เนื่องจากต้องลดน้ำหนักสิ่งของที่จะเอาใส่เป้ให้เหลือน้อยที่สุดก็เลยตัดสินใจไม่เอากล้องไปครับ ขนาดลดแล้วยังตั้งสิบกิโลกว่าๆ (เสื้อผ้า 2 ชุด, ถุงนอน, แผ่นรองนอน, เต้นท์และกราวด์ชีท, หม้อและเตาแก๊สสนาม, ของกิน, ขวดน้ำ 1 ลิตร, เสื้อกันฝนและผ้าคลุมเป้กันฝน, มีด, ไฟฉาย)
กว่าจะไปถึงอุทยานแห่งชาติก็ปาเข้าไปตั้ง 9 โมงแล้วครับ หลังจากลงทะเบียนเรียบร้อยก็ได้รับข่าวร้าย "วันนี้ลูกหาบไม่พอ ใครพอจะแบกของขึ้นไปเองได้ก็ไม่ต้องรอครับ ถ้ารอลูกหาบละก็อีกนาน"
ประสบการณ์ที่ 1 : อย่าเอาของไปเยอะแล้วหวังจะจ้างลูกหาบ เพราะลูกหาบไม่ใช่พนักงานประจำ บางทีก็ว่างบางทีก็ไม่ว่าง บางวันมีเยอะ บางวันมีน้อย บางคนขี้เกียจรอบเดียวก็เลิกแล้ว เอาอะไรแน่ไม่ได้
เมื่อไม่มีลูกหาบผมก็เลยตัดสินใจเดินแบกเป้พร้อมกับสัมภาระขึ้นไปเอง ระหว่างทางจะมีวัยรุ่นหลายคนที่บ้าพลัง กะว่าจะทำสถิติใหม่ในการขึ้นเขาหลวง แต่สุดท้ายก็ไปจอดอยู่กลางทาง ไม่หมดแรงก็ตะคริวกิน
ประสบการณ์ที่ 2 : เวลาเดินขึ้นเขาเราไม่ต้องไปแข่งกับใคร ใครเร็วกว่าก็ปล่อยให้เขาแซงไป ไปช้าๆ หยุดพักเป็นช่วงๆ เวลาเดินก็ไม่ควรก้มหน้าก้มตาเดินอย่างเดียวครับ ดูเส้นทางด้วย ข้อแนะนำสำหรับคนใหม่ก็คือ เลือกไลน์ที่ทำให้เราก้าวเท้าแบบสั้นๆ ไม่ชันมาก
ระหว่างทางมีจุดให้เติมน้ำเป็นระยะๆ อ้อ..น้ำดื่มได้นะครับ บางคนกลัวไม่กล้าดื่ม ในป่าอากาศจะค่อนข้างร้อนชื้นทำให้เราเสียเหงื่อได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นน้ำต้องมีติดอยู่ในกระติกหรือขวดน้ำคลอดเวลา จุดไหนมีให้เติมก็ต้องเติม อย่าไปหวังรอจุดพักข้างหน้านะครับ
ประสบการณ์ที่ 3 : ถ้ามีพวกเกลือแร่ซองเอาติดไปด้วยก็จะดีมากเลยครับ ถ้าเป็นไปได้ให้เลือกอย่างที่ไม่ค่อยหวาน เพราะความหวานจะทำให้เรายิ่งกระหายน้ำบ่อยขึ้น อีกอย่างเกลือแร่ยังช่วยป้องกันไม่ให้เราเป็นตะคริวได้ด้วย
เวลาเดินไปจะมีคนถามตลอดว่าใกล้ถึงหรือยัง ผมเปรียบเทียบง่ายๆแบบนี้ครับ (อาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริง) เวลาเดินขึ้นถ้ายังไม่ถึงจุดชมวิวแสดงว่ายังไม่ถึงครึ่งทาง เพราะฉะนั้นก็จงก้มหน้าเดินต่อไปครับ พอถึงจุดชมวิวเราก็สามารถนั่งพักหาอะไรรองท้องได้เลย
