เขียนยาวมาก ใครไม่มีเวลาให้เลื่อนลงไปอ่านข้อสรุปได้เลยนะ
นี่ลิ้ง Part1
https://pantip.com/topic/38167302
หลายคนอาจเคยรู้สึกว่าชีวิตมันเลี้ยวมาผิดทางนานเกินไปจนเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไข และอยากย้อนเวลาไปทำอะไรบางอย่าง ไม่ใช่ทุกคนจะได้โอกาสแบบนั้น แทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ…
นั่งคิดอยู่นานว่าจะเขียน Part นี้ออกมายังไงดี เรื่องส่วนตัวเยอะซะเหลือเกิน แถมยังมีเงื่อนไขเยอะแยะที่ไม่เกี่ยวกับการเรียน ทำให้รู้ว่าหลังออกจากรั้วโรงเรียนมาแล้ว แทบจะไม่มีปัจจัยอะไรเลยที่เราควบคุมได้
แต่เอาเถอะ ให้คำมั่นไว้ใน Part แรกแล้วว่าจะเขียน ก็ต้องเขียน
6 เดือนต่อมา หลังจากเข้าศึกษาในคณะแพทย์ ผมยังคงคิดว่าชีวิตจะเดินเป็นเส้นตรงเหมือนคนอื่นเขา ตั้งใจว่าจะเรียนอย่างเดียว เอาให้สุดติ่งกระดิ่งแมวไปเลย แต่แล้ววันหนึ่งด้วยสถานะทางการเงินทำให้ต้องแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นด้วย ซึ่งจริงๆ เคยมีความคิดจะสร้างงานของตัวเองเป็นชิ้นเป็นอันก่อนเรียนจบอยู่แล้ว เคยพยายามอยู่ 2 ครั้ง แต่ก็ต้องล้มเลิกไปก่อน และล้มเลิกน่ะ เจ็บกว่าล้มเหลวเสียอีก ทำให้ครั้งนี้ต้องเงื่อนไขกับตัวเองว่า ‘ถ้ายังไม่สุด อย่าหยุด’
ตอนเริ่มต้นเหมือนจะดี ผมเริ่มด้วยการสอนพิเศษ ก่อนจะพบว่ามัน active income เกินไป มันคงเวิร์คอยู่หรอก ถ้ามีเวลาว่างหน่อย แต่ด้วยเวลาที่จำกัด ทำให้เพดานรายได้ต่ำมาก ทำอยู่สองเดือนรู้เลย ว่าต่อให้ทำแบบนี้ไปอีกเป็นปี ชีวิตก็ไม่เปลี่ยน
สุดท้ายผมเปลี่ยนกลับมาใช้แผนแรกที่เคยทำและล้มเลิกไปตอน ม.6 คือการเขียนนิยาย ตอนเริ่มรู้สึกว่าบริหารเวลาง่ายกว่าการสอนพิเศษ จะเขียนเมื่อไหร่ก็ได้ งานอิสระ ส่วนการเรียนก็ประคองไม่ให้ตกเป็นพอ ใช้เวลาสองเดือน นิยายเล่มแรกที่สามารถแตง่ให้จบได้ก็เสร็จสมบูรณ์ ทุกอย่างเข้าแผน การเรียนยังไม่ได้แย่กว่าที่คาดไว้ ทีนี้ก็เหลือแค่รอผลพิจารณา ตอนนั้นคิดว่าใกล้สำเร็จแล้ว ภาพตัวเองจ่ายค่าเทอมโดยไม่ต้องขอเงินพ่อแม่ลอยเข้ามาในหัว แต่…
ทุกอย่างกลับตาลปัตร ไม่ใช่แค่นิยายที่ไม่ผ่าน ชีวิตดิ่งลงจุดต่ำสุด คนที่รักจากไปถึงสองคนในเวลาไล่เลี่ยกัน หนึ่งในนั้นเป็นเสาหลักของบ้าน ยังผลให้สอบตกอีก 4 วิชารวด และต้องมาตามซ่อมทีหลังจนไม่มีเวลากลับไปสานต่อนิยายเล่มใหม่
