มหกรรมการแข่งขันฟุตบอลภายในของเหล่าโอตะ BNK48 กำลังจะเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 - เป้าหมายของพวกเขาคืออะไร โอตะจะได้อะไร - ติดตามไปพร้อม ๆ กับเรา

ย้อนกลับไป 11 เดือนก่อน เพลง Koisuru Fortune Cookie คุกกี้เสี่ยงทาย ของวง BNK48 โด่งดังเป็นพลุแตกเป็นกระแสมาพร้อมๆ กับสมาชิกในวง แน่นอนสิ่งที่ตามมาคือฐานแฟนคลับที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนปัจจุบัน BNK48 มีทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 สมาชิกรวม 51 คน
ด้วยธรรมชาติของแฟนคลับหรือโอตะนอกจากชื่นชอบวง BNK48 แล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นการโอชิไอดอลเป็นคนๆ ไปโดยอัตโนมัติ นั่นทำให้เกิดการรวมกลุ่มสำหรับคนที่ติดตามหรือเชียร์ไอดอลคนๆ เดียวกันขึ้นมา โดยอาศัยโลกโซเชียลเป็นสื่อกลางในการพูดคุยกับแฟนคลับทั่วทุกสารทิศ
ไม่เพียงเท่านั้นสังคมคนชอบ BNK48 เริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะการทำกิจกรรมร่วมกันของโอตะ เช่น การจัดนิทรรศกาลขนาดเล็ก ‘เบิร์ธเดย์ โปรเจ็กต์’ ของเมมเบอร์ , การช่วยเหลือสังคมในนามน้องๆ BNK48 รวมถึงการเล่นกีฬา ซึ่งฟุตบอลเป็นหนึ่งในกีฬายอดนิยมของคนไทยและง่ายต่อการเข้าถึง
นั่นทำให้แฟนคลับของ BNK48 เริ่มจัดตั้งทีมฟุตบอลขึ้นมาโดยใช้คำว่า ‘บ้าน’ นำหน้าชื่อเมมเบอร์ เช่น บ้านเนย บ้านเจน หรือ บ้านเฌอปราง จนกระทั่งมีการชักชวนผ่านแต่ละบ้านให้มาร่วมเตะฟุตบอลด้วยกันแบบสนุกสนาน และกลายเป็นจุดกำเนิดของทัวร์นาเมนต์ Ota Fifa Cup ครั้งแรก
ภาพจากฟุตบอลรายการ 'เจนนิษฎ์ คัพ'
“การแข่งขันฟุตบอลโอตะ ฟีฟ่า คัพ เริ่มมาจากรายการ เจนนิษฐ์ คัพ ซึ่งมีหลายๆ บ้านมาแข่งขัน เรารู้สึกประทับใจมาก เพราะบรรยากาศเป็นกันเอง สนุกสนาน เราไม่ซีเรียสกันเลยเรื่องผลแพ้ชนะ” ฝ่ายจัดการแข่งขัน เล่าผ่าน โกล ประเทศไทย
"เนื่องจากคนเริ่มสนใจมากขึ้น การเตะฟุตบอลก็จริงจังขึ้น เราต้องการขยายอีเวนท์ให้ใหญ่เลยถามตัวแทนแต่ละบ้านว่าอยากให้มีการจัดการแข่งขันเป็นทัวร์นาเมนต์เลยไหม? ซึ่งทุกทีมก็เห็นด้วย"
ฝ่ายจัดการแข่งขัน โอตะ ฟีฟ่า ลีก
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่โอตะ 5 คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนต้องอาสารับเป็นแม่งานเพื่อที่จะจัดกิจกรรมใหญ่ ทั้งการคัดกรองสมาชิกในทีมต่างๆ ที่จะลงแข่งและดูแลโอตะร่วม 500 ชีวิตในวันงาน