ประสบการณ์ที่ 4 : บางคนบอกว่าข้าวเหนียวไก่ย่างดีที่สุดในการเติมพลังงาน แต่จริงๆแล้วควรเป็นอะไรที่ย่อยง่ายและเร็ว และเป็นอาหารที่เน้นพลังงาน เวลาแบบนี้อย่าไปสนใจเรื่องแคลลอรี่ครับ กินๆเข้าไปเหอะ

จากจุดชมวิวขึ้นไปเส้นทางค่อนข้างโหด เพราะเป็นทางแคบและลื่น มีทางราบสั้นๆนิดหน่อย ผมเห็นหลายคนเริ่มหมดแรง บางคนตะคริวกินเดินต่อไปไม่ไหว จุดนี้เป็นจุดวัดใจเลยละครับ ใครมากับเพื่อนหรือแฟนจะรู้เลยครับว่าเพื่อนหรือแฟนจะคบกันได้มั้ย บางคนทิ้งเพื่อนเดินตัวปลิวแล้วบอกไปเจอกันข้างบน แบบนี้ไม่น่าคบ..
ประสบการณ์ที่ 5 : พกสเปรย์หรือยาคลายกล้ามเนื้อไปด้วยก็จะดีมากเลยครับ เวลาฉุกเฉินมันช่วยเราได้มาก หรือเอาไว้ช่วยคนอื่นๆที่เป็นเพื่อนร่วมทางก็ได้ครับ มิตรภาพท่ามกลางความยากลำบากนี่มันสุดยอดจริงๆ
พอขึ้นไปถึงจุด "ตะเคียนคู่" ก็ใกล้ถึงจุดหมายแล้วครับ ตีว่า 3/4 ของเส้นทาง ช่วงนี้ถ้ามีเวลาพักได้ให้หยุดพักเลยครับ อย่าฝืนเดินต่อไป เพราะข้างหน้ายังมีเส้นทางที่โหดกว่ารออยู่ นั่นคือช่วงสุดท้ายก่อนขึ้นถึงลานกางเต้นท์ ซึ่งจะเป็นทางชันเกือบ 45 องศา พอขึ้นไปถึงลานกางเต้นท์ได้ก็หมดสภาพพอดีครับ

ข้างบนตอนกลางคืนอากาศค่อนข้างเย็นและลมแรง อย่าลืมเสื้อกันหนาวนะครับ เดี๋ยวจะป่วยลงมาไม่ไหว ถ้ารู้สึกไม่ค่อยดีให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่อุทยานด้านบนทันที ถ้าฉุกเฉินจริงๆทางจนท.จะมีฮ.ขึ้นมารับข้างบน แต่ค่อนข้างใช้เวลาหน่อยเนื่องจากต้องบินมาจากพิษณุโลก แต่ถ้าสภาพอากาศปิดก็ต้องรอนานหน่อย ข้างบนไม่มีไฟฟ้าครับ มีแต่เครื่องปั่นไฟแล้วก็ปิดเป็นเวลาด้วย น้ำอุ่นก็ไม่มี เพราะฉะนั้นหลายๆคนพอขึ้นมาถึงก็จะรีบกางเต้นท์และอาบน้ำทันที

หลังจากนอนสลบทั้งคืน ตื่นมาก็พบกับยามเช้าที่สดใส อ้อ..เมื่อคืนดาวสวยมาก เสียดายครับไม่ได้เอากล้องมาด้วย แนะนำถ้าเป็นไปได้ให้พักซัก 2 คืนแล้วค่อยลงครับ ขาลงก็โหดไม่แพ้กัน เนื่องจากทางค่อนข้างชันแล้วก็ลื่น ทำให้เราต้องใช้กำลังที่น่องและต้นขาค่อนข้างเยอะ ประกอบกับความเมื่อยล้าตอนขาขึ้น กลับถึงบ้านเดินเป็นเป็ดอยู่หลายวันเลยครับ
ประสบการณ์แบกเป้ขึ้นเขาหลวงสุโขทัย (ไม่มีรูปสวยๆให้ดูนะครับ)
กว่าจะไปถึงอุทยานแห่งชาติก็ปาเข้าไปตั้ง 9 โมงแล้วครับ หลังจากลงทะเบียนเรียบร้อยก็ได้รับข่าวร้าย "วันนี้ลูกหาบไม่พอ ใครพอจะแบกของขึ้นไปเองได้ก็ไม่ต้องรอครับ ถ้ารอลูกหาบละก็อีกนาน"
ประสบการณ์ที่ 1 : อย่าเอาของไปเยอะแล้วหวังจะจ้างลูกหาบ เพราะลูกหาบไม่ใช่พนักงานประจำ บางทีก็ว่างบางทีก็ไม่ว่าง บางวันมีเยอะ บางวันมีน้อย บางคนขี้เกียจรอบเดียวก็เลิกแล้ว เอาอะไรแน่ไม่ได้
เมื่อไม่มีลูกหาบผมก็เลยตัดสินใจเดินแบกเป้พร้อมกับสัมภาระขึ้นไปเอง ระหว่างทางจะมีวัยรุ่นหลายคนที่บ้าพลัง กะว่าจะทำสถิติใหม่ในการขึ้นเขาหลวง แต่สุดท้ายก็ไปจอดอยู่กลางทาง ไม่หมดแรงก็ตะคริวกิน
ประสบการณ์ที่ 2 : เวลาเดินขึ้นเขาเราไม่ต้องไปแข่งกับใคร ใครเร็วกว่าก็ปล่อยให้เขาแซงไป ไปช้าๆ หยุดพักเป็นช่วงๆ เวลาเดินก็ไม่ควรก้มหน้าก้มตาเดินอย่างเดียวครับ ดูเส้นทางด้วย ข้อแนะนำสำหรับคนใหม่ก็คือ เลือกไลน์ที่ทำให้เราก้าวเท้าแบบสั้นๆ ไม่ชันมาก
ระหว่างทางมีจุดให้เติมน้ำเป็นระยะๆ อ้อ..น้ำดื่มได้นะครับ บางคนกลัวไม่กล้าดื่ม ในป่าอากาศจะค่อนข้างร้อนชื้นทำให้เราเสียเหงื่อได้ง่ายๆ เพราะฉะนั้นน้ำต้องมีติดอยู่ในกระติกหรือขวดน้ำคลอดเวลา จุดไหนมีให้เติมก็ต้องเติม อย่าไปหวังรอจุดพักข้างหน้านะครับ
ประสบการณ์ที่ 3 : ถ้ามีพวกเกลือแร่ซองเอาติดไปด้วยก็จะดีมากเลยครับ ถ้าเป็นไปได้ให้เลือกอย่างที่ไม่ค่อยหวาน เพราะความหวานจะทำให้เรายิ่งกระหายน้ำบ่อยขึ้น อีกอย่างเกลือแร่ยังช่วยป้องกันไม่ให้เราเป็นตะคริวได้ด้วย
เวลาเดินไปจะมีคนถามตลอดว่าใกล้ถึงหรือยัง ผมเปรียบเทียบง่ายๆแบบนี้ครับ (อาจจะไม่ตรงกับความเป็นจริง) เวลาเดินขึ้นถ้ายังไม่ถึงจุดชมวิวแสดงว่ายังไม่ถึงครึ่งทาง เพราะฉะนั้นก็จงก้มหน้าเดินต่อไปครับ พอถึงจุดชมวิวเราก็สามารถนั่งพักหาอะไรรองท้องได้เลย
ประสบการณ์ที่ 4 : บางคนบอกว่าข้าวเหนียวไก่ย่างดีที่สุดในการเติมพลังงาน แต่จริงๆแล้วควรเป็นอะไรที่ย่อยง่ายและเร็ว และเป็นอาหารที่เน้นพลังงาน เวลาแบบนี้อย่าไปสนใจเรื่องแคลลอรี่ครับ กินๆเข้าไปเหอะ
จากจุดชมวิวขึ้นไปเส้นทางค่อนข้างโหด เพราะเป็นทางแคบและลื่น มีทางราบสั้นๆนิดหน่อย ผมเห็นหลายคนเริ่มหมดแรง บางคนตะคริวกินเดินต่อไปไม่ไหว จุดนี้เป็นจุดวัดใจเลยละครับ ใครมากับเพื่อนหรือแฟนจะรู้เลยครับว่าเพื่อนหรือแฟนจะคบกันได้มั้ย บางคนทิ้งเพื่อนเดินตัวปลิวแล้วบอกไปเจอกันข้างบน แบบนี้ไม่น่าคบ..
