อันนี้เป็นการรีวิวครั้งแรกของเรา ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะคะ
รูปถ่ายอาจจะไม่ค่อยสวย ทั้งเราและแฟนไม่ใช่ตากล้อง แต่อยากถ่ายทั้งหมดเก็บไว้เป็นความทรงจำ
และมันเป็นทริปที่เราประทับใจมาก เลยอยากแชร์ เผื่อมีคนที่อยากไปเที่ยวจะได้เจอกับประสบการณ์ดีๆแบบเรา
เริ่มกันเลย ลุยยยยย!!!!!!!
5-8 ตุลาคม 2561
เราเดินทางทั้งไปและกลับด้วยสมบัติทัวร์ (ขึ้นรถที่วิภาวดี) ราคาเที่ยวละ 466 บาท เราขึ้นเที่ยว 20.40 ของวันที่ 5 ตุลา ถึงสถานีขนส่งน่าน 06.30 ของวันที่ 6 ตุลา รถจะจอดแวะพักที่พิษณุโลก 20 นาที น่าจะประมาณตี 1 -2 ตอนนั้นเราสะลึมสะลือมาก 555 ระหว่างทาง เค้าแจกน้ำ 1 ขวดกับขนมปัง 1 ชิ้น ถ้าหิวก็กินกันไปพลางๆได้ เมื่อถึงสถานีขนส่งน่าน เราเดินไปหลังสุดของสถานีขนส่งน่าน เพื่อทำธุระส่วนตัว เราแค่แปรงฟัน ล้างหน้า แล้วก็เปลี่ยนชุดค่ะ แต่ว่าถ้าใครอยากอาบน้ำเคยอ่านรีวิวว่าให้ไปที่ศูนย์ท่องเที่ยวของจังหวัดน่านค่ะ มีห้องน้ำบริการนักท่องเที่ยวฟรี
เสร็จภารกิจเรียบร้อย เราเดินไปกินข้าวร้านข้างๆสถานีขนส่งค่ะ เพื่อฆ่าเวลาระหว่างรอพี่เช่ารถมาส่งรถ เรานัดกับพี่เค้าไว้ตอน 08.00 น.
เรื่องเช่ารถ ขอเท้าความนิดนึง เราจองที่พักกับรถทัวร์ล่วงหน้าหลายเดือน เพราะเรากลัวเต็ม แต่เราดันมาหารถเช่าอีก 2 วันก่อนเดินทาง ซึ่งทำให้โทรไปหา 4-5 เจ้า เต็มหมดจ้า เราใจเสียเลย นึกว่าจะได้เปลี่ยน feel แว้นขึ้นเขากับแฟนซะแล้ว ปรากฏมาเจอเจ้าสุดท้ายค่ะ เค้าชื่อพี่ใหญ่ เช่าวันละ 900 บาท รถที่เราได้มาเป็น honda city แถม usb ใส่เพลงมาให้ด้วย ดี๊ดี เพราะเวลาขึ้นเขาบางทีสัญญาณอินเตอร์เน็ตไม่ดี เราก็ต้องพึ่ง usb ของพี่เค้านี้ละคะ (www.nan2carrent.com) เซ็นสัญญาเรียบร้อย ตะลุยปัวกันเลยจ้า
เราขับขึ้นไปเที่ยวในปัว เริ่มต้นที่วัดศรีมงคล หรืออีกชื่อว่าวัดก๋ง วัดนี้สวยมาก มีจุดให้ถ่ายรูปเยอะ ด้านหลังวัดเป็นทุ่งข้าวกำลังเหลืองอร่ามเลยค่ะ หน้าวัดจะมีร่มกระดาษสา (ร่มแบบภาคเหนือ อันนี้เราไม่มั่นใจว่าเรียกถูกไหม) วางอยู่ ถ้าร้อน นักท่องเที่ยวสามารถถือเข้าไปได้ แถมยังเป็นพร็อพถ่ายรูปได้อีกต่างหาก ใช้เสร็จแล้วก็เอามาวางคืนไว้ที่เดิมค่ะ นักท่องเที่ยวคนอื่นจะได้ใช้ต่อ
สถานที่ที่ 2 วัดภูเก็ต เราแวะไหว้พระ มีกิจกรรมให้หล่อเทียนพรรษา มีไอศกรีมมะพร้าวขายอยู่หน้าวัด ด้านหลังวัดมีทุ่งข้าวเหลืองอร่าม สามารถเดินลงไปข้างล่างได้ หรือจะขับรถไปก็ได้ มันเป็นสถานที่ที่ขึ้นชื่ออีกแห่ง ฮักนาไทลื้อ นั่นเอง เราแวะให้อาหารปลาด้านหลังวัด มันจะเป็นการเทอาหารปลาลงไปตามท่อ PVC จะเห็นทันทีที่บ่อปลาเลยว่า น้องปลามาดุ๊บๆกินอาหารกัน
สำหรับมื้อเที่ยงวันนี้ เราแวะที่ กาแฟบ้านไทลื้อ และ ลำดวนผ้าทอ เรากินข้าวซอยไก่ ส่วนแฟนกินข้าวมันไก่ เรื่องรสชาติของข้าวซอย เราให้ 7/10 (รสชาติถือว่ากินได้ แต่เราเคยเจอที่อร่อยกว่านี้) แฟนสั่งกาแฟเอสเปรสโซ่เย็น ส่วนเราสั่งน้ำแดงมะนาวโซดา ที่นี่ไม่มีเมนูปั่น รสชาติเครื่องดื่ม เราให้ 6/10 เอสเปรสโซ่ของแฟนเข้มมาก แต่ก็ทำให้คนขับตาสว่างกันเลยทีเดียว ส่วนน้ำแดงโซดาก็เปรี้ยวปี๊ด แล้วเราก็เดินไป shopping เสื้อผ้า ผ้าถุงที่ลำดวนผ้าทอ พร้อมกับเดินถ่ายรูปบรรยากาศรอบๆค่ะ