วันที่ 17 มิถุนายน 2561 คือการแข่งขันครั้งแรกของรายการ ‘โอตะ ฟีฟ่า คัพ’ มีทีมเข้าร่วม 24 ทีมจาก 18 บ้าน โดยแบ่งเป็น 2 รุ่น คือรุ่นอายุไม่เกิน 16 ปีและรุ่นประชาชน (16 ปีขึ้นไป) เตะกันที่สนามหญ้าเทียมซูเปอร์ คิกซึ่งในที่สุดงานก็ผ่านไปได้ด้วยดี
“งานวันนั้นค่อนข้างที่จะสมบูรณ์แบบนะครับ มันทำให้เราเปิดสังคมมากขึ้น รู้จักแต่ละคนมากขึ้น ทำให้เรารู้ว่าแต่ละทีมที่มาเตะเขามีมิตรภาพที่อบอุ่น รู้สึกดีมากที่ได้การตอบรับเหนือความคาดหมาย ยังแปลกใจอยู่เลยวันแรกพวกเราคุยกันว่ามันจะผ่านไหม แต่คนในทีมก็มั่นใจว่าเราต้องทำได้และมันก็ได้จริงๆ”
“ผลตอบรับจากคนภายนอกหลายคนก็บอกว่าดีครับ ได้เห็นโอตะมาเตะบอลกันมาทำกิจกรรมร่วมกัน นอกเหนือไปจากติดตามน้องๆ ไอดอล มีหลายคนเข้ามาติดตามเราทางเฟซบุคแฟนเพจ มาให้กำลังใจทั้งที่เขาไม่ได้ลงทำการแข่งขัน ส่วนทางทีมที่เข้าร่วมก็บอกว่าอยากให้จัดอีกเพราะกิจกรรมนี้มันทำให้พวกเขาได้เจอกันบ่อยขึ้นได้มาแลกเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่าง”
ขอบคุณภาพจากเพจ โอตะซ่อมคอม
“มันทำให้สังคมโอตะของพวกเรากว้างขึ้น เจอหน้ากันรู้จักกัน นอกจากจะไปจับมือน้องแล้วแยกย้ายกลับ ก็กลายเป็นชวนกันไปเที่ยวบ้าง นัดกันไปเชียร์น้องเป็นกลุ่มใหญ่ๆ”
“เรื่องของมิตรภาพ พวกเราไม่ได้เตะบอลเก่ง เราแพ้ตกรอบเราก็คอยไปเชียร์ทีมอื่นได้ มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ ที่ทำให้คนที่รักในสิ่งเดียวกันกับเรามารวมกันได้มากขนาดนี้”
“สมัยก่อนหลายๆ คนอาจจะไม่มีเวทีอย่างนี้ แค่คุณอยากจะเตะฟุตบอลคุณหอบรองเท้าสตั๊ดหอบอุปกรณ์มาเล่นกับทีม ซึ่งเราภูมิใจมากๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งในการให้โอกาสเพื่อนๆ น้องๆ มีเวทีให้เล่นให้แสดงออกทางด้านนี้มากขึ้น”
ขอบคุณภาพจากเพจ โอตะซ่อมคอม
การแข่งขันทัวร์นาเมนต์แรกดูเหมือนจบลงไปได้ด้วยดี อย่างไรก็ตามยังมีจุดที่ฝ่ายจัดเห็นว่าผิดกับจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ จนเกือบจะไม่มี โอตะ ฟีฟ่า คัพ ครั้งที่ 2
“ครั้งที่ผ่านมามันมีเหตุการณ์ที่ผิดกับจุดประสงค์ในการจัดของเราครับ เช่น การเข้าปะทะที่หนักและรุนแรงจนเกือบจะมีเรื่องทะเลาะ ขึ้นชื่อว่าการแข่งขันมันต้องจริงจังอยู่แล้วครับ แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะรุนแรง จริงๆ แล้วพวกเราจะจัดการแข่งขันครั้งใหม่ให้เป็นการกระชับมิตรแค่จับเวลาเตะวนกันเจอกันหมดทุกทีมแค่นั้น”
