จากใจเป้ากระสุนปืนอัดลม วอนทุกคนอย่าเป็นผู้กระทำซ้ำซ้อนอีกเลย

ผมอายุ 33 แล้วครับ เติบโตมาพร้อมการเป็นผู้ถูกรังแกตั้งแต่เด็ก แต่ก็เติบโตมาพร้อมบาดแผลเล็กๆ ที่ทำให้ผมร้องเพลงไจแอนท์ขึ้นมาทุกที (เจ็บแปลบขึ้นมาทันที)

ผมไม่อยากจมอยู่กับปมที่เจ็บปวด วิธีการที่ดีที่สุดคือการทำความเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น ทำความเข้าใจเหตุผล แรงกระตุ้นของผู้กระทำ มันทำให้ผมเยียวยาปมทางจิตของผม ไม่ได้ทำให้หายแค้นหรอกนะครับ เห็นเรื่องนี้ทีไรผมก็เหมือน triggered โกรธ โมโห ว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกแล้วเหรอ ทำไมไม่จบไม่สิ้น แต่มีสักกี่คนที่จะสนใจว่าทำไม และอะไร ที่ทำให้ปัญหานี้ไม่เคยหมดไปสักที

ทำไมผมถึงออกมาร้องขอ เพราะผมเข้าใจการถูกรังแกทั้งทางกายภาพและไม่ใช่กายภาพดีครับ และพวกคุณกำลังอยู่ในสถานะผู้กระทำแบบเดียวกับคนที่พวกคุณกำลังเกลียด ผลที่เกิดขึ้นมันร้ายแรงมากกว่าที่จะมาสนองเพียงเพราะแค่พวกคุณสะใจ

เราต้องการการบำบัดรักษา บำบัดทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ เราเห็นใจน้องที่โดนรังแกแล้ว น้องจะได้เข้ากระบวนการเยียวยา

แล้วผู้กระทำล่ะ ผู้กระทำผิดเองก็ควรได้รับโอกาสที่จะแก้ไข และพวกเขากระทำไปเพราะหลงผิด เพราะไม่เข้าใจ และมันมีพื้นฐานที่ถูกกระตุ้นโดยสัญชาตญาณพื้นฐานของมนุษย์

และมนุษย์ที่ยังไม่ถูกขัดเกลาจะถูกเร้าโดยสันดานดิบโดยไม่รู้ตัว

ผมเคยเป็นที่ยอมรับ เป็นคนโดดเด่นมาก่อน และเมื่อ ป.3 ผมต้องย้ายโรงเรียนไปอยู่ในเมือง สถานะผมจึงเปลี่ยนไป

มนุษย์เราเป็นสัตว์สังคม และการอยู่ในสังคมต้องมีสถานะอย่างใดอย่างหนึ่ง ในสังคมที่มีการจับกลุ่มแล้ว คุณมีทางเลือกไม่มากนัก คุณเป็นเด็ก คุณไม่มีทางเข้าใจหรอกว่าการย้ายที่แบบนี้ มันทำให้คุณไร้สถานะ และคุณจะตกเป็นเป้าของการโจมตี

เพื่อนๆ จัดกลุ่มมีกลุ่มกันตั้งแต่ ป.1 แล้ว ผมไม่สามารถเข้ากลุ่มไหนได้เพราะยังไม่มีอะไรพิสูจน์ว่ากลุ่มไหนจะยอมรับ เลยถูกเขี่ยๆ ไปทางนั้นทีทางนี้ที ผมจึงไม่มีเพื่อนในห้องที่สนิทได้เลย

ทำไมไม่หาเพื่อนใหม่
ถ้าใครเกิดมาเคยแค่หาเพื่อนใหม่ตอน ม.1 ม.4 ก็คงเข้าใจแค่ครึ่งเดียว ถ้าคุณย้ายโรงเรียนกลางคันน่าจะเข้าใจมากขึ้นว่าการสร้างสัมพันธ์ใหม่ไม่ใช่ทักษะของทุกคน

มันเกี่ยวอะไรกัน
คนที่ไม่เข้าพวก คุณเคยรู้สึกมั้ยล่ะว่าบางคนที่ไม่เหมือนคุณ มันไม่น่าสนิทสนมด้วย และคุณก็เลือกที่จะเพิกเฉย และบางคนก็กลัวมาก รู้สึกไม่ปลอดภัย อันเป็นสัญชาตญาณปกติของสัตว์ทุกชนิดที่จะไม่วางใจกับสิ่งที่ตัวเองไม่รู้จัก


คนที่เติบโตมาโดยตัวเองอยู่ในระดับกลางๆ คือ ไม่หลังห้อง ไม่โดดเด่น จะนึกภาพไม่ออก เพราะตัวเองสามารถเกาะกลุ่มเป็นสังคมได้แล้ว การมีสถานะสังกัดมันช่วยปกป้องคุณได้จากการคุกคามของกลุ่มอื่น

เด็กที่ถูกบุลลี่ไม่ได้เริ่มจากการถูกทำร้ายร่างกาย และมันไม่ได้มีแค่การทำร้ายทางกายภาพ ซึ่งมันโต้ตอบได้ และมันไม่ได้จบแค่เพราะคุณสู้ ยิ่งสู้คุณยิ่งเจ็บ และทางนั่นไม่ได้สนด้วยว่าจะตัวต่อตัวเพราะมันลงมือกระทำเป็นกลุ่ม

เด็กที่มีโอกาสถูกรังแกก่อนใคร คือ คุณต้องแตกต่าง ยังไม่ถูกจัดเข้ากลุ่มไหนๆ ดังนั้นผมซึ่งย้ายโรงเรียนตอนชั้น ป.3 จึงยังโดดเดี่ยว

ความแตกต่างมีหลายแบบ ทั้งแตกต่างในทางบวก (บุคลิกโดดเด่น มีความสามารถ) หรือในทางลบ (พิการ ไม่น่ารัก ดูลึกลับ) ซึ่งถ้าคุณยังไม่มีกลุ่มเพื่อน คุณจะถูกคุกคามก่อนเสมอ

สาเหตุกว้างๆ เลยคือเด็กยังถูกกระตุ้นด้วยสัญชาตญาณดิบอยู่ การแตกต่างจะถูกนับว่าไม่ปลอดภัย เพราะมนุษย์จะเปิดรับสิ่งที่ตัวเองคุ้นเคย (คนที่มีลักษณะคล้ายกัน) ก่อน เมื่อพบเห็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยก็จะต่อต้าน

ระดับความรุนแรงในการต่อต้านก็มีมากน้อย กลุ่มที่ไม่ aggressive ก็จะแค่ไม่รับ ผลักออก กลุ่มที่ตรงข้าม ก็เลือกที่จะเข้าไปสกัดยับยั้ง

พอเราเข้าใจว่าเด็กพวกที่ทำแบบนี้กับเรามันทำไปโดยสัญชาตญาณก็รู้สึกว่าโกรธมันไม่ลง แต่ก็แค้นคุณต้องแบกรับความรู้สึกว่าต้องเป็นฝ่ายทำใจเองอะ ในใจก็อยากเข้าไปตบหัวยิ้ม

การที่ผมโตมาด้วยการถูกรังแก ผมเลยพยายามทำความเข้าใจว่าทำไมและเพราะอะไร ผมสนใจในมุมมองทางจิตวิทยามาก อยากเข้าใจศัตรู และเมื่อคุณเข้าใจเค้า มันจะช่วยให้คุณรู้สึกสงบ ไม่พุ่งพล่าน และมันดีต่อตัวเราเองที่จะไม่เจ็บปวดหรือร้อนรน ความทรงจำมันไม่หายไป มีแค้นบ้าง โมโหบ้างเวลาเจอข่าวแบบนี้ แต่เราจะสงบได้

การหลุดสถานะคือต้องเริ่มสร้างพลัง บางคนจะต้องสร้างกลุ่ม (กลุ่มขี้แพ้ก็ยังดีกว่าไม่มี) ต้องหาทางสร้างสถานะให้ตัวเองให้ได้