สถานที่ต่อไป ตามรีวิวเค้าเรียกว่า วังศิลาแลง หรือ แกรนด์แคนยอนเมืองปัว เราขับรถตาม GPS ไป สรุปเราเจอฝายชะลอน้ำ ไม่เห็นเจอศิลาแลงแบบในรีวิวเลย แถมขับไปเจอพี่รถตู้ เค้าบอกต้องเข้าอีกทางนึง เราก็โอเคๆ ตามพี่รถตู้ไป สรุปหลงอีกจ้า 5555 เลยสรุปกับแฟนว่า แวะถ่ายรูปข้างทางแล้วไปที่อื่นกันต่อเถอะ ถ้าใครเคยไปวังศิลาแลงมาแชร์ประสบการณ์หรือรูปกันได้นะคะ อยากเห็น





เข้าที่พักกันแล้วจ้า มุ่งหน้าสู่บ่อเกลือ 
ที่พักคืนแรก สวนริมมาง บ่อเกลือ เป็นกระโจมนอนได้ 2 คน คืนละ 800 บาท ห้องน้ำรวม ตอนแรกเราเป็นกังวลเรื่องห้องน้ำมาก เพราะเราค่อนข้างซีเรียสเรื่องความสะอาดของห้องน้ำ แต่พอมาเจอจริงๆสะอาดมาก ถึงมันจะเป็นห้องน้ำรวม แต่ที่พักเค้าทำความสะอาดดี ตัดความกังวลใจเรื่องนี้ไปได้เลย นี้คงเป็นที่พัก ที่เราประทับใจที่สุด ตื่นมาก็เห็นริมน้ำมางกำลังไหลตลอดเวลา ตอนนอนก็ได้ยินเสียงน้ำไหล จนแยกไม่ออกว่าเสียงนตกหรือเสียงน้ำ มันฟินจนบรรยายไม่ถูก เราให้ที่พักนี้ 10/10 ไปเลยค่ะ








