แชร์ปสก.เพื่อนร่วมงานแย่ๆ

เรามาทำงานที่นี่เข้าปี้ที่ 2 แล้ว
ปีแรกดีมาก พี่ที่ทำงานให้การเอ็นดู สอนงานดีสุดๆ
นิสัยส่วนตัวจะรีบเคลียร์งานให้เสร็จ พอว่างก็หาเพลงฟังบ้าง (ใส่หูฟัง) ไม่ก็เปิดหนังจีนฟัง ไม่ได้ดูนะ บ้างก็แปลเพลง แปลซีรีย์จีนในยูทูป พี่หัวหน้ทเขาผ่านมาเห็นก็จะชม ขยันจังเลย หารายได้เสริมเหรอ (ซึ่งเวลาที่เราทำก็จะนอกเหนือเวลางานไม่ก็พักเที่ยง) จะได้แอคทีฟฝึกภาษาไปในตัวด้วย เราจะชอบจดคำศัพท์ใหม่ไว้ในสมุดกระดาษรีไซเคิลที่เราทำมือเอง เนื่องจากงานที่เราทำใช้เอกสารค่อนข้างเยอะ กระดาษที่ยังมีอีกหน้าว่างๆอยู่ก็มาใช้ประโยชน์เสียเลย เพราะถ้าใครเรียนภาษาหากเหลิงตัวไปหน่อย มันคือหายน่ะเลย เพราะคำศัพท์ที่เราไม่เคยดึงออกมาใช้ สมองจะประมวลว่าข้อมูลที่เราเคยเห็นนั้นคือข้อมูลไร้สาระ และจะลืมในที่สุด

เหตุการณ์ที่2 เรารับผิดชอบดูและและประสานงานพนักงานชาวจีน หนึ่งในนั้นก็จะมีผช.จีนด้วยแหละ เราก็คุยงานปกติ ช่วงเช้าลงไปทานข้า่โรงอาหารเขาก็จะถือถ้วยบะหมี่เข้ามานั่งร่วมโต๊ะด้วย แล้วก็คุยเรื่องงานปกติ ปรึกษาหารือปัญหางาน เจอเคสนี้ต้องทำไงดี เป็นต้น

เหตุการณ์ที่ 3 เราเป็นคนเงียบๆ คุยไม่เก่ง ยิ่งเรื่องนินทาเราจะไม่ค่อยอยากฟังหรือพูดถึงใครไม่ดี ถ้าได้ยินใครนินทาเราจะหยิบมือถือแล้วใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงฟัง แถมเรายังขี้อายไม่ค่อยกล้าสบตาใครนานๆ แม่แต่กับรุ่นน้อง หรือเด็กนักเรียน และถ้าเป็นผช.ด้วย ความไม่กล้าสบตาจะทวีคูณขึ้นหลายเท่าตัว

เหตุการณ์ที่ 4 มีอัตราจ้างใหม่ 1คนและเด็กฝึกงานอีก 1 คนเข้ามาใหม่ อยู่มาวันหนึ่งพี่หัวหน้าต้องไปคุมค่ายนักเรียน ตัวเราที่พอมีปสก.บ้าง ก็แบ่งงานกันไป ทว่างานในส่วนของหัวหน้าใครจะทำแทน หันไปแบ่งงานกับน้อง น้องคนแรกบอกมีมีตติ้งรวมญาติ และมีทริปไปเที่ยวกับแฟน น้องคนที่สองบอกหนูกลับตจว. ไอ้เราก็ขี้เกรงใจแถมน้องเขาก็ยังใหม่ เอาวะ เรารับงานไปทำ 80% ส่วนน้องสองคนไปแบ่งกันทำคนละ 10% เราก็เร่งทำงานจนดึกดื่นเพราะบ้านไม่มีคอมพิวเตอร์ มีแต่ต้องเร่งทำที่ทำงานให้เสร็จ สรุปวันนั้นกลับบ้าน 5 ทุ่มกว่าถึงห้องเที่ยงคืนพอดี แบ่งงานกันวันศุกร์เดทไลน์ส่งวันจันทร์ เราก็มาเช็คความถูกต้องงานของเราในวันเสาร์อีกที ปรากฏว่าไอน้องที่ไปมิตติ้งญาติมาเข้างานวันจันทร์งานก็ไม่เสร็จ อะเราก็บอกไม่เป็นไรพี่ช่วย จะได้เสร็จทันเวลา ซึ่งเรื่องเหล่านี้หัวหน้าไม่ทราบ