หลายคนที่ออกจากสภาวะนั้นไม่ได้เพราะไม่รู้จริงๆ ความ low self esteem ก็ส่วนนึง

ครอบครัวผมไม่มีใครรู้จนกระทั่งอายุ 30 และผมก็แค่เปรบๆ ว่าเคยโดน

ครอบครัวสำคัญ
ผมโตมาโดยไม่รู้ว่านั่นคือการรังแก นั่นคือสิ่งที่ผิด ทุกคนในห้องบุลลี่ผม การเพิกเฉย การลงมือ การกีดกัน แต่เมื่อกลับบ้าน พ่อแม่มีปัญหาชีวิตที่ต้องทะเลาะกันบ่อยครั้ง ผมรับรู้ปัญหาของพ่อแม่ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ ครอบครัว ญาติมิตร ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว่าเป็น loser ผมสามารถพูด คิด ทำอะไรที่ผมภูมิใจ เค้าส่งเสริมผมโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่ามันทำให้ผมนึกว่าเรายังมีตัวตนอยู่ในที่อีกที่นึง (sense of belonging) เป็นความโชคดี

ทำไมผมถึงต้องปกป้อง
เด็กเหล่านี้หลงผิด เพราะไม่เคยมีใครบอกว่าที่เค้าทำมันไม่สมควร เหมือนที่ไม่มีใครสักคนบอกคุณว่าที่คุณกำลังทำอยู่มันไม่สมควรเพราะอะไร

คุณก็กำลังจะหลงผิด และผลักดันให้เค้าต่อต้านสังคม เป็นกลไกป้องกันตัวเองของมนุษย์ ทุกคนเป็น ไม่มีใครอยากรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตหรอก

ผมค่อยๆ ทำความเข้าใจพวกเค้ามาตลอดชีวิต ปมมันติดอยู่แบบแก้แทบไม่ได้

หนังเรื่องหนึ่งมาคลายปมของผม ช่วยให้ผมเจ็บปวดน้อยลงก็คือ a monster call

เหมือนผมเป็นเด็กมาตลอดชีวิต ติดกับปม loser ในวัยเด็กมาเรื่อยๆ จนอสูรตัวนี้มาปลดปล่อย ฉากที่ผมร้องไห้ออกมาคือตอนที่ตัวเอกระเบิดความอัดอั้น กรีดร้องว่า เค้าอยู่ตรงนี้ อย่าทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน มันคือความรู้สึกในใจของผม ผมเข้าใจแล้วว่าทำไม ผมถึงยอมทนเป็นเป้ากระสุนปืนอัดลมอยู่นานเป็นปีๆ

"ใช่ ผมอยู่ตรงนี้ ยอมรับผมที ว่าผมมีตัวตน"

สุดท้ายผมก็เข้าใจทั้งผม ทั้งเค้าแต่มันมีราคาที่ต้องจ่ายอยู่เหมือนกัน เพราะคุณก็จะหันมาโกรธตัวเองพอๆ กับที่โกรธพวกเค้านั่นล่ะ

**a monster call ไม่ได้นำเสนอประเด็นการบุลลี่เป็นหลักนะครับ แค่บังเอิญผมอยู่ในสถานะแบบนั้นมาก่อนเลยสะเทือนใจ จริงๆ เป็นหนังดีมาก พูดถุงประเด็นการก้าวข้ามความเจ็บปวดแวะยอมรับการสูญเสีย เพื่อไม่ใช่ลูกชายจริงจิตใจแตกสลาย อสูรตัวนั้นเลยถูกเรียกมา เพื่อเตรียมพร้อมให้เด็กชายสามารถเติบโตได้ โดยไม่กลายเป็นคนที่มีเพียงร่างกายเปล่ากลวง

ฝากนิดนึงนะครับ พอได้แล้ว กับการบุลลี่ เริ่มต้นที่พวกคุณทุกคน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่