อาหารเย็นสำหรับวันนี้ พนักงานแนะนำอยู่ 2 ร้าน คือ บ่อเกลือวิวรีสอร์ท กับร้านหัวสะพาน ตอนแรกเราไปที่ร้านหัวสะพานก่อน แต่ว่าอาหารเหลือเมนูน้อย ก็เลยไปกินที่บ่อเกลือวิว ไม่มีรูปค่ะ เนื่องจากความหิวโหยของเจ้าของกระทู้ แต่ขอแนะนำว่าถ้าคนอยากประหยับงบ อาจจะต้องเลือกที่ร้านหัวสะพานค่ะ และเมนูขึ้นชื่อของที่นี้ คือ ไก่ทอดมะแขว่น มาถึงนี้เราต้องลองค่ะ
เราตื่นมาดูหมอกลงในตอนเช้า แค่เปิดกระโจม เราก็เห็นหมอกแล้ว ฟินมาก เรากินข้าวเช้าที่สวนริมมาง แล้วก็อาบน้ำแต่งตัว ไปปั่นจักรยาน (รีสอร์ทมีให้ยืม) ปั่นไปเที่ยวใกล้ๆรีสอร์ท สูดบรรยากาศบริสุทธิ์








เราเช็คเอาท์ประมาณ 10 โมงกว่าๆ แล้วเดินทางย้อนกลับไปทางปัว เพราะเราอยากจะไปอุทยานแห่งชาติดอยภูคา และจุดชมวิว 1715 ด้วย เริ่มต้นวันนี้ เราแวะไปที่บ่อเกลือก่อนค่ะ ช่วงเข้าพรรษาจะไม่มีการทำเกลือ แต่ว่าเราสามารถเข้าไปถ่ายรูปและซื้อผลิตภัณฑ์ของชาวบ้านได้ค่ะ






ขับรถไปเรื่อยๆ ก็จะเจอจุดชมวิว 1715 เรามามันก็สายแล้ว เลยไม่เห็นหมอก แต่บรรยากาศตรงนี้สวยใช้ได้เลยค่ะ



ขับต่อไปเข้าสู่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา เสียค่าเข้าคนละ 40 บาท รถยนต์ 30 บาท เราเข้าไปหวังจะไปถ่ายรูปกับป้ายอุทยานแห่งชาติ แต่แล้วก็หาไม่เจอ ผลสุดท้ายเจออยู่หน้าอุทยาน ก่อนจะเลี้ยวเข้า ถ้ามาจากทางปัวจะเจอเลย แอบเสียตังฟรีนิดหน่อย