ตอนนั้นเสียทั้งความมั่นใจ ความมุ่งมั่น ต้องใช้เวลาฟื้นฟูในหลายเรื่องทั้งการเรียน ทักษะการเขียนนิยาย และการสร้างพล็อตเรื่อง ที่ต้องมานั่งถามตัวเองว่าบกพร่องตรงไหนถึงได้ไม่ผ่าน รวมถึง mind base ที่ต้องลงไปตอกเสาเข็มใหม่ทั้งหมด ตอนนั้นดูคลิปแนว life coach money coach เยอะมาก ไม่นานก็ฟื้นตัวกลับมาได้
หลังจากวิกฤติผ่านไป มีคำถามกับตัวเองหลายอย่าง เรื่องการสร้างตัวที่คงฝากไว้กับนิยายอย่างเดียวไม่ได้ ทำให้ต้องมากระจายความเสี่ยงโดยการทำเพจ สร้าง personal brand อีกทางหนึ่ง ชื่อเพจ ‘บันทึกของนักล่าฝัน’
https://m.facebook.com/บันทึกของนักล่า-848930048611946
และก็ยังมีช่องยูทูปที่เพิ่งเริ่มได้ไม่นาน แต่งานหลักจริงๆ ยังคงเป็นการสานต่อนิยายเล่มใหม่ ส่วนเพจกับยูทูปมีการสร้างคอนเทนต์เพียงแค่สัปดาห์ละครั้งเท่านั้น
อีกคำถามหนึ่งคือ ยังรักอาชีพแพทย์อยู่ไหม หลังจากเข้ามาเรียนพบว่ามีหลายอย่างไม่ตรงจริต แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นอาชีพที่มีคุณค่าเหมือนกับตอนที่ตัดสินใจสอบเข้ามา และด้วยบททดสอบหลายอย่างในชีวิต มันหล่อหลอมให้มองทุกอย่างเป็นกลาง มองทั้งด้านดีและด้านเสีย คือรู้สึกกลางๆกับอาชีพนี้ แต่ค่อนไปทางลบเสียมากกว่า อย่างไรเสียก็ต้องทนเรียนต่อไปจนจบ หลังจากนั้นชีวิตคงดีเอง… เหรอ อาจไม่ดีก็ได้ แต่ยังไงก็ย้อนเวลากลับไปเลือกใหม่ไม่ได้แล้วนี่นา
และจากที่ลองทำนู้นนี่นั่น แบบที่ไม่เคยทำตอน ม.ปลาย ทำให้มาค้นพบตัวเองเอาตอนเรียนปีสาม ซึ่งจริงๆกระบวนการพวกนี้มันควรทำตั้งแต่ ม.ต้น เสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยระบบการศึกษา ทำให้ผมไม่รู้แม้กระทั้งวิธีการค้นหาตัวเอง มองไม่เห็นทางเลือกอื่น นอกจากหมอหรือวิศวฯ ต่อให้มองเห็นก็ไม่มีสิทธิเลือกอยู่แล้ว อย่างที่ต้องตัดตัวเลือกคณะนิเทศฯ ออกไปทั้งน้ำตา ตอน ม.6
จะหาว่ารำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง จริงๆก็ยอมรับว่าความผิด 80% มาจากตัวเอง ตอนนั้นถ้ายืดหยัดจริงๆ อาจได้เรียนตามใจตัวเอง แต่ดันเลือกทำตามกระแสสังคม คิดว่าเรียนไปเดี๋ยวก็ชอบ อีกสาเหตุที่ไม่กล้ายืนหยัด ก็เพราะไม่รู้จักตัวเองมากพอ ถ้าเลือกแล้วแป๊กนี่อายยังลูกบวชเลย…
สำหรับตอนนี้คงมีทางออกเดียว คือย้อนเวลากลับไปเลือกใหม่ ซึ่งมันทำได้ที่ไหนล่ะ… แต่เดี๋ยวนะ ไม่ได้จริงเหรอ…
ข้อสรุป
1 ก่อนจะซิ่วต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อน ว่าถ้าซิ่วไปแล้วเกิดเหตุขัดข้อง เช่น เงินไม่พอเรียน เรียนไปแล้วไม่ชอบ จะแก้ปัญหายังไง ถ้าตอบตัวเองข้อนี้ไม่ได้ บอกเลย อย่าซิ่ว การซิ่วก็เหมือนการลงทุนทำธุรกิจอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีแผนสำรองในการทำธุรกิจ โอกาสเจ๊งก็เกือบร้อย
