บทนำ https://pantip.com/topic/38091648
เกริ่นนำ : ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางแทนนะคะ ส่วนบทสนทนาซึ่งควรจะเป็นภาษาแต้จิ๋ว จะบรรยายแทนด้วยคำว่าพูดภาษาจีนสำเนียงท้องถิ่น ,นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ
อารัมภบท "รำลึกถึงเฉาโจว"
อากาศยามรุ่งอรุณในวันนี้ บรรยากาศที่ริมแม่น้ำหานคึกคักไปด้วยผู้คนที่มาพักผ่อนหย่อนใจ ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย บางคนยืนเฝ้ารอปลามาติดเบ็ด บางคนพาลูกจูงหลานมานั่งรับลมชมวิวทิวทัศน์ คนแก่คนเฒ่ามานั่งจับเข่าพูดคุยกันอย่างออกอรรถรสเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา
ถัดไปไม่ไกลนัก
“หวงเฉิงเฟิง” ชายหนุ่มวัย ๓๒ ปี ผิวคมเข้ม บุรุษผู้มีรูปร่างสูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ดเซ็นติเมตร ลำตัวตรง เขาสวมชุดสูทผ้าเนื้อดีคลุมทับด้วยเสื้อโค้ทรูปแบบตัดเย็บทันสมัยที่เน้นให้เห็นว่าคนสวมใส่นั้นอกผายไหล่ผึ่ง มีรูปร่างสูง ได้สัดส่วน ใบหน้าคมภายใต้หมวกสักหลาดสีเดียวกับชุด คิ้วเข้มเป็นเส้นตรง ดวงตาคม จมูกโด่งเป็นสันและหนวดดกเข้มที่ยาวปรกตลอดริมฝีปากหยักนั้นยิ่งส่งให้ใบหน้านั้นแลดูคมคายและรอยแผลเป็นที่ใบหน้าขวาแฝงด้วยความดุดัน
นัยน์ตาสีดำประกายคมคู่นั้นกำลังทอดสายตามองแม่น้ำหานที่อยู่เบื้องหน้า แม่น้ำสายนี้ยังคงมีความงดงามอยู่เสมอ รอยยิ้มของเขาทำให้หนวดปรกเหนือริมฝีปากยกขึ้น
เฉิงเฟิงได้เดินทางกลับมาพักผ่อนที่เมืองเฉาโจว หลังจากที่ได้ย้ายไปพำนักที่เมืองซ่างไห่เมื่อหลายปีก่อน ขณะที่เขากำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้น ก็รู้สึกเหมือนเสื้อโค้ทของตัวเองถูกกระตุกเบาๆ พร้อมกับเสียงเล็กที่เอ่ยทักด้วยสำเนียงท้องถิ่น
“คุณอา...”
คนถูกเรียกจึงก้มหน้าลงไปมอง ส่วนเด็กชายที่กำลังแหงนหน้าเรียกเขาอยู่เมื่อสักครู่ถึงกับผงะ เมื่อมองเห็นใบหน้าด้านขวาอย่างชัดเจน แต่เฉิงเฟิงกลับรู้สึกเคยชินกับสายตาที่จ้องมองเขาแบบนี้ ทุกคนที่พบเขาเป็นครั้งแรกย่อมล้วนแต่ตกใจกับรอยแผลเป็นที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าด้านขวาของเขา หากแต่ใบหน้าคมนั้นกลับมีรอยยิ้มเป็นมิตร “มีเรื่องอะไรหรือ”
เด็กชายที่ยืนอยู่ข้างตัว มองดูการแต่งตัวของคุณอาร่างสูงแล้วฟังสำเนียงการพูด ใบหน้าเล็ก ตาเรียว ผิวออกคล้ำแดดแต่งตัวด้วยชุดผ้าป่านเนื้อหยาบ สะพายกระเป๋าผ้าไว้ที่ไหล่ รีบบอกน้ำเสียงตะกุกตะกัก “คุณ..คุณอามาจากซ่างไห่เหรอครับ"
เฉิงเฟิงพยักหน้าเป็นคำตอบ มองดูเด็กชายตรงหน้าที่เป็นคนช่างสังเกต
"แต่คุณอาพูดสำเนียงถิ่นของเราได้ คุณอาเคยอยู่ที่นี่ใช่ไหม" เด็กชายยังคงถามด้วยความอยากจะรู้ ซึ่งก็ทำให้เฉิงเฟิงมีรอยยิ้มแล้วพยักหน้า