“แต่ถ้าทำแบบนั้นก็คิดว่าบ้านต่างๆ จะซุ่มซ้อมกันทำไมถ้าไม่มีการแข่งขัน เราจึงเปลี่ยนมาเป็นการแข่งขันแบบเดิมครับ แต่คราวนี้มาเป็นระบบลีก (โอตะ ฟีฟ่า ลีก) จากที่แพ้ตกรอบก็กลายมาเป็นคิดคะแนน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก โมเดล ส่วนเรื่องจุดประสงค์เราก็ได้กำชับไปแล้วครับว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆ ขึ้น การแข่งขันครั้งต่อไปทีมนั้นก็อาจจะไม่ได้เข้าร่วมอีก นี่ไม่ใช่การเตะบอลออกกำลังกาย แต่ก็ไม่ถึงกับเอาเป็นเอาตาย”
เมื่อสังคมฟุตบอลของโอตะใหญ่ขึ้น สายตาจากรอบด้านก็มองพวกเขาไปต่างๆ นานาซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงทั้งด้านบวกและลบ แต่เอาเข้าจริงๆ พวกเขาก็เพียงแค่อยากสนับสนุนไอดอลเพื่อให้ไอดอลมาเป็นแรงสนับสนุนชีวิตของตัวเอง
“ผมเคยคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งประมาณ 3-4 เดือน มาวันหนึ่งเขาถามผมว่า ‘พี่ชอบ BNK48 เหรอ? พี่เป็นโอตะเหรอ? โอเคงั้นหนูไม่คุยกับพี่นะ’ เราก็เสียใจนะ แต่สงสัยมากกว่าว่าคำว่าโอตะมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ? มีอีกนะเคยได้ยินคำพูดว่าทำไมต้องเปย์น้องๆ เยอะขนาดนั้น? ถึงขนาดมีประโยคที่ว่า ‘เสียเป็นแสนจับแค่แขนก็ไม่ได้’ ซึ่งผมว่าแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอกครับ ต้องแยกแยะ”
“พวกผมคือคนทั่วไปครับ ใช้ชีวิตทั่วไป เรียนจบ ทำงานเลี้ยงตัวเอง โอตะมักถูกมองด้านลบมาโดยตลอด เพราะสถานการณ์บางอย่างเช่น การซื้อโฟโต้เซ็ตซึ่งเป็นแค่รูปถ่ายของน้องๆ หรือประมูลรูป SSR ราคาหลักแสน , การวิ่งแห่ไปดูน้องๆ ที่ตู้ปลาจนหลายคนบอกว่าพวกเราคือ ‘ซอมบี้’ , การไปนอนหน้าห้างฯ เพื่อรอจับมือกับน้องๆ ถ้าไม่ได้มองเหตุผลลึกๆ ก็ทำให้พวกเราถูกมองแค่จากสิ่งที่พวกเขาเห็นแค่นั้น”
ขอบคุณภาพจากเพจ โอตะซ่อมคอม
“แต่ความจริงแล้ว หลายๆ คน ก่อนที่จะมารู้จัก BNK48 พวกเขาก็ใช้ชีวิตทั่วไปอย่างผมก็ใช้เงินไปกับอบายมุขหลายๆ อย่าง แต่พอได้มาเข้ามาอยู่ในจักรวาล BNK48 แล้ว เราก็แทบไม่ได้ไปยุ่งพวกนั้น เพราะเอาเวลามาตามน้องๆ มาให้กำลังใจน้องๆ แทน บางคนไม่มีเงินไปลงกับอบายมุขเพราะเปย์น้องๆ หมดแล้ว(หัวเราะ) ”
“อีกอย่างโอตะก็ยังมีกิจกรรมอื่นๆ นอกจากเตะบอลอีกนะครับ เช่นรวมตัวกันไปบริจาคเลือดในนามน้องๆ BNK48 รวมกลุ่มไปทำบุญ ทำจิตอาสาต่างๆ กีฬาชนิดอื่นก็มีนะไม่ใช่แค่ฟุตบอล ตอนนี้ก็มีบาสเก็ตบอลและกีฬาอีสปอร์ตด้วย แต่ไม่ค่อยมีคนรู้”

“จริงๆ BNK48 ก็มีความคล้ายกับทีมฟุตบอล มีเซมบัตสึคือตัวจริง 16 คน มีอันเดอร์เกิร์ล (ตัวสำรอง) ในแต่ละทีมก็ต้องแข่งขันซึ่งกันและกันเหมือนฟุตบอล แต่สำคัญที่สุดคือมิตรภาพ เราเริ่มจากคนแปลกหน้าที่ชอบน้องๆ เหมือนกันก่อน ต่อด้วยชอบฟุตบอลเหมือนกัน ไม่ว่าจะแข่งขันกันยังไงที่สำคัญคือมิตรภาพ คือคุณตามน้องได้ คุณเชียร์น้องได้แต่อย่าลืมดูแลสุขภาพคุณด้วยครับ” ทีมงานฝ่ายจัดโอตะ ฟีฟ่า คัพปิดท้าย
credit : www.goal.com/th
โอตะ ฟีฟ่า ลีก : การขยายสังคมด้วยฟุตบอลของแฟนคลับ BNK48
ย้อนกลับไป 11 เดือนก่อน เพลง Koisuru Fortune Cookie คุกกี้เสี่ยงทาย ของวง BNK48 โด่งดังเป็นพลุแตกเป็นกระแสมาพร้อมๆ กับสมาชิกในวง แน่นอนสิ่งที่ตามมาคือฐานแฟนคลับที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว จนปัจจุบัน BNK48 มีทั้งรุ่น 1 และรุ่น 2 สมาชิกรวม 51 คน
ด้วยธรรมชาติของแฟนคลับหรือโอตะนอกจากชื่นชอบวง BNK48 แล้ว ส่วนใหญ่จะเป็นการโอชิไอดอลเป็นคนๆ ไปโดยอัตโนมัติ นั่นทำให้เกิดการรวมกลุ่มสำหรับคนที่ติดตามหรือเชียร์ไอดอลคนๆ เดียวกันขึ้นมา โดยอาศัยโลกโซเชียลเป็นสื่อกลางในการพูดคุยกับแฟนคลับทั่วทุกสารทิศ
ไม่เพียงเท่านั้นสังคมคนชอบ BNK48 เริ่มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะการทำกิจกรรมร่วมกันของโอตะ เช่น การจัดนิทรรศกาลขนาดเล็ก ‘เบิร์ธเดย์ โปรเจ็กต์’ ของเมมเบอร์ , การช่วยเหลือสังคมในนามน้องๆ BNK48 รวมถึงการเล่นกีฬา ซึ่งฟุตบอลเป็นหนึ่งในกีฬายอดนิยมของคนไทยและง่ายต่อการเข้าถึง
นั่นทำให้แฟนคลับของ BNK48 เริ่มจัดตั้งทีมฟุตบอลขึ้นมาโดยใช้คำว่า ‘บ้าน’ นำหน้าชื่อเมมเบอร์ เช่น บ้านเนย บ้านเจน หรือ บ้านเฌอปราง จนกระทั่งมีการชักชวนผ่านแต่ละบ้านให้มาร่วมเตะฟุตบอลด้วยกันแบบสนุกสนาน และกลายเป็นจุดกำเนิดของทัวร์นาเมนต์ Ota Fifa Cup ครั้งแรก
“การแข่งขันฟุตบอลโอตะ ฟีฟ่า คัพ เริ่มมาจากรายการ เจนนิษฐ์ คัพ ซึ่งมีหลายๆ บ้านมาแข่งขัน เรารู้สึกประทับใจมาก เพราะบรรยากาศเป็นกันเอง สนุกสนาน เราไม่ซีเรียสกันเลยเรื่องผลแพ้ชนะ” ฝ่ายจัดการแข่งขัน เล่าผ่าน โกล ประเทศไทย
"เนื่องจากคนเริ่มสนใจมากขึ้น การเตะฟุตบอลก็จริงจังขึ้น เราต้องการขยายอีเวนท์ให้ใหญ่เลยถามตัวแทนแต่ละบ้านว่าอยากให้มีการจัดการแข่งขันเป็นทัวร์นาเมนต์เลยไหม? ซึ่งทุกทีมก็เห็นด้วย"
ไม่ใช่เรื่องง่ายที่โอตะ 5 คนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนต้องอาสารับเป็นแม่งานเพื่อที่จะจัดกิจกรรมใหญ่ ทั้งการคัดกรองสมาชิกในทีมต่างๆ ที่จะลงแข่งและดูแลโอตะร่วม 500 ชีวิตในวันงาน
วันที่ 17 มิถุนายน 2561 คือการแข่งขันครั้งแรกของรายการ ‘โอตะ ฟีฟ่า คัพ’ มีทีมเข้าร่วม 24 ทีมจาก 18 บ้าน โดยแบ่งเป็น 2 รุ่น คือรุ่นอายุไม่เกิน 16 ปีและรุ่นประชาชน (16 ปีขึ้นไป) เตะกันที่สนามหญ้าเทียมซูเปอร์ คิกซึ่งในที่สุดงานก็ผ่านไปได้ด้วยดี
“งานวันนั้นค่อนข้างที่จะสมบูรณ์แบบนะครับ มันทำให้เราเปิดสังคมมากขึ้น รู้จักแต่ละคนมากขึ้น ทำให้เรารู้ว่าแต่ละทีมที่มาเตะเขามีมิตรภาพที่อบอุ่น รู้สึกดีมากที่ได้การตอบรับเหนือความคาดหมาย ยังแปลกใจอยู่เลยวันแรกพวกเราคุยกันว่ามันจะผ่านไหม แต่คนในทีมก็มั่นใจว่าเราต้องทำได้และมันก็ได้จริงๆ”
“ผลตอบรับจากคนภายนอกหลายคนก็บอกว่าดีครับ ได้เห็นโอตะมาเตะบอลกันมาทำกิจกรรมร่วมกัน นอกเหนือไปจากติดตามน้องๆ ไอดอล มีหลายคนเข้ามาติดตามเราทางเฟซบุคแฟนเพจ มาให้กำลังใจทั้งที่เขาไม่ได้ลงทำการแข่งขัน ส่วนทางทีมที่เข้าร่วมก็บอกว่าอยากให้จัดอีกเพราะกิจกรรมนี้มันทำให้พวกเขาได้เจอกันบ่อยขึ้นได้มาแลกเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่าง”
“มันทำให้สังคมโอตะของพวกเรากว้างขึ้น เจอหน้ากันรู้จักกัน นอกจากจะไปจับมือน้องแล้วแยกย้ายกลับ ก็กลายเป็นชวนกันไปเที่ยวบ้าง นัดกันไปเชียร์น้องเป็นกลุ่มใหญ่ๆ”
“เรื่องของมิตรภาพ พวกเราไม่ได้เตะบอลเก่ง เราแพ้ตกรอบเราก็คอยไปเชียร์ทีมอื่นได้ มันเป็นความรู้สึกที่ดีมากๆ ที่ทำให้คนที่รักในสิ่งเดียวกันกับเรามารวมกันได้มากขนาดนี้”
“สมัยก่อนหลายๆ คนอาจจะไม่มีเวทีอย่างนี้ แค่คุณอยากจะเตะฟุตบอลคุณหอบรองเท้าสตั๊ดหอบอุปกรณ์มาเล่นกับทีม ซึ่งเราภูมิใจมากๆ ที่เป็นส่วนหนึ่งในการให้โอกาสเพื่อนๆ น้องๆ มีเวทีให้เล่นให้แสดงออกทางด้านนี้มากขึ้น”
การแข่งขันทัวร์นาเมนต์แรกดูเหมือนจบลงไปได้ด้วยดี อย่างไรก็ตามยังมีจุดที่ฝ่ายจัดเห็นว่าผิดกับจุดประสงค์ที่ตั้งไว้ จนเกือบจะไม่มี โอตะ ฟีฟ่า คัพ ครั้งที่ 2
“ครั้งที่ผ่านมามันมีเหตุการณ์ที่ผิดกับจุดประสงค์ในการจัดของเราครับ เช่น การเข้าปะทะที่หนักและรุนแรงจนเกือบจะมีเรื่องทะเลาะ ขึ้นชื่อว่าการแข่งขันมันต้องจริงจังอยู่แล้วครับ แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะรุนแรง จริงๆ แล้วพวกเราจะจัดการแข่งขันครั้งใหม่ให้เป็นการกระชับมิตรแค่จับเวลาเตะวนกันเจอกันหมดทุกทีมแค่นั้น”
“แต่ถ้าทำแบบนั้นก็คิดว่าบ้านต่างๆ จะซุ่มซ้อมกันทำไมถ้าไม่มีการแข่งขัน เราจึงเปลี่ยนมาเป็นการแข่งขันแบบเดิมครับ แต่คราวนี้มาเป็นระบบลีก (โอตะ ฟีฟ่า ลีก) จากที่แพ้ตกรอบก็กลายมาเป็นคิดคะแนน ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก โมเดล ส่วนเรื่องจุดประสงค์เราก็ได้กำชับไปแล้วครับว่าถ้าเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงต่างๆ ขึ้น การแข่งขันครั้งต่อไปทีมนั้นก็อาจจะไม่ได้เข้าร่วมอีก นี่ไม่ใช่การเตะบอลออกกำลังกาย แต่ก็ไม่ถึงกับเอาเป็นเอาตาย”
เมื่อสังคมฟุตบอลของโอตะใหญ่ขึ้น สายตาจากรอบด้านก็มองพวกเขาไปต่างๆ นานาซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงทั้งด้านบวกและลบ แต่เอาเข้าจริงๆ พวกเขาก็เพียงแค่อยากสนับสนุนไอดอลเพื่อให้ไอดอลมาเป็นแรงสนับสนุนชีวิตของตัวเอง
“ผมเคยคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งประมาณ 3-4 เดือน มาวันหนึ่งเขาถามผมว่า ‘พี่ชอบ BNK48 เหรอ? พี่เป็นโอตะเหรอ? โอเคงั้นหนูไม่คุยกับพี่นะ’ เราก็เสียใจนะ แต่สงสัยมากกว่าว่าคำว่าโอตะมันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ? มีอีกนะเคยได้ยินคำพูดว่าทำไมต้องเปย์น้องๆ เยอะขนาดนั้น? ถึงขนาดมีประโยคที่ว่า ‘เสียเป็นแสนจับแค่แขนก็ไม่ได้’ ซึ่งผมว่าแต่ละคนไม่เหมือนกันหรอกครับ ต้องแยกแยะ”
“พวกผมคือคนทั่วไปครับ ใช้ชีวิตทั่วไป เรียนจบ ทำงานเลี้ยงตัวเอง โอตะมักถูกมองด้านลบมาโดยตลอด เพราะสถานการณ์บางอย่างเช่น การซื้อโฟโต้เซ็ตซึ่งเป็นแค่รูปถ่ายของน้องๆ หรือประมูลรูป SSR ราคาหลักแสน , การวิ่งแห่ไปดูน้องๆ ที่ตู้ปลาจนหลายคนบอกว่าพวกเราคือ ‘ซอมบี้’ , การไปนอนหน้าห้างฯ เพื่อรอจับมือกับน้องๆ ถ้าไม่ได้มองเหตุผลลึกๆ ก็ทำให้พวกเราถูกมองแค่จากสิ่งที่พวกเขาเห็นแค่นั้น”
“แต่ความจริงแล้ว หลายๆ คน ก่อนที่จะมารู้จัก BNK48 พวกเขาก็ใช้ชีวิตทั่วไปอย่างผมก็ใช้เงินไปกับอบายมุขหลายๆ อย่าง แต่พอได้มาเข้ามาอยู่ในจักรวาล BNK48 แล้ว เราก็แทบไม่ได้ไปยุ่งพวกนั้น เพราะเอาเวลามาตามน้องๆ มาให้กำลังใจน้องๆ แทน บางคนไม่มีเงินไปลงกับอบายมุขเพราะเปย์น้องๆ หมดแล้ว(หัวเราะ) ”
“อีกอย่างโอตะก็ยังมีกิจกรรมอื่นๆ นอกจากเตะบอลอีกนะครับ เช่นรวมตัวกันไปบริจาคเลือดในนามน้องๆ BNK48 รวมกลุ่มไปทำบุญ ทำจิตอาสาต่างๆ กีฬาชนิดอื่นก็มีนะไม่ใช่แค่ฟุตบอล ตอนนี้ก็มีบาสเก็ตบอลและกีฬาอีสปอร์ตด้วย แต่ไม่ค่อยมีคนรู้”
“จริงๆ BNK48 ก็มีความคล้ายกับทีมฟุตบอล มีเซมบัตสึคือตัวจริง 16 คน มีอันเดอร์เกิร์ล (ตัวสำรอง) ในแต่ละทีมก็ต้องแข่งขันซึ่งกันและกันเหมือนฟุตบอล แต่สำคัญที่สุดคือมิตรภาพ เราเริ่มจากคนแปลกหน้าที่ชอบน้องๆ เหมือนกันก่อน ต่อด้วยชอบฟุตบอลเหมือนกัน ไม่ว่าจะแข่งขันกันยังไงที่สำคัญคือมิตรภาพ คือคุณตามน้องได้ คุณเชียร์น้องได้แต่อย่าลืมดูแลสุขภาพคุณด้วยครับ” ทีมงานฝ่ายจัดโอตะ ฟีฟ่า คัพปิดท้าย
credit : www.goal.com/th