2 เรียนไปแล้วไม่ชอบ การซิ่วไม่ได้เป็นแค่ทางออกเดียว มันยังมีทางเลือกอีกมากมาย เช่น เรียนจบไป คุณไม่ต้องทำงานตรงสายก็ได้ หรืออาจจะดรอปสักปีหนึ่ง ไปลองทำสิ่งที่รักดู ถ้าล้มเหลว แย่สุดก็คือกลับมาเรียน
3 การศึกษาไทยอาจทำให้เราติดกรอบ แต่การมานั้งโทษระบบ ไม่ได้ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น สุดท้ายแล้วคุณคือผู้เลือก ว่าจะอยู่ในกรอบหรือไม่
4 ก่อนเลือกคณะควรถามตัวเองว่าอยากได้ไลฟ์สไตล์แบบไหน ไม่ใช่ ชอบวิชาอะไร หรือชอบอาชีพอะไร (คุณอาจมีคำถามอื่นที่เหมาะกับตัวคุณเอง อย่ายึดติดกับคำแนะนำมากเกินไป เพราะสุดท้ายแล้ว มันไม่มีกฏตายตัวในการชีวิต)
5 เลิกบ่นกับพวกที่ชอบสอบกันที่ หรือเข้าไปเรียนแล้วก็ลาออก บ่นไปชีวิตคุณก็ไม่ได้ดีขึ้นเช่นกัน ถ้าคุณอยากได้สิทธิแบบนั้นบ้าง ก็เลิกบ่น แล้วไปทำตัวเองให้มีความสามารถมากพอ ไม่มีเงื่อนไขความสำเร็จของอาชีพไหนที่ชอบคนบ่นเก่ง
ขอโทษที่ต้องตัดจบแบบให้กลับไปคิดเอง แต่มันส่วนตัวจริงๆ และก็ซับซ้อนด้วย ขอไม่เขียนละกัน ผมอยากให้ทุกคนกลับไปตั้งคำถามกับชีวิตตัวเองมากกว่า ว่ามีปลายทางอยู่ตรงไหน ต้องการไลฟ์สไตล์แบบไหน ทำอย่างไรจึงจะไปถึง
เด็กซิ่ว เหยื่อของระบบการศึกษา part 2
นี่ลิ้ง Part1
https://pantip.com/topic/38167302
หลายคนอาจเคยรู้สึกว่าชีวิตมันเลี้ยวมาผิดทางนานเกินไปจนเป็นไปไม่ได้ที่จะแก้ไข และอยากย้อนเวลาไปทำอะไรบางอย่าง ไม่ใช่ทุกคนจะได้โอกาสแบบนั้น แทบไม่มีเลยด้วยซ้ำ…
นั่งคิดอยู่นานว่าจะเขียน Part นี้ออกมายังไงดี เรื่องส่วนตัวเยอะซะเหลือเกิน แถมยังมีเงื่อนไขเยอะแยะที่ไม่เกี่ยวกับการเรียน ทำให้รู้ว่าหลังออกจากรั้วโรงเรียนมาแล้ว แทบจะไม่มีปัจจัยอะไรเลยที่เราควบคุมได้
แต่เอาเถอะ ให้คำมั่นไว้ใน Part แรกแล้วว่าจะเขียน ก็ต้องเขียน
6 เดือนต่อมา หลังจากเข้าศึกษาในคณะแพทย์ ผมยังคงคิดว่าชีวิตจะเดินเป็นเส้นตรงเหมือนคนอื่นเขา ตั้งใจว่าจะเรียนอย่างเดียว เอาให้สุดติ่งกระดิ่งแมวไปเลย แต่แล้ววันหนึ่งด้วยสถานะทางการเงินทำให้ต้องแบ่งเวลาไปทำอย่างอื่นด้วย ซึ่งจริงๆ เคยมีความคิดจะสร้างงานของตัวเองเป็นชิ้นเป็นอันก่อนเรียนจบอยู่แล้ว เคยพยายามอยู่ 2 ครั้ง แต่ก็ต้องล้มเลิกไปก่อน และล้มเลิกน่ะ เจ็บกว่าล้มเหลวเสียอีก ทำให้ครั้งนี้ต้องเงื่อนไขกับตัวเองว่า ‘ถ้ายังไม่สุด อย่าหยุด’