พอเข้าปีที่2สิ่งที่ได้กลับมาคือ
1.ห้ามฟังเพลง ห้ามใส่หูฟัง ห้ามเล่นเกมส์เวลาว่าง
ห้ามเอางานแปลมาแปลในที่ทำงาน
-งานแปล เป็นงานของแผนกอื่นที่วานให้เราช่วยแปล
และมีงานที่เราแปลในยูทูปจริง แต่เราเลิกทำมานานมากแล้วเพราะงานยุ่งมาก
-เล่นเกมส์ ช่วงว่างไม่มีงาน หลังเคลียร์หน้าที่ของตนเรียบร้อยและเป็นเวลาพักเที่ยง ซึ่งห้องทำงานเราสามารถเอาข้าวขึ้นมากินได้ เราก็เล่นไปกินไป บางทีก็ดูหนัง แต่ถ้าเวลางานเราฟังอย่างเดียว เพราะในห้องเงียบน่าอึดอัด แต่ถ้ามีเสียงเมื่อไหร่คือนินทาแผนกอื่น

2.พี่เตือนน้องไว้ก่อนนะ คนจีนที่น้องคุยบ่อยๆเขามีแฟนแล้ว แล้วเด็กนักเรียนคนนั้นด้วยเขาเป็นเกย์ เราอย่าไปชอบเขาเลยนะ
-นี่งงกับตัวเองมาก เรายังไม่รู้ตัวเลยว่าไปชอบใครตอนไหน พี่เขารู้ได้ไงถึงมีฌานวิเศษก็น่าจะสัมผัสได้ว่า เราไม่มีความรู้สึกเหล่านั้น

3.โดนด่าว่าไม่ค่อยคุย
-เรามักใส่หูฟังเสมอเมื่อคนในห้องเริ่มนินทาชาวบ้าน
-ปีก่อนหน้านี้เราเคารพรัก ไม่เคยพูดนินทาหัวหน้าในทางที่เสียหาย ไม่เคยคิดระแวงสงสัย พี่เขาเป็นไอดอลในการทำงานของเราเลย พี่เขาเข้มแข็ง มีอะไรช่วยเตือน อย่างไปยุ่งกันคนนี้เยอะ อย่าไปเล่าอะไรให้คนนั้นฟังเพราะถ้าเขารู้คนทั้งสำนักงานรู้ อย่าไปสนิทกันพี่คนนั้นมาก เขาไม่เอาการเอางานหรอก เราเองก็เชื่อฟังและไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนเหล่านั้น

มีอยู่วันหนึ่งพี่เขาเดินเข้าห้อง แล้วเริ่มร่ายยาวด่าซัมวันอย่างถึงพริกถึงขิง ที่นี้ซัมวันคนนั้นดันเดินเข้ามาในห้อง พี่แกกลับหันไปปั้นยิ้มกอดคอ กอดเอวหัวเราะใส่กันดูสนิทกันอย่างกับพี่น้องคลานตามกันมา ตอนนั้นเรางงและสตั้นไปหลายวัน ความรู้สึกระแวงต่อพี่คนนี้เริ่มมีมากขึ้น "เราจะไม่เล่าอะไรให้พี่คนนี้ฟังอีก"
ประโยคนี้ดังขึ้นมาในใจ จากเป็นคนไม่ค่อยคุยยิ่งเงียบเป็นป่าช้ามากกว่าแต่ก่อน พี่หัวหน้าเขาก็ทักเฟชมาขอโทษขอโพย บอกว่าถ้าพี่ทำอะไรผิดพี่ขอโทษด้วยนะน้อง พี่เป็นคนเสียงดัง อาจจะดูแรงไปแต่จริงๆพี่ไม่มีอะไรนะพี่เป็นคนตรงๆด้วยซ้ำ เราก็ตอบว่า อ้อไม่มีไรพี่หนูเงียบแบบนี้เป็นปกติคะ
และก็เข้าอีหรอบเดิมคือ บ่นเพื่อนร่วมงานคนอื่นให้เราฟังอีกเป็นประจำ

4.เหน็บแนมลอยๆว่าอยู่ทำงานดึกๆดื่นๆไม่กลับบ้าน
ซึ่งพี่แกก็ไม่รู้ว่าที่ต้องกลับดึก ชั้นทำงานในส่วนของพี่นะ และถ้าวันไหนกลับเร็วก็โดนด่าอีกว่าบ้านแค่นี้กลับก่อนได้ไง
สิ่งที่เรามั่นใจคือ งานแปลเอกสารก็คนในสำนักงานเดียวกันแต่คนละแผนกเขาวานให้ทำ แต่หัวหน้าไม่เห็นเราทำงานนี้นะ ซึ่งเราสงสัยเด็กใหม่มาก เพราะตอนเราแปลงาน ก็มีน้องสองคนนี้ที่อยู่ด้วย แล้วชอบมายืนอยู่หลังเก้าอี้เรา2-3นาที ทำท่าทีว่ากำลังทำอะไร แต่เราว่าเขาแอบส่องเราแน่ๆเพราะจากการกระทำหลายๆอย่างหัวหน้าไม่เห็นไม่อยู่ห้อง แต่ดันทราบทุกการเคลื่อนไหวที่ผิดจากความจริงราวฟ้ากับเหว

จนในที่สุดห้องทำงานบรรยากาศอึมครึม
หัวหน้าไม่คุยด้วย ไม่ช่วนไปทานข้าว ไม่ทักแชทมาเหมือนเก่าถึงจะเป็นเรื่องนินทาชาวบ้านก็เหอะ ไม่ชวนออกไปทำงานนอกสถานที่ ไม่ชวนกลับบ้านอยากจะกลับเขาก็ชวนเด็กใหม่ 2 คนแวบหายไป จะสั่งงานก็จะไม่คุยกับเราตรงๆ สั่งผ่านน้องใหม่แล้วให้มาบอกเราอีกที
มีอยู่วันหนึ่งเราอัดเสียงสอนภาษาให้รุ่นน้อง เพราะมันทำงานโรงแรมที่ภูเก็ตแต่ไม่มีความชำนาญด้านภาษาเลยทักมาให้ช่วยแปลและออกเสียงให้ฟังสัก 7-10ประโยค แต่ที่นี้มีคนเรียกตัวเราไปช่วยงานที่อื่นเสียก่อนเลยรีบวางมือถือ กดโฮม แล้วกดดับหน้าจอมือถือ แล้ววิ่งออกจากห้องไป ความที่สมัยมหาลัย(ประมาณปี2555)เราใช้ซัมซุงฮีโร่ ไม่มีโน้ตบุค อาศัยยืมใช้จากเพื่อนไม่ก็หอสมุดกลางของมหาลัยพอเริ่มทำงานก็พอจะได้ซื้อมือถือแบบสกินทัชกับเขาใช้บ้าง แต่เรื่องเทคโนโลยีเราก็ตามไม่ทัน และเหตุการณ์นี้เป็นจุดแตกหัก เมื่อเรากลับมาถึงบ้านพี่หัวหน้าทักมาด่าว่า "จับผิดคนอื่น มันเสียมารยาท!" เราก็ว่า เรื่องอะไรคะพี่(แอบเนียนถาม) จับผิดอะไร หนูก็เคารพในตัวพี่อยู่ตลอด หนู่แค่พูดไม่เก่งเท่านั้นเอง" หัวหน้าตอบมาว่า "เหรอ!!"
และถัดไปคือความจริง เป็นสิ่งที่เราได้ฟังคลิปเสียงในมือถือเรา เราคาดว่าแค่กดปิดหน้าจอระบบมันก็จะปิดไปดวย ไม่คะ การอัดเสียงเป็นข้อยกเว้น เป็นความเซ่อของบ้านนอกที่ดันได้รับรู้ความจริงไปเสียนี่

ขณะที่ใส่หูฟังและเร่งเสียงสุดร่างกายร้อนผ่าวเหมือนอยุ่กลางกองไฟ มือกำถือโทรศัพท์แน่นอยากจะบีบให้ละเอียดเป็นผงคามือ เราอยู่เงียบๆทำทำหน้าที่ของตน ไม่ว่าร้ายไม่คิดร้ายกับใคร นี่คือผลตอบแทนของการทำดีใช่ไหม ข้อความเสียงมีอยู่ว่า "เนี่ยเขาอะเอางานมาให้พวกหนูช่วยทำ (คาดว่าน่าจะเสียงเด็กฝึกงาน) มีการบอกว่าเดี๋ยวพี่ช่วยป้ำสำเนาถูกต้องไว้ให้นะ" อีกเสียงพูดอีกว่า "โอ้ยงานยากมากกกกกก" "งานยากมากกกกก" (เป็นเสียงหัวหน้า) สิ้นเสียงคนในห้องก็หัวเราคิกคักสนุกสนาน เสียงดูมีความสุขแต่มันบาดลึกที่ใจเรามาก เหมือนมีคนเอาไม้หน้าสามมาฟาดที่ท้ายทอย
"เนี่ยเอางานอะไรมาให้หนูทำก็ไม่รู้ บอกเลยหนูไม่ทำๆๆ" เสียงนี้ของน้องฝึกงาน ใบ้หน้ายิ้มแย้มที่เข้ามาถาม พี่ทำงานแบบนี้ดีไหม อย่างนั้นเป็นไง พี่มีอันนั้นอันนี้ให้หนูยืมหรือเปล่า พี่งานส่วนนี้หนูไม่เข้าใจต้องทำแบบไหน ร้อยยิ้มและพฤติกรรมนอบน้อมเหล่านั้น คือสิ่งที่เรียกว่าเสแสร้งเหรอ ทั้งชีวิตนี้ไม่คิดว่าจะได้มาเจออะไรแบบนี้เลย อยู่เงียบๆแล้วยังเป็นที่ขัดหูขัดตาได้อีกเหรอ แล้วอาการที่ดูเหมือนเคารพเรานั้น เห็นหน้าก็เรียกพี่แล้วยกมือไหว้ตลอดๆนั่น ลับหลังทำไมน้ำเสียงดูเป็นคนละคนแบบนี้ คลิปเสียงยังไม่จบ ตอนท้ายมีเสียงนักเรียนกระเทยที่ชอบมานั่งเก้าอี้ ทำงานเราประจำ เสียงก็อกแก๊กๆ (คาดว่าน่าจะเจอมือถือเรา ) เสียงกระซิบ "ขุ่นแม่นางอัดเสียงไว้ อุ้ยทำไงดีค๊าขุ่นแม่ล็อคอินเข้าเครื่องไม่ได้ ปิดเครื่องไงเนี่ย" เสียงหัวหน้าหรือขุ่นแม่ร้องกระซิบเสียงแหบเบา "นี่ไง ว่าแล้วxเห็นเงี่ยบๆมันร้ายนะ มันร้ายเงียบ ตายแล้วๆนี่เราพูดด่าเค้าไปเรื่องไรมั่งเนี่ย" เสียงทุกคนในห้องดูร้อนรน

กว่าจะเสร็จงาน เรากลับมาถึงห้องทุกคนก็อันตรธานกลับบ้านกันไปหมดแล้ว สภาพโต๊ะที่เห็น มือถือเราหล่นลงที่พื้นรอยแตกหน้าจอมีมากกว่าเก่า รอยขึ้ฝุ่นเป็นรอยตรายางรองเท้านักเรียนเต็มหน้าจอมือถือ คาดว่ามือถือเครื่องนี้น่าจะโดนตื้บมาจากเด็กนักเรียนกระเทยควาย(ขอด่าหน่อยเหอะ) ที่เมื่อก่อนเราสนิทในระดับหนึ่ง แต่เดี๋ยวนี้ไม่ค่อยคุยหรือทักเราแล้ว