"คุณอาจะขัดรองเท้าไหม”
คำถามของเด็กชายทำให้เฉิงเฟิงต้องเลิกคิ้วสูง แต่ก็ไม่ได้ทำให้นึกแปลกใจมากนัก เพราะตลอดเวลาที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็ได้เห็นกิจกรรมของผู้คนรอบข้างผ่านตาบ้าง รวมทั้งเด็กชายคนนี้ก็เช่นกัน เขาเห็นเด็กคนนี้วิ่งไปถามคนที่เดินผ่านไปมาอยู่สามถึงสี่ราย ก็ดูเหมือนว่าล้วนแต่ได้รับการปฏิเสธ
ตอนนี้เฉิงเฟิงจึงเข้าใจแล้วว่าเด็กคนนี้ต้องการอะไร ร่างเล็กนั้นขยับกระเป๋าสะพายที่ไหล่ ดวงตาเรียวนั้นมองเฉิงเฟิงด้วยแววตาที่อ้อนวอน ชายหนุ่มเห็นลักษณะท่าทางของเด็กชายคนนี้ แล้วก็อดหวนนึกถึงเรื่องในอดีตไม่ได้
“คิดค่าจ้างเท่าไหร่” เฉิงเฟิงเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“สามสิบหยวนครับ” เด็กชายคนนั้นรีบบอกทันที ด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง
เฉิงเฟิงพยักหน้าตอบตกลง “ก็ได้.. ลองดู”
เมื่อเด็กชายคนนั้นได้ยินคำตอบของเฉิงเฟิง แล้วก็กระโดดดีใจ ดวงตาเรียวนั้นขนานเป็นเส้นตรงไปพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ระบายบนใบหน้า
“ไปนั่งที่ตรงนั้นแล้วกัน” เฉิงเฟิงชี้มือไปที่เก้าอี้ยาวซึ่งตั้งอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ ห่างไปไม่ไกลจากบริเวณนี้
คนตัวสูงก็เดินนำหน้าเด็กชายไปก่อน เมื่อมาถึงเฉิงเฟิงก็ขยับมือปัดชายเสื้อโค้ททั้งสองข้างไปด้านหลังพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้แล้วก็ถอดหมวกที่สวมออกวางไว้ข้างตัว เผยให้เห็นเรือนผมสีดำขลับที่ถูกตัดสั้น หวีทรงเรียบด้วยน้ำมันแต่งผมเผยให้เห็นเรือนผมสีดำขลับที่ถูกตัดสั้น หวีทรงเรียบด้วยน้ำมันแต่งผม
เด็กชายคนนั้นหยิบเก้าอี้ไม้ตัวเล็กออกมาวางไว้ตรงหน้าเพื่อให้ลูกค้ายกเท้าขึ้นไปวาง พร้อมกับล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายหยิบผ้าและอุปกรณ์ที่จะใช้ทำมาหากินอีกสามสี่ชิ้นออกมาด้วย
เฉิงเฟิงมองตามมือเล็กที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดเตรียมของ ส่วนเขาก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อด้านใน หยิบบุหรี่ออกมาจากกล่องแล้วนำมาคาบไว้ที่ปาก เมื่อเก็บกล่องเรียบร้อย ก็เอ่ยถามทั้งทีปากยังคาบบุหรี่อยู่
“ทำงานขัดรองเท้ามานานหรือยัง”
เด็กชายที่ถูกถามก็พยักหน้า พร้อมกับพูดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับลูกค้ารายแรกด้วยท่าทางที่มั่นอกมั่นใจ หากแต่คนฟังยังคอยสังเกตมองอย่างไม่ละสายตา เมื่อเห็นขั้นตอนการเริ่มลงมือทำงานของเด็กคนนั้น ทำให้เฉิงเฟิงรู้ได้ทันที ถึงกับยกมือขึ้นโบกพร้อมกับร้องห้าม
“เดี๋ยวก่อน!”