ตอนเริ่มต้นเหมือนจะดี ผมเริ่มด้วยการสอนพิเศษ ก่อนจะพบว่ามัน active income เกินไป มันคงเวิร์คอยู่หรอก ถ้ามีเวลาว่างหน่อย แต่ด้วยเวลาที่จำกัด ทำให้เพดานรายได้ต่ำมาก ทำอยู่สองเดือนรู้เลย ว่าต่อให้ทำแบบนี้ไปอีกเป็นปี ชีวิตก็ไม่เปลี่ยน
สุดท้ายผมเปลี่ยนกลับมาใช้แผนแรกที่เคยทำและล้มเลิกไปตอน ม.6 คือการเขียนนิยาย ตอนเริ่มรู้สึกว่าบริหารเวลาง่ายกว่าการสอนพิเศษ จะเขียนเมื่อไหร่ก็ได้ งานอิสระ ส่วนการเรียนก็ประคองไม่ให้ตกเป็นพอ ใช้เวลาสองเดือน นิยายเล่มแรกที่สามารถแตง่ให้จบได้ก็เสร็จสมบูรณ์ ทุกอย่างเข้าแผน การเรียนยังไม่ได้แย่กว่าที่คาดไว้ ทีนี้ก็เหลือแค่รอผลพิจารณา ตอนนั้นคิดว่าใกล้สำเร็จแล้ว ภาพตัวเองจ่ายค่าเทอมโดยไม่ต้องขอเงินพ่อแม่ลอยเข้ามาในหัว แต่…
ทุกอย่างกลับตาลปัตร ไม่ใช่แค่นิยายที่ไม่ผ่าน ชีวิตดิ่งลงจุดต่ำสุด คนที่รักจากไปถึงสองคนในเวลาไล่เลี่ยกัน หนึ่งในนั้นเป็นเสาหลักของบ้าน ยังผลให้สอบตกอีก 4 วิชารวด และต้องมาตามซ่อมทีหลังจนไม่มีเวลากลับไปสานต่อนิยายเล่มใหม่
ตอนนั้นเสียทั้งความมั่นใจ ความมุ่งมั่น ต้องใช้เวลาฟื้นฟูในหลายเรื่องทั้งการเรียน ทักษะการเขียนนิยาย และการสร้างพล็อตเรื่อง ที่ต้องมานั่งถามตัวเองว่าบกพร่องตรงไหนถึงได้ไม่ผ่าน รวมถึง mind base ที่ต้องลงไปตอกเสาเข็มใหม่ทั้งหมด ตอนนั้นดูคลิปแนว life coach money coach เยอะมาก ไม่นานก็ฟื้นตัวกลับมาได้
หลังจากวิกฤติผ่านไป มีคำถามกับตัวเองหลายอย่าง เรื่องการสร้างตัวที่คงฝากไว้กับนิยายอย่างเดียวไม่ได้ ทำให้ต้องมากระจายความเสี่ยงโดยการทำเพจ สร้าง personal brand อีกทางหนึ่ง ชื่อเพจ ‘บันทึกของนักล่าฝัน’ https://m.facebook.com/บันทึกของนักล่า-848930048611946
และก็ยังมีช่องยูทูปที่เพิ่งเริ่มได้ไม่นาน แต่งานหลักจริงๆ ยังคงเป็นการสานต่อนิยายเล่มใหม่ ส่วนเพจกับยูทูปมีการสร้างคอนเทนต์เพียงแค่สัปดาห์ละครั้งเท่านั้น
อีกคำถามหนึ่งคือ ยังรักอาชีพแพทย์อยู่ไหม หลังจากเข้ามาเรียนพบว่ามีหลายอย่างไม่ตรงจริต แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันเป็นอาชีพที่มีคุณค่าเหมือนกับตอนที่ตัดสินใจสอบเข้ามา และด้วยบททดสอบหลายอย่างในชีวิต มันหล่อหลอมให้มองทุกอย่างเป็นกลาง มองทั้งด้านดีและด้านเสีย คือรู้สึกกลางๆกับอาชีพนี้ แต่ค่อนไปทางลบเสียมากกว่า อย่างไรเสียก็ต้องทนเรียนต่อไปจนจบ หลังจากนั้นชีวิตคงดีเอง… เหรอ อาจไม่ดีก็ได้ แต่ยังไงก็ย้อนเวลากลับไปเลือกใหม่ไม่ได้แล้วนี่นา
และจากที่ลองทำนู้นนี่นั่น แบบที่ไม่เคยทำตอน ม.ปลาย ทำให้มาค้นพบตัวเองเอาตอนเรียนปีสาม ซึ่งจริงๆกระบวนการพวกนี้มันควรทำตั้งแต่ ม.ต้น เสียด้วยซ้ำ แต่ด้วยระบบการศึกษา ทำให้ผมไม่รู้แม้กระทั้งวิธีการค้นหาตัวเอง มองไม่เห็นทางเลือกอื่น นอกจากหมอหรือวิศวฯ ต่อให้มองเห็นก็ไม่มีสิทธิเลือกอยู่แล้ว อย่างที่ต้องตัดตัวเลือกคณะนิเทศฯ ออกไปทั้งน้ำตา ตอน ม.6
จะหาว่ารำไม่ดีโทษปี่โทษกลอง จริงๆก็ยอมรับว่าความผิด 80% มาจากตัวเอง ตอนนั้นถ้ายืดหยัดจริงๆ อาจได้เรียนตามใจตัวเอง แต่ดันเลือกทำตามกระแสสังคม คิดว่าเรียนไปเดี๋ยวก็ชอบ อีกสาเหตุที่ไม่กล้ายืนหยัด ก็เพราะไม่รู้จักตัวเองมากพอ ถ้าเลือกแล้วแป๊กนี่อายยังลูกบวชเลย…
สำหรับตอนนี้คงมีทางออกเดียว คือย้อนเวลากลับไปเลือกใหม่ ซึ่งมันทำได้ที่ไหนล่ะ… แต่เดี๋ยวนะ ไม่ได้จริงเหรอ…
ข้อสรุป
1 ก่อนจะซิ่วต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อน ว่าถ้าซิ่วไปแล้วเกิดเหตุขัดข้อง เช่น เงินไม่พอเรียน เรียนไปแล้วไม่ชอบ จะแก้ปัญหายังไง ถ้าตอบตัวเองข้อนี้ไม่ได้ บอกเลย อย่าซิ่ว การซิ่วก็เหมือนการลงทุนทำธุรกิจอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีแผนสำรองในการทำธุรกิจ โอกาสเจ๊งก็เกือบร้อย
2 เรียนไปแล้วไม่ชอบ การซิ่วไม่ได้เป็นแค่ทางออกเดียว มันยังมีทางเลือกอีกมากมาย เช่น เรียนจบไป คุณไม่ต้องทำงานตรงสายก็ได้ หรืออาจจะดรอปสักปีหนึ่ง ไปลองทำสิ่งที่รักดู ถ้าล้มเหลว แย่สุดก็คือกลับมาเรียน
3 การศึกษาไทยอาจทำให้เราติดกรอบ แต่การมานั้งโทษระบบ ไม่ได้ทำให้ชีวิตคุณดีขึ้น สุดท้ายแล้วคุณคือผู้เลือก ว่าจะอยู่ในกรอบหรือไม่
4 ก่อนเลือกคณะควรถามตัวเองว่าอยากได้ไลฟ์สไตล์แบบไหน ไม่ใช่ ชอบวิชาอะไร หรือชอบอาชีพอะไร (คุณอาจมีคำถามอื่นที่เหมาะกับตัวคุณเอง อย่ายึดติดกับคำแนะนำมากเกินไป เพราะสุดท้ายแล้ว มันไม่มีกฏตายตัวในการชีวิต)
5 เลิกบ่นกับพวกที่ชอบสอบกันที่ หรือเข้าไปเรียนแล้วก็ลาออก บ่นไปชีวิตคุณก็ไม่ได้ดีขึ้นเช่นกัน ถ้าคุณอยากได้สิทธิแบบนั้นบ้าง ก็เลิกบ่น แล้วไปทำตัวเองให้มีความสามารถมากพอ ไม่มีเงื่อนไขความสำเร็จของอาชีพไหนที่ชอบคนบ่นเก่ง
ขอโทษที่ต้องตัดจบแบบให้กลับไปคิดเอง แต่มันส่วนตัวจริงๆ และก็ซับซ้อนด้วย ขอไม่เขียนละกัน ผมอยากให้ทุกคนกลับไปตั้งคำถามกับชีวิตตัวเองมากกว่า ว่ามีปลายทางอยู่ตรงไหน ต้องการไลฟ์สไตล์แบบไหน ทำอย่างไรจึงจะไปถึง