ตลอดเวลาหัวหน้ามักเหน็บแนมลอยๆ
-ไม่เรียนป.บัณฑิตเพื่อสอบรับราชการ อยู่เลื่อนลอยไปวันๆมันจะมีอนาคตอะไร๊"
(ตลอดปีตอนที่ยังดีๆกับเราพี่เขาชอบยุให้เราไปเรียนเพื่อสอบเข้ารับราชการตลอด แต่เราไม่ไป)
-กลับบ้านดึกๆดื่น ไม่รู้มันทำอะไรกันเนอะ
-วันๆแชทคุยแต่กับผู้ชาย
(ตกใจมากตลอก20กว่าปีนี่โสดสนิท เรียนก็ทุ่มเวลาให้กับเรื่องเรียน ทำงานก็ทุ่มเวลาให้กับงาน แชทคุยก็มีแต่ครูจีนที่ทักถามงาน วันนี้มีกิจกรรมอะไร วันนี้ร่นเวลาเรียนเหลือแค่ 40นาที การทำvisa ,werkpermit บลาๆต่างๆมากมาย ถ้าเราไม่คุยไม่บอกเขา 1 โดยหัวหน้าเทศละ 2 คนจีนฟังไทยออกที่ไหน ส่วนนี้ก็ต้องรับผิดชอบโดยปริยาย)
-ทำงานไม่คุยกัน มันจะไปรู้เรื่องอะไร
(เรื่องนี้เรายอมรับว่าไม่คุยกับหัวหน้า เพราะถามจะโดนเหวี่ยงใส่ แล้วจบที่ต้องหาคำตอบเองตลอด หากทำพลาดก็จะยิ้มมุมปาก บอกว่า "ว่าแล้ว" สมน้ำหน้าเราซ้ำอีก บางทีถาม เขาก็บอกว่า "ไม่รู้ มอบงานให้แล้วก็ไปรับผิดชอบ หาช่องทางแก้เอาเอง" พอมีเรื่องที่เหนือความคาดหมายอย่างเอกสารที่ต้องยื่นในการทำ werkpermit ปีนี้มีการปรับแก้ใช้เอกสารใหม่ ซึ่งมันก็ต่างจากปีที่แล้วที่พี่เขาเคยสอนงาน เราก็ต้องลองผิดลองถูก พอผิดก็โดนซ้ำเติม "พี่ว่าแล้ว" ประโยคนี้ อีหรอบเดิม
-ทำตัวแปลกแยกไม่เข้าสังคม อันนี้หัวหน้าเตือนเราต่อหน้าเลย

เรื่องเหล่านี้ เราพิมพ์ในขณะที่สติสัมปชัญญะครบ ใช้วิจารณญาณ ไม่ใช้อารมณ์ เราขอเป็นกำลังใจให้คนที่เพิ่งเริ่มทำงาน หรือทำงานมานานแล้ว และเป็นคติสอนใจให้เด็กๆจบใหม่ (ซึ่งพี่เองก็จบมาได้2ปี)
เราต้องเจอสิ่งเหล่านี้เพื่อข้ามขั้นไปเป็น "ผู้ใหญ่"
หากใส่หน้ากากไม่เป็น ไม่ชอบนินทาใคร ลูกจะโดนตีตราว่าแปลกแยกไม่เข้าสังคม ทั้งๆที่เฟรนลีเข้ากับคนง่ายแค่ไม่ชอบพูดเท่านั้นเอง ก็อย่าได้ไปสนใจคำครหาเหล่านั้นมากนัก เพราะคนพูดเขายังไม่แคร์เราๆก็อย่าไปใส่ใจคิดถึงเรื่องเหล่านี้ซ้ำๆให้มากนัก ชีวิตเราต้องมีความสุขให้มาก อย่ามองว่ามันคือปัญหาใหญ่ ใจเราปล่อยวางได้เร็วเท่าไร เราก็จะหลุดพ้นจากเขาได้เร็วขึ้นเท่านั้น ให้อภัยและอโหสิกรรมให้เขา  ถือเสียว่าชาตินี้เราได้ชดใช้กรรมต่อกันแล้ว อย่าผูกใจเจ็บ ชาติหน้าจะได้ไม่เวียนว่ายมาชดใช้กรรมต่อกันและเจอคนที่เราไม่ชอบอีก

ความสุขเราไม่อยู่ที่เขา แต่อยู่ที่ใจเราเลือกรู้สึก

มาแชร์ มาระบาย และให้กำลังใจกันได้นะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่