ติดตามต่อฉบับ 2 ตามไปโลดค่า >>> https://pantip.com/topic/38873706
[CR] น่าน นานนานนะ ฉบับละเอียดยิบ (・´з`・)
สถานที่ต่อไป ตามรีวิวเค้าเรียกว่า วังศิลาแลง หรือ แกรนด์แคนยอนเมืองปัว เราขับรถตาม GPS ไป สรุปเราเจอฝายชะลอน้ำ ไม่เห็นเจอศิลาแลงแบบในรีวิวเลย แถมขับไปเจอพี่รถตู้ เค้าบอกต้องเข้าอีกทางนึง เราก็โอเคๆ ตามพี่รถตู้ไป สรุปหลงอีกจ้า 5555 เลยสรุปกับแฟนว่า แวะถ่ายรูปข้างทางแล้วไปที่อื่นกันต่อเถอะ ถ้าใครเคยไปวังศิลาแลงมาแชร์ประสบการณ์หรือรูปกันได้นะคะ อยากเห็น
เข้าที่พักกันแล้วจ้า มุ่งหน้าสู่บ่อเกลือ
ที่พักคืนแรก สวนริมมาง บ่อเกลือ เป็นกระโจมนอนได้ 2 คน คืนละ 800 บาท ห้องน้ำรวม ตอนแรกเราเป็นกังวลเรื่องห้องน้ำมาก เพราะเราค่อนข้างซีเรียสเรื่องความสะอาดของห้องน้ำ แต่พอมาเจอจริงๆสะอาดมาก ถึงมันจะเป็นห้องน้ำรวม แต่ที่พักเค้าทำความสะอาดดี ตัดความกังวลใจเรื่องนี้ไปได้เลย นี้คงเป็นที่พัก ที่เราประทับใจที่สุด ตื่นมาก็เห็นริมน้ำมางกำลังไหลตลอดเวลา ตอนนอนก็ได้ยินเสียงน้ำไหล จนแยกไม่ออกว่าเสียงนตกหรือเสียงน้ำ มันฟินจนบรรยายไม่ถูก เราให้ที่พักนี้ 10/10 ไปเลยค่ะ
อาหารเย็นสำหรับวันนี้ พนักงานแนะนำอยู่ 2 ร้าน คือ บ่อเกลือวิวรีสอร์ท กับร้านหัวสะพาน ตอนแรกเราไปที่ร้านหัวสะพานก่อน แต่ว่าอาหารเหลือเมนูน้อย ก็เลยไปกินที่บ่อเกลือวิว ไม่มีรูปค่ะ เนื่องจากความหิวโหยของเจ้าของกระทู้ แต่ขอแนะนำว่าถ้าคนอยากประหยับงบ อาจจะต้องเลือกที่ร้านหัวสะพานค่ะ และเมนูขึ้นชื่อของที่นี้ คือ ไก่ทอดมะแขว่น มาถึงนี้เราต้องลองค่ะ
เราตื่นมาดูหมอกลงในตอนเช้า แค่เปิดกระโจม เราก็เห็นหมอกแล้ว ฟินมาก เรากินข้าวเช้าที่สวนริมมาง แล้วก็อาบน้ำแต่งตัว ไปปั่นจักรยาน (รีสอร์ทมีให้ยืม) ปั่นไปเที่ยวใกล้ๆรีสอร์ท สูดบรรยากาศบริสุทธิ์
เราเช็คเอาท์ประมาณ 10 โมงกว่าๆ แล้วเดินทางย้อนกลับไปทางปัว เพราะเราอยากจะไปอุทยานแห่งชาติดอยภูคา และจุดชมวิว 1715 ด้วย เริ่มต้นวันนี้ เราแวะไปที่บ่อเกลือก่อนค่ะ ช่วงเข้าพรรษาจะไม่มีการทำเกลือ แต่ว่าเราสามารถเข้าไปถ่ายรูปและซื้อผลิตภัณฑ์ของชาวบ้านได้ค่ะ
ขับรถไปเรื่อยๆ ก็จะเจอจุดชมวิว 1715 เรามามันก็สายแล้ว เลยไม่เห็นหมอก แต่บรรยากาศตรงนี้สวยใช้ได้เลยค่ะ
ขับต่อไปเข้าสู่อุทยานแห่งชาติดอยภูคา เสียค่าเข้าคนละ 40 บาท รถยนต์ 30 บาท เราเข้าไปหวังจะไปถ่ายรูปกับป้ายอุทยานแห่งชาติ แต่แล้วก็หาไม่เจอ ผลสุดท้ายเจออยู่หน้าอุทยาน ก่อนจะเลี้ยวเข้า ถ้ามาจากทางปัวจะเจอเลย แอบเสียตังฟรีนิดหน่อย
ติดตามต่อฉบับ 2 ตามไปโลดค่า >>> https://pantip.com/topic/38873706
CR - Consumer Review : กระทู้รีวิวนี้เป็นกระทู้ CR โดยที่เจ้าของกระทู้