ประสบการณ์ที่ 5 : พกสเปรย์หรือยาคลายกล้ามเนื้อไปด้วยก็จะดีมากเลยครับ เวลาฉุกเฉินมันช่วยเราได้มาก หรือเอาไว้ช่วยคนอื่นๆที่เป็นเพื่อนร่วมทางก็ได้ครับ มิตรภาพท่ามกลางความยากลำบากนี่มันสุดยอดจริงๆ
พอขึ้นไปถึงจุด "ตะเคียนคู่" ก็ใกล้ถึงจุดหมายแล้วครับ ตีว่า 3/4 ของเส้นทาง ช่วงนี้ถ้ามีเวลาพักได้ให้หยุดพักเลยครับ อย่าฝืนเดินต่อไป เพราะข้างหน้ายังมีเส้นทางที่โหดกว่ารออยู่ นั่นคือช่วงสุดท้ายก่อนขึ้นถึงลานกางเต้นท์ ซึ่งจะเป็นทางชันเกือบ 45 องศา พอขึ้นไปถึงลานกางเต้นท์ได้ก็หมดสภาพพอดีครับ
ข้างบนตอนกลางคืนอากาศค่อนข้างเย็นและลมแรง อย่าลืมเสื้อกันหนาวนะครับ เดี๋ยวจะป่วยลงมาไม่ไหว ถ้ารู้สึกไม่ค่อยดีให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่อุทยานด้านบนทันที ถ้าฉุกเฉินจริงๆทางจนท.จะมีฮ.ขึ้นมารับข้างบน แต่ค่อนข้างใช้เวลาหน่อยเนื่องจากต้องบินมาจากพิษณุโลก แต่ถ้าสภาพอากาศปิดก็ต้องรอนานหน่อย ข้างบนไม่มีไฟฟ้าครับ มีแต่เครื่องปั่นไฟแล้วก็ปิดเป็นเวลาด้วย น้ำอุ่นก็ไม่มี เพราะฉะนั้นหลายๆคนพอขึ้นมาถึงก็จะรีบกางเต้นท์และอาบน้ำทันที
หลังจากนอนสลบทั้งคืน ตื่นมาก็พบกับยามเช้าที่สดใส อ้อ..เมื่อคืนดาวสวยมาก เสียดายครับไม่ได้เอากล้องมาด้วย แนะนำถ้าเป็นไปได้ให้พักซัก 2 คืนแล้วค่อยลงครับ ขาลงก็โหดไม่แพ้กัน เนื่องจากทางค่อนข้างชันแล้วก็ลื่น ทำให้เราต้องใช้กำลังที่น่องและต้นขาค่อนข้างเยอะ ประกอบกับความเมื่อยล้าตอนขาขึ้น กลับถึงบ้านเดินเป็นเป็ดอยู่หลายวันเลยครับ