้งที่ผมได้รับการชวนจากเพื่อนๆไปกินข้าวเย็นกัน ผมเลือกที่จะบอกเพื่อนว่าขอไปนั่งพูดคุยด้วยนะ แต่ขอไม่กินอะไรเลย เพราะต้องประหยัดเงินและอาหารที่ผมกินช่วงนี้ก็แตกต่างจากที่พวกเพื่อนๆสั่งๆกัน ดังนั้นขอไปแต่ไม่กิน และไม่ต้องหารด้วยนะ

หรือมีบางครั้งภรรยาบอกว่าเพื่อนๆลูกเค้าชวนกันไปกินที่นี่พ่อจะไปหรือป่าว ผมเลือกที่จะตอบว่าขอไม่ไปแล้วกันเวลาหารกันจะได้จ่ายแค่ภรรยากับลูกพอ ผมอิ่มแล้ว
ผมเลือกที่จะสื่อสารแบบตรงๆไม่ต้องอาย เพราะนี่คือสิ่งที่ผมตั้งใจและกำลังทำอยู่

ช่วงนี้ไม่ได้กดดันแบบแต่ก่อนก็ไม่ผ่อนปรนบ้างแต่ก็ไม่หลุดในการเลือกประเภทอาหารที่ดีต่อร่างกายและก็ไม่แพงมาก บุปเฟ่ก็ยังมีกินแต่เลือกที่ราคาหัวละไม่เกิน 200-300 บาท และแพงกว่านั้นตัดทิ้งได้เลย
----
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่