ชายหนุ่มใช้นิ้วหนีบบุหรี่ออกจาก เขานั่งโน้มตัวก้มมาข้างหน้าแล้วพาดข้อศอกทั้งสองข้างวางไว้บนหน้าตัก
“ทำอย่างนี้ มันยังใช้ไม่ได้ ไม่ถูกวิธี”
คำพูดของเฉิงเฟิงทำให้เด็กชายที่กำลังจะลงมือขัดรองเท้าถึงกับชะงัก มือไม้สั่น เขาเคยขัดรองเท้ามาหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยมีใครทักท้วง
“นายมีชื่อแซ่ว่าอะไร”
“ผมแซ่จาง ชื่อหมิงครับ” เด็กชายตอบน้ำเสียงเบา ก้มหน้าก้มตาเกรงว่าจะถูกตำหนิอีก
“จางหมิง เดี๋ยวอาจะบอกให้ว่าต้องทำยังไง” เฉิงเฟิงหยิบบุหรี่กลับมาคาบไว้กับปากแล้วก็อธิบายให้เด็กชายฟังไปด้วย
“ก่อนจะขัดรองเท้า นายจะต้องคลายเชือกออก แล้วเตรียมเช็ดฝุ่นก่อน แบบนี้ จากนั้นก็ใช้ผ้าชิ้นนี้เช็ดคราบเดิมก่อน ขั้นตอนนี้ให้ถูเบามือหน่อย เข้าใจใช่ไหม” เฉิงเฟิงพูดไปก็ลงมือทำให้ดูด้วย
“เตรียมเสร็จก็เริ่มขัดด้วยยากระปุกนี้ แล้วทำแบบนี้” เฉิงเฟิงเอื้อมมือหยิบตลับยาขัด แล้วลงมือสาธิตวิธีต่อไป
"ส่วนนี้ก็สำคัญ" ชายหนุ่มชี้ให้เด็กชายมองดูรอบบริเวณขอบรองเท้าไปด้วย
จางหมิงได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองลูกค้าที่นั่งอยู่ตรงหน้าที่กลับเป็นฝ่ายพูดให้คำชี้แนะกับเขา
“เข้าใจดีแล้วใช่ไหม” เฉิงเฟิงขยับปากพูดไปพร้อมกับคาบบุหรี่ไปด้วย
เมื่อได้เห็นผลงานของรองเท้าข้างหนึ่ง ที่ลูกค้าเป็นคนลงมือขัดเอง เป็นที่ประจักษ์กับสายตา เด็กชายจางหมิงก็พยักหน้าเข้าใจในทันที
“ถ้าจะทำงาน ก็ต้องทำให้ดี ลูกค้าจะได้เชื่อใจ คราวนี้ก็ลงมือทำได้”
เฉิงเฟิงบอกแล้วก็ล้วงมือไปในกระเป๋าหยิบผ้าออกมาเช็ดมือ เสร็จเรียบร้อยก็หยิบไฟแช็คขึ้นจุดบุหรี่ คราวนี้เขานั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ วางมือข้างหนึ่งพาดไว้บนพนัก ปล่อยให้รองเท้าที่เหลืออีกข้างหนึ่งเป็นหน้าที่ของเด็กชายจางหมิงต่อไป
ชายหนุ่มเงยหน้าพ่นควันสีขาวก่อนที่จะใช้นิ้วคีบบุหรี่ออกจากปากแล้วเอ่ยถามกับจางหมิง “อาหมิง ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว”
“ผมอายุสิบสองแล้วครับ”
เฉิงเฟิงมองใบหน้าเล็ก ทั้งอายุที่ใกล้เคียง ดวงตากับรอยยิ้มของเด็กคนนี้ทำให้เขานึกถึง 'หูเจี้ยน' น้องชายร่วมสาบานอีกคน
“ถ้าอย่างนั้นนายก็เกิดปีฉลูสินะ..แล้วเรียนหนังสือหรือยังล่ะ”
จางหมิงชะงักมือที่กำลังขัดรองเท้าอยู่โดยยังไม่มีคำตอบหลุดออกมาจากปาก ทำให้เฉิงเฟิงรู้ได้ทันทีว่าเด็กคนนี้คงยังไม่ได้เรียนหนังสือเป็นแน่
“แล้วนายอยากเรียนหนังสือไหม”
คำถามนั้น ทำให้เด็กชายจางหมิงต้องเงยขึ้นมองหน้าเฉิงฟง คิ้วเล็กขมวดกัน
“ผมอยากจะเรียน…แต่.." จางหมิงลังเลไปชั่วครู่ก่อนที่จะบอกต่อไป "ที่บ้านคงไม่มีเงินพอ”
เด็กชายจางหมิงพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพียงแค่นั้นแล้วก็ก้มหน้าลงทำงานของเขาต่อไป
เฉิงเฟิงสูบบุหรี่แล้วพ่นควันออกจากปากอีกครั้ง พร้อมกับมองเด็กชายตรงหน้า “ยังมีเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เรียนหนังสืออีกไหม”
จางหมิงพยักหน้าแล้วบอกกับเฉิงเฟิง เขาฟังเรื่องราวทุกคำพูดจากปากของเด็กชายอย่างตั้งใจ พร้อมกับสูบบุหรี่ไปด้วย
เวลาผ่านไปราวยี่สิบนาทีจนกระทั่งจางหมิงขัดรองเท้าเสร็จ ผู้เป็นลูกค้าชะโงกหน้ามองดูผลงานของเด็กชายผู้รับจ้างขัดรองเท้าแล้ว ใบหน้าคมคายของเฉิงเฟิงก็มีรอยยิ้ม มือหนาล้วงเข้าไปที่กระเป๋าเสื้อด้านในแล้วหยิบธนบัตรออกมายื่นส่งให้กับเด็กชายตรงหน้า
จางหมิงถึงกับมองธนบัตรมูลค่าร้อยหยวนใบนั้นสลับกับมองหน้าของเฉิงเฟิง
“ผมไม่มีเงินทอนเลยครับ วันนี้..คุณอาเพิ่งเป็นลูกค้าคนแรกที่ให้ผมขัดรองเท้าให้”
เฉิงเฟิงเอื้อมไปจับมือแล้ววางธนบัตรใบนั้นลงบนมือของจางหมิง “ไม่ต้องทอนหรอก เงินนี่เป็นค่าจ้างที่นายลงแรงทำงาน รับไว้สิ”
จางหมิงฟังแล้วก็ดีใจ มองธนบัตรที่เขาได้รับอยู่ในมือพร้อมกับกล่าวขอบคุณ เด็กชายเก็บเงินใส่กระเป๋าแล้วเก็บข้าวของเพราะต้องรีบกลับไปช่วยงานที่บ้านอีก ก่อนจากกันจางหมิงหันมาค้อมตัวกล่าวขอบคุณกับเฉิงฟงอีกหลายครั้งแล้วก็อำลาเดินจากไป
ใบหน้าเล็กที่ระบายไปด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจของเด็กคนนั้น ทำให้เฉิงเฟิงคิดว่า
ช่างเหมือนเมื่อสสมัยที่เขาอายุเพียง ๑๔ ปี ตอนนั้นเขาเองก็ได้เงินก้อนแรกจากน้ำพักน้ำแรงในการทำงานขัดรองเท้าเช่นกัน…
ชายหนุ่มหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาเปิดดูเวลา ขณะนี้เพิ่งจะสิบเอ็ดโมงเช้า อากาศยังคงเย็นสบาย พอมีเวลาเหลือเฟือที่เขาจะนั่งพักผ่อน เอนหลังพิงพนัก ปลดปล่อยความรู้สึกไปกับภาพทิวทัศน์ที่งดงามอยู่เบื้องหน้า
เฉิงเฟิงหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบอีกครั้ง พร้อมทั้งยิ้มกับตัวเอง มันกลายเป็นความเคยชินราวกับว่าการสูบบุหรี่เป็นกิจวัตรประในยามว่างที่ขาดไม่ได้ พอกับการดื่มน้ำชาร้อนๆ หรือชนจอกสุราที่มีรสเลิศอย่างเหมาไถเพื่อการสังสรรค์..
เฉิงเฟิงหวนนึก
ถึงการย้ายไปพักอยู่ที่เมืองซ่างไห่ การได้ก้าวขึ้นไปเป็นลูกพี่ใหญ่ของสมาคม 'อินทรี' นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่ต้องรับมือกับกลุ่มอิทธิพลที่ยังคงมีอยู่รายล้อม ที่คอยจ้องหาโอกาส ส่วนอีกสองสมาคมใหญ่ 'อินทรีเงิน' กับ 'อินทรีทอง' ก็ยังถือว่ามีความสมัครสมานและเคารพในกฏเกณฑ์กันอยู่
หากเทียบแล้วเขาก็ยังเป็น 'น้องเล็ก' ของอีกสองสมาคม แต่เฉิงฟงกลับรู้สึกพึงพอใจที่จะอยู่แค่นี้ เพราะเขายังมีภารกิจอีกด้านที่ต้องสะสาง ส่วนการกลับมาเยือนเมืองเฉาโจวในครั้งนี้จึงสร้างความสบายใจให้กับเขาเป็นพิเศษ
ภาพแห่งความหลังเมื่อครั้งแรกที่เขามาที่เมืองเฉาโจวแห่งนี้ ได้ผุดขึ้นมาในห้วงของความนึกคิดอีกครั้ง
มันเป็นความทรงจำที่เฉิงเฟิง..ไม่มีวันลืมเลือน...
ผู้แต่ง : เก้าเกสร

ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ

黃成風 ยอดบุรุษซ่อนคมพยัคฆ์ : หวงเฉิงฟง (เตชินท์) ~ รำลึกถึงเฉาโจว~
เกริ่นนำ : ภาษาที่ใช้เรียกขานชื่อตัวละครและสถานที่ทั้งหมดจะเรียกเป็นภาษาจีนกลางแทนนะคะ ส่วนบทสนทนาซึ่งควรจะเป็นภาษาแต้จิ๋ว จะบรรยายแทนด้วยคำว่าพูดภาษาจีนสำเนียงท้องถิ่น ,นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องที่แต่งขึ้นทั้งหมด
คำเตือน : บุหรี่และสุราเป็นอันตรายต่อชีวิตและสุขภาพ
อากาศยามรุ่งอรุณในวันนี้ บรรยากาศที่ริมแม่น้ำหานคึกคักไปด้วยผู้คนที่มาพักผ่อนหย่อนใจ ท่ามกลางอากาศที่เย็นสบาย บางคนยืนเฝ้ารอปลามาติดเบ็ด บางคนพาลูกจูงหลานมานั่งรับลมชมวิวทิวทัศน์ คนแก่คนเฒ่ามานั่งจับเข่าพูดคุยกันอย่างออกอรรถรสเหมือนเช่นที่เคยเป็นมา
ถัดไปไม่ไกลนัก “หวงเฉิงเฟิง” ชายหนุ่มวัย ๓๒ ปี ผิวคมเข้ม บุรุษผู้มีรูปร่างสูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบเจ็ดเซ็นติเมตร ลำตัวตรง เขาสวมชุดสูทผ้าเนื้อดีคลุมทับด้วยเสื้อโค้ทรูปแบบตัดเย็บทันสมัยที่เน้นให้เห็นว่าคนสวมใส่นั้นอกผายไหล่ผึ่ง มีรูปร่างสูง ได้สัดส่วน ใบหน้าคมภายใต้หมวกสักหลาดสีเดียวกับชุด คิ้วเข้มเป็นเส้นตรง ดวงตาคม จมูกโด่งเป็นสันและหนวดดกเข้มที่ยาวปรกตลอดริมฝีปากหยักนั้นยิ่งส่งให้ใบหน้านั้นแลดูคมคายและรอยแผลเป็นที่ใบหน้าขวาแฝงด้วยความดุดัน
นัยน์ตาสีดำประกายคมคู่นั้นกำลังทอดสายตามองแม่น้ำหานที่อยู่เบื้องหน้า แม่น้ำสายนี้ยังคงมีความงดงามอยู่เสมอ รอยยิ้มของเขาทำให้หนวดปรกเหนือริมฝีปากยกขึ้น
เฉิงเฟิงได้เดินทางกลับมาพักผ่อนที่เมืองเฉาโจว หลังจากที่ได้ย้ายไปพำนักที่เมืองซ่างไห่เมื่อหลายปีก่อน ขณะที่เขากำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่นั้น ก็รู้สึกเหมือนเสื้อโค้ทของตัวเองถูกกระตุกเบาๆ พร้อมกับเสียงเล็กที่เอ่ยทักด้วยสำเนียงท้องถิ่น
“คุณอา...”
คนถูกเรียกจึงก้มหน้าลงไปมอง ส่วนเด็กชายที่กำลังแหงนหน้าเรียกเขาอยู่เมื่อสักครู่ถึงกับผงะ เมื่อมองเห็นใบหน้าด้านขวาอย่างชัดเจน แต่เฉิงเฟิงกลับรู้สึกเคยชินกับสายตาที่จ้องมองเขาแบบนี้ ทุกคนที่พบเขาเป็นครั้งแรกย่อมล้วนแต่ตกใจกับรอยแผลเป็นที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าด้านขวาของเขา หากแต่ใบหน้าคมนั้นกลับมีรอยยิ้มเป็นมิตร “มีเรื่องอะไรหรือ”
เด็กชายที่ยืนอยู่ข้างตัว มองดูการแต่งตัวของคุณอาร่างสูงแล้วฟังสำเนียงการพูด ใบหน้าเล็ก ตาเรียว ผิวออกคล้ำแดดแต่งตัวด้วยชุดผ้าป่านเนื้อหยาบ สะพายกระเป๋าผ้าไว้ที่ไหล่ รีบบอกน้ำเสียงตะกุกตะกัก “คุณ..คุณอามาจากซ่างไห่เหรอครับ"
เฉิงเฟิงพยักหน้าเป็นคำตอบ มองดูเด็กชายตรงหน้าที่เป็นคนช่างสังเกต
"แต่คุณอาพูดสำเนียงถิ่นของเราได้ คุณอาเคยอยู่ที่นี่ใช่ไหม" เด็กชายยังคงถามด้วยความอยากจะรู้ ซึ่งก็ทำให้เฉิงเฟิงมีรอยยิ้มแล้วพยักหน้า
"คุณอาจะขัดรองเท้าไหม”
คำถามของเด็กชายทำให้เฉิงเฟิงต้องเลิกคิ้วสูง แต่ก็ไม่ได้ทำให้นึกแปลกใจมากนัก เพราะตลอดเวลาที่ยืนอยู่ตรงนี้ก็ได้เห็นกิจกรรมของผู้คนรอบข้างผ่านตาบ้าง รวมทั้งเด็กชายคนนี้ก็เช่นกัน เขาเห็นเด็กคนนี้วิ่งไปถามคนที่เดินผ่านไปมาอยู่สามถึงสี่ราย ก็ดูเหมือนว่าล้วนแต่ได้รับการปฏิเสธ
ตอนนี้เฉิงเฟิงจึงเข้าใจแล้วว่าเด็กคนนี้ต้องการอะไร ร่างเล็กนั้นขยับกระเป๋าสะพายที่ไหล่ ดวงตาเรียวนั้นมองเฉิงเฟิงด้วยแววตาที่อ้อนวอน ชายหนุ่มเห็นลักษณะท่าทางของเด็กชายคนนี้ แล้วก็อดหวนนึกถึงเรื่องในอดีตไม่ได้
“คิดค่าจ้างเท่าไหร่” เฉิงเฟิงเอ่ยถามด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม
“สามสิบหยวนครับ” เด็กชายคนนั้นรีบบอกทันที ด้วยท่าทีกระฉับกระเฉง
เฉิงเฟิงพยักหน้าตอบตกลง “ก็ได้.. ลองดู”
เมื่อเด็กชายคนนั้นได้ยินคำตอบของเฉิงเฟิง แล้วก็กระโดดดีใจ ดวงตาเรียวนั้นขนานเป็นเส้นตรงไปพร้อมกับรอยยิ้มกว้างที่ระบายบนใบหน้า
“ไปนั่งที่ตรงนั้นแล้วกัน” เฉิงเฟิงชี้มือไปที่เก้าอี้ยาวซึ่งตั้งอยู่ข้างต้นไม้ใหญ่ ห่างไปไม่ไกