บันทึกรัสเซีย วันที่ 8 วันพฤหัสบดีที่ 27 กันยายน 2561
ออกนอกเมืองมา 2 วันแล้ว วันนี้เลยวางแผนเที่ยวในเมือง และรอบ ๆ ใกล้ ๆ บ้าง โดยเริ่มจากที่ Grand maket Russia ซึ่งเป็นเมืองจำลองที่จำลองภูมิประเทศและสถานที่สำคัญต่าง ๆ ในรัสเซีย เพราะรู้สึกว่าเที่ยวโบสถ์กับวังมาเยอะแล้ว อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง แล้วก็ไม่ผิดหวังเลย เพราะ model เค้าทำออกมาได้ละเอียด แถมบางตัวเคลื่อนไหวได้ด้วย เช่น มีตึกที่มีไฟไหม้ พอเราไปกดปุ่มมันก็จะมีรถดับเพลิงออกมาดับไฟ รถที่เคลื่อนไหวอยู่บนถนน รางรถไฟที่วิ่งอยู่ตลอด แล้วก็มีสลับเปลี่ยนช่วงกลางวันกับกลางคืนด้วย เราจึงใช้เวลากันที่นี่นานพอควรทีเดียว
Grand Maket Russia นี้ เป็นเมืองจำลองที่จำลองภูมิประเทศและสถานที่สำคัญต่าง ๆ ในรัสเซีย โมเดลบางตัวก็สามารถเคลื่อนไหวได้ เช่น มีตึกที่มีไฟไหม้ พอเราไปกดปุ่มมันก็จะมีรถดับเพลิงออกมาดับไฟ ตามถนนหรือรางรถไฟก็จะมีรถเคลื่อนไหวตลอด มีสลับเปลี่ยนช่วงกลางวันกับกลางคืนด้วย model ต่าง ๆ เค้าทำออกมาได้ละเอียดมากทีเดียว แนะนำว่าเป็นอีกที่ที่น่าสนใจค่ะ
การเดินทาง : Metro สถานี Moskovskie Vorota
ค่าบัตร 480 บาท บัตร ISIC 440 ค่ะ

ออกจากเมืองจำลองเราก็ไปต่อในอีกเป้าหมายสำคัญ เรือรบหลวง Aurora (Cruise Aurora) หรือเรือรัสเซียนาวี เดินหากันไปลุ้นกันไปว่าจะเจอหรือเปล่า แต่ก็ต้องตามหาให้เจอ เพราะเหตุผล 2 อย่าง ข้อแรกเรือลำนี้ที่มีความสัมพันธ์กับสยามประเทศอย่างมาก ส่วนสำคัญอย่างไรดูได้จากโพสต์เรื่องเรือรบหลวงค่ะ ส่วนข้อที่สองนี่เป็นเหตุผลส่วนตัวล้วน ๆ คือ อยากเป็นทหารเรือ และรู้สึกผูกพันกับราชนาวี เลยจะชอบเรื่องราวเกี่ยวกับราชนาวี สุดท้ายก็หาจนเจอ เรือลำนี้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ได้อย่างน่ารักทีเดียว และยังได้เห็นว่าเค้าให้เกียรติประเทศและสถาบันกษัตริย์ของเรามาก โดยดูจากการจัดวางพระราชลัญจกรในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อคราดำรงพระอิสริยยศเป็นพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ได้ถูกจัดวางไว้อย่างดีในแถวบนสุดตำแหน่งกลางของที่จัดวางเลย รู้สึกขนลุกมาก
เรือรบหลวงออโรร่า เรือที่เคยเดินทางมาราขอาณาจักรไทย สมัยรัชกาลที่ ๖
เรือรบหลวงออโรร่า Cruise Aurora หรือเรือรัสเซียนาวี สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1904-1905 ระหว่างการทำสงครามของรัสเซีย กับ ญึ่ปุ่น แม้เป็นเรือรบโบราณที่พ่ายแพ้กลับมา แต่นับเป็นเรือไม่กี่ลำที่รอดตายจาก Battle of Tsushima ที่กองทัพเรือรัสเซียพ่ายแพ้ให้กับกองทัพเรือญี่ปุ่นอย่างราบคาบ ที่ต้องได้รับความพ่ายแพ้กลับมาเนื่องจากสาเหตุที่ญี่ปุ่นมีความก้าวหน้าล้ำยุคกว่ามากในเรื่องของอาวุธที่ใช้ในการทำสงคราม แต่รัสเซียเองที่ยังคงล้าหลังในเรื่องนี้อยู่จึงทำให้ไม่สามารถเอาชัยชนะกลับมาได้
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เรือก็ถูกทำให้จมลงในแม่น้ำเพื่อป้องกันระเบิดจากเยอรมัน และภายหลังจากการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงได้นำเรือขึ้นมาและปัจจุบันก็ได้ปลดระวางและทำพิพิธภัณฑ์
ภายในเรือประกอบด้วย 2 ชั้น ชั้นแรกจัดแสดงภาพของเรือ ภูมิประเทศของเมืองโดยรอบ ในช่วงศตวรรษที่ 20 ธงโบราณของรัสเซีย
ส่วนชั้นล่างเป็นห้องโถงแสดง ชีวิตความเป็นอยู่ของทหารเรือ เมนูอาหารการกิน อุปกรณ์เครื่องมือและเครื่องใช้ของทหารเรือที่ใช้ในการทำสงคราม มีเมนูอาหารของลูกเรือว่าในช่วงการทำสงครามนั้นพวกเขาทานอะไรกันบ้างเป็นหลัก ที่นอน รวมถึงภาพการทำสงครามต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรือลำนี้ เครื่องบรรณาการจากมิตรภาพต่างแดน รวมทั้งของประเทศไทย ซึ่งได้แก่ตราอักษรย่อ มก.ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร (พระราชอิสริยยศในสมัยนั้น)
การจัดแสดงแบ่ง 6 ห้อง โดยแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเรือ และห้องทำงานภายในเรือ ห้องวิทยุ หอบังคับการเรือใต้น้ำ หางเสือเรือ ห้องเครื่อง ห้องควบคุมเรือ และห้องผู้บังคับการเรือ เป็นต้น
ในปีค.ศ. 1989 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารได้เสด็จเยี่ยมชมเรือรบหลวงออโรร่า Cruise Aurora และได้มอบพระราชสัญจกรประทับไว้บนเรือด้วย ตามที่กล่าวไว้ในข้างต้น ซึงทางการรัสเซียได้ให้ประดับพระราชลัญจกรนี้ไว้ในแถวบนสุด จุดกลางของแทนด้วย
ที่เด็ดที่สุดคือ Cruiser Aurora ลำนี้เคยล่องมาถึงประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมงานพิธีพระบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยซาร์นิโคลัสที่ 2 ส่งมาเพื่อยิงปืนใหญ่เฉลิมฉลองวาระขึ้นครองราชย์ภายในเรือมีของสะสมตราของพระองค์ด้วย
การเดินทาง : Metro สถานี Gorkovskaya
บัตรเข้าชม : 700 ISIC 450

เมื่อชมจนเต็มอิ่มในทีมก็คุยกันว่าเราน่าจะใช้บริการอูเบอร์ไปโบสถ์หยดเลือดดีกว่า เพื่อเป็นการถนอมเท้าและแรงของเรา เนื่องจากเดินกันมาไม่ต่ำกว่า 20 กิโลต่อวัน และยังต้องไปอีก 3-4 แห่ง จึงได้ข้อตกลงตามนั้น โบสถ์แห่งหยดเลือด (Church of savior on spilled blood) (Собор Василия Блаженного) หรือชื่อทางการคือ Church of the Resurrection of Christ (Спас на Крови) นั้น เป็นโบสถ์เล็ก ๆ ที่นับว่ามีความสวยงามทีเดียว ด้านในเป็นโมเสคทั้งหมด แต่เล็กมากจริง จนน้องในทีมถามว่า มีแค่นี้เหรอ ยังไม่คุ้มค่าบัตรเลย 555
โบสถ์แห่งหยดเลือดนี้เป็นโบสถ์ที่สวยงาม แต่แฝงไปด้วยประวัติศาสตร์แห่งความเศร้า เพราะที่สร้างทับจุดที่ซาร์ Alexander II (ปู่ของซาร์องค์สุดท้ายแห่งรัสเซีย ซาร์ Nicholas II) ถูกโยนระเบิดใส่เพื่อลอบปลงพระชนม์ ในปี ค.ศ. 1881 (ถึงแม้พระองค์จะไม่ได้สิ้นพระชนม์ในที่เกิดเหตุทันที แต่สุดท้ายก็ไปสิ้นพระชนม์ที่ Winter palace) พระเจ้าซาร์ Alexander III จึงสร้างโบสถ์แห่งนี้ขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่บิดาของพระองค์เอง ที่เห็นว่าโบสถ์แห่งนี้ดูคล้ายๆ St.Basil เพราะได้รับแรงบันดาลใจมาจากที่นั่น นั่นเอง
การเดินทาง : Metro ลงสถานี Gostiny Dvor (Гостиный двор) สายสีเขียว หรือ สถานี Nevsky Prospekt (Невский проспект) สายสีฟ้า
ค่าเข้าชม : บัตร 250 ISIC 150

ออกมาก็มองเห็นเป้าหมายต่อไปของเราอยู่ข้างหน้าเลย คือ มหาวิหารคาซาน (Kazan Cathedral) (Каза́нский кафедра́льный собо́р) เราก็เดินเลียบคลองไปประมารไม่เกิน 200 เมตร แต่รู้สึกใกล้มาก เพราะมีร้านค้าอยู่ตลอดทางนั่นเอง กว่าจะถึงจุดหมายก็ได้ตุ๊กตาแม่ลูกดก матрёшка (มาโตรชก้า) มาให้น้องสาวได้ระบายสีเล่น 1 ชุด เมื่อถึงวิหารคาซานเข้าไปภายในพบว่ามีแถวคนยาวเลย รอจะเข้าไปทำความเคารพนักบุญ ในโบสถ์นี้ทำให้รู้สึกสงบได้อย่างประหลาด ทำให้เราคิดถึงตอนไปอารามชี Novodevichy Convent (Новоде́вичье кла́дбище) เลย

ออกมาก็พากันเดินไปมหาวิหารเซนต์ไอแซค (St.Isaac’s Cathedral) (Исаа́киевский Собо́р) กันต่อ แต่ไปไม่ถึง เพราะถูกล้วงกระเป๋าเสียก่อน เราจึงต้องเบนเข็มไปสถานีตำรวจแทน ซึ่งตอนนี้มีความรู้สึกที่แย่มาก ๆ เพราะตำรวจเค้าไม่สนใจอะไรเลย จนน้องจากกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำกรุงเซนต์ปิเตอร์เบิร์กชื่อ Anastasia มาช่วยประสานงานให้ จึงได้หนังสือมาเพื่อจองตั๋วรถไฟไปมอสโคว แต่ก็โคตรช้า เสียเวลาอยู่ที่สถานตำรวจราวสองชั่วโมง นี่ขนาดว่าเราเตรียมพร้อมทุกอย่าง เอกสารมีครบทั้งตัวถ่ายเอกสารของ Passport เก่า ใบ ตม. ที่ถ่ายรูปไว้ในโทรศัพท์ บัตรประชาขนเราก็แยกไว้เลยไม่ติดไปกับกระเป๋า เราก็โทรประสานกับสถานฑูตเพื่อขอรายละเอียด น้องสิริรัตน์เจ้าหน้าที่สถานทูตก็น่ารักมาก เมื่อได้ใบแจ้งความมาก็ต้องรีบไปจองตั๋วรถไฟคืนนี้ และแลกเงิน 14 ดอลล่าค่าธรรมเนียม แล้วรีบกลับไปเก็บของจัดกระเป๋าที่จะกลับเมืองไทยฝากไว้ที่ทีม และเตรียมเสื้อผ้าที่จะต้องใช้ที่มอสโคว เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนผ้าเรียบร้อยก็รีบฝ่าความหนาวไปขึ้นรถไฟเที่ยวเที่ยงคืนเพื่อเดินทางไปมอสโคว ซึ่ง Anastasia น่ารักมาก ๆ ดำเนินการจนเรียบร้อย แล้วยังมาส่งถึงที่พัก และไปรอที่สถานีรถไฟเพื่อรอส่งเราขึ้นรถไฟอีก ปรากฏว่ารถไฟรอบนี้เป็นเที่ยวพิเศษ ซึ่งบริการดีมาก ๆ อาหารก็รสชาติดีทีเดียว และห้องที่เรานอนก็เป็นห้องผู้หญิงล้วน เลยสบายใจหน่อย เสียแต่ได้เตียงบน ไม่มีที่ชาร์ทแบต คืนนี้นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ กังวลมาก ๆ ว่าจะกลับมาทันขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยไม๊

#MoscowMarathon
ท่องแดนหมีขาว Moscow Marathon 2018 ตอน 9
ออกนอกเมืองมา 2 วันแล้ว วันนี้เลยวางแผนเที่ยวในเมือง และรอบ ๆ ใกล้ ๆ บ้าง โดยเริ่มจากที่ Grand maket Russia ซึ่งเป็นเมืองจำลองที่จำลองภูมิประเทศและสถานที่สำคัญต่าง ๆ ในรัสเซีย เพราะรู้สึกว่าเที่ยวโบสถ์กับวังมาเยอะแล้ว อยากเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง แล้วก็ไม่ผิดหวังเลย เพราะ model เค้าทำออกมาได้ละเอียด แถมบางตัวเคลื่อนไหวได้ด้วย เช่น มีตึกที่มีไฟไหม้ พอเราไปกดปุ่มมันก็จะมีรถดับเพลิงออกมาดับไฟ รถที่เคลื่อนไหวอยู่บนถนน รางรถไฟที่วิ่งอยู่ตลอด แล้วก็มีสลับเปลี่ยนช่วงกลางวันกับกลางคืนด้วย เราจึงใช้เวลากันที่นี่นานพอควรทีเดียว
Grand Maket Russia นี้ เป็นเมืองจำลองที่จำลองภูมิประเทศและสถานที่สำคัญต่าง ๆ ในรัสเซีย โมเดลบางตัวก็สามารถเคลื่อนไหวได้ เช่น มีตึกที่มีไฟไหม้ พอเราไปกดปุ่มมันก็จะมีรถดับเพลิงออกมาดับไฟ ตามถนนหรือรางรถไฟก็จะมีรถเคลื่อนไหวตลอด มีสลับเปลี่ยนช่วงกลางวันกับกลางคืนด้วย model ต่าง ๆ เค้าทำออกมาได้ละเอียดมากทีเดียว แนะนำว่าเป็นอีกที่ที่น่าสนใจค่ะ
การเดินทาง : Metro สถานี Moskovskie Vorota
ค่าบัตร 480 บาท บัตร ISIC 440 ค่ะ
ออกจากเมืองจำลองเราก็ไปต่อในอีกเป้าหมายสำคัญ เรือรบหลวง Aurora (Cruise Aurora) หรือเรือรัสเซียนาวี เดินหากันไปลุ้นกันไปว่าจะเจอหรือเปล่า แต่ก็ต้องตามหาให้เจอ เพราะเหตุผล 2 อย่าง ข้อแรกเรือลำนี้ที่มีความสัมพันธ์กับสยามประเทศอย่างมาก ส่วนสำคัญอย่างไรดูได้จากโพสต์เรื่องเรือรบหลวงค่ะ ส่วนข้อที่สองนี่เป็นเหตุผลส่วนตัวล้วน ๆ คือ อยากเป็นทหารเรือ และรู้สึกผูกพันกับราชนาวี เลยจะชอบเรื่องราวเกี่ยวกับราชนาวี สุดท้ายก็หาจนเจอ เรือลำนี้จัดเป็นพิพิธภัณฑ์ได้อย่างน่ารักทีเดียว และยังได้เห็นว่าเค้าให้เกียรติประเทศและสถาบันกษัตริย์ของเรามาก โดยดูจากการจัดวางพระราชลัญจกรในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อคราดำรงพระอิสริยยศเป็นพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร ได้ถูกจัดวางไว้อย่างดีในแถวบนสุดตำแหน่งกลางของที่จัดวางเลย รู้สึกขนลุกมาก
เรือรบหลวงออโรร่า เรือที่เคยเดินทางมาราขอาณาจักรไทย สมัยรัชกาลที่ ๖
เรือรบหลวงออโรร่า Cruise Aurora หรือเรือรัสเซียนาวี สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1904-1905 ระหว่างการทำสงครามของรัสเซีย กับ ญึ่ปุ่น แม้เป็นเรือรบโบราณที่พ่ายแพ้กลับมา แต่นับเป็นเรือไม่กี่ลำที่รอดตายจาก Battle of Tsushima ที่กองทัพเรือรัสเซียพ่ายแพ้ให้กับกองทัพเรือญี่ปุ่นอย่างราบคาบ ที่ต้องได้รับความพ่ายแพ้กลับมาเนื่องจากสาเหตุที่ญี่ปุ่นมีความก้าวหน้าล้ำยุคกว่ามากในเรื่องของอาวุธที่ใช้ในการทำสงคราม แต่รัสเซียเองที่ยังคงล้าหลังในเรื่องนี้อยู่จึงทำให้ไม่สามารถเอาชัยชนะกลับมาได้
ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เรือก็ถูกทำให้จมลงในแม่น้ำเพื่อป้องกันระเบิดจากเยอรมัน และภายหลังจากการสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงได้นำเรือขึ้นมาและปัจจุบันก็ได้ปลดระวางและทำพิพิธภัณฑ์
ภายในเรือประกอบด้วย 2 ชั้น ชั้นแรกจัดแสดงภาพของเรือ ภูมิประเทศของเมืองโดยรอบ ในช่วงศตวรรษที่ 20 ธงโบราณของรัสเซีย
ส่วนชั้นล่างเป็นห้องโถงแสดง ชีวิตความเป็นอยู่ของทหารเรือ เมนูอาหารการกิน อุปกรณ์เครื่องมือและเครื่องใช้ของทหารเรือที่ใช้ในการทำสงคราม มีเมนูอาหารของลูกเรือว่าในช่วงการทำสงครามนั้นพวกเขาทานอะไรกันบ้างเป็นหลัก ที่นอน รวมถึงภาพการทำสงครามต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเรือลำนี้ เครื่องบรรณาการจากมิตรภาพต่างแดน รวมทั้งของประเทศไทย ซึ่งได้แก่ตราอักษรย่อ มก.ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร (พระราชอิสริยยศในสมัยนั้น)
การจัดแสดงแบ่ง 6 ห้อง โดยแสดงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของเรือ และห้องทำงานภายในเรือ ห้องวิทยุ หอบังคับการเรือใต้น้ำ หางเสือเรือ ห้องเครื่อง ห้องควบคุมเรือ และห้องผู้บังคับการเรือ เป็นต้น
ในปีค.ศ. 1989 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งดำรงพระราชอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมารได้เสด็จเยี่ยมชมเรือรบหลวงออโรร่า Cruise Aurora และได้มอบพระราชสัญจกรประทับไว้บนเรือด้วย ตามที่กล่าวไว้ในข้างต้น ซึงทางการรัสเซียได้ให้ประดับพระราชลัญจกรนี้ไว้ในแถวบนสุด จุดกลางของแทนด้วย
ที่เด็ดที่สุดคือ Cruiser Aurora ลำนี้เคยล่องมาถึงประเทศไทยเพื่อเข้าร่วมงานพิธีพระบรมราชาภิเษกของพระบาทสมเด็จพระมงกุฏเล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 โดยซาร์นิโคลัสที่ 2 ส่งมาเพื่อยิงปืนใหญ่เฉลิมฉลองวาระขึ้นครองราชย์ภายในเรือมีของสะสมตราของพระองค์ด้วย
การเดินทาง : Metro สถานี Gorkovskaya
บัตรเข้าชม : 700 ISIC 450
เมื่อชมจนเต็มอิ่มในทีมก็คุยกันว่าเราน่าจะใช้บริการอูเบอร์ไปโบสถ์หยดเลือดดีกว่า เพื่อเป็นการถนอมเท้าและแรงของเรา เนื่องจากเดินกันมาไม่ต่ำกว่า 20 กิโลต่อวัน และยังต้องไปอีก 3-4 แห่ง จึงได้ข้อตกลงตามนั้น โบสถ์แห่งหยดเลือด (Church of savior on spilled blood) (Собор Василия Блаженного) หรือชื่อทางการคือ Church of the Resurrection of Christ (Спас на Крови) นั้น เป็นโบสถ์เล็ก ๆ ที่นับว่ามีความสวยงามทีเดียว ด้านในเป็นโมเสคทั้งหมด แต่เล็กมากจริง จนน้องในทีมถามว่า มีแค่นี้เหรอ ยังไม่คุ้มค่าบัตรเลย 555
โบสถ์แห่งหยดเลือดนี้เป็นโบสถ์ที่สวยงาม แต่แฝงไปด้วยประวัติศาสตร์แห่งความเศร้า เพราะที่สร้างทับจุดที่ซาร์ Alexander II (ปู่ของซาร์องค์สุดท้ายแห่งรัสเซีย ซาร์ Nicholas II) ถูกโยนระเบิดใส่เพื่อลอบปลงพระชนม์ ในปี ค.ศ. 1881 (ถึงแม้พระองค์จะไม่ได้สิ้นพระชนม์ในที่เกิดเหตุทันที แต่สุดท้ายก็ไปสิ้นพระชนม์ที่ Winter palace) พระเจ้าซาร์ Alexander III จึงสร้างโบสถ์แห่งนี้ขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่บิดาของพระองค์เอง ที่เห็นว่าโบสถ์แห่งนี้ดูคล้ายๆ St.Basil เพราะได้รับแรงบันดาลใจมาจากที่นั่น นั่นเอง
การเดินทาง : Metro ลงสถานี Gostiny Dvor (Гостиный двор) สายสีเขียว หรือ สถานี Nevsky Prospekt (Невский проспект) สายสีฟ้า
ค่าเข้าชม : บัตร 250 ISIC 150
ออกมาก็มองเห็นเป้าหมายต่อไปของเราอยู่ข้างหน้าเลย คือ มหาวิหารคาซาน (Kazan Cathedral) (Каза́нский кафедра́льный собо́р) เราก็เดินเลียบคลองไปประมารไม่เกิน 200 เมตร แต่รู้สึกใกล้มาก เพราะมีร้านค้าอยู่ตลอดทางนั่นเอง กว่าจะถึงจุดหมายก็ได้ตุ๊กตาแม่ลูกดก матрёшка (มาโตรชก้า) มาให้น้องสาวได้ระบายสีเล่น 1 ชุด เมื่อถึงวิหารคาซานเข้าไปภายในพบว่ามีแถวคนยาวเลย รอจะเข้าไปทำความเคารพนักบุญ ในโบสถ์นี้ทำให้รู้สึกสงบได้อย่างประหลาด ทำให้เราคิดถึงตอนไปอารามชี Novodevichy Convent (Новоде́вичье кла́дбище) เลย
ออกมาก็พากันเดินไปมหาวิหารเซนต์ไอแซค (St.Isaac’s Cathedral) (Исаа́киевский Собо́р) กันต่อ แต่ไปไม่ถึง เพราะถูกล้วงกระเป๋าเสียก่อน เราจึงต้องเบนเข็มไปสถานีตำรวจแทน ซึ่งตอนนี้มีความรู้สึกที่แย่มาก ๆ เพราะตำรวจเค้าไม่สนใจอะไรเลย จนน้องจากกงสุลกิตติมศักดิ์ประจำกรุงเซนต์ปิเตอร์เบิร์กชื่อ Anastasia มาช่วยประสานงานให้ จึงได้หนังสือมาเพื่อจองตั๋วรถไฟไปมอสโคว แต่ก็โคตรช้า เสียเวลาอยู่ที่สถานตำรวจราวสองชั่วโมง นี่ขนาดว่าเราเตรียมพร้อมทุกอย่าง เอกสารมีครบทั้งตัวถ่ายเอกสารของ Passport เก่า ใบ ตม. ที่ถ่ายรูปไว้ในโทรศัพท์ บัตรประชาขนเราก็แยกไว้เลยไม่ติดไปกับกระเป๋า เราก็โทรประสานกับสถานฑูตเพื่อขอรายละเอียด น้องสิริรัตน์เจ้าหน้าที่สถานทูตก็น่ารักมาก เมื่อได้ใบแจ้งความมาก็ต้องรีบไปจองตั๋วรถไฟคืนนี้ และแลกเงิน 14 ดอลล่าค่าธรรมเนียม แล้วรีบกลับไปเก็บของจัดกระเป๋าที่จะกลับเมืองไทยฝากไว้ที่ทีม และเตรียมเสื้อผ้าที่จะต้องใช้ที่มอสโคว เมื่ออาบน้ำเปลี่ยนผ้าเรียบร้อยก็รีบฝ่าความหนาวไปขึ้นรถไฟเที่ยวเที่ยงคืนเพื่อเดินทางไปมอสโคว ซึ่ง Anastasia น่ารักมาก ๆ ดำเนินการจนเรียบร้อย แล้วยังมาส่งถึงที่พัก และไปรอที่สถานีรถไฟเพื่อรอส่งเราขึ้นรถไฟอีก ปรากฏว่ารถไฟรอบนี้เป็นเที่ยวพิเศษ ซึ่งบริการดีมาก ๆ อาหารก็รสชาติดีทีเดียว และห้องที่เรานอนก็เป็นห้องผู้หญิงล้วน เลยสบายใจหน่อย เสียแต่ได้เตียงบน ไม่มีที่ชาร์ทแบต คืนนี้นอนหลับ ๆ ตื่น ๆ กังวลมาก ๆ ว่าจะกลับมาทันขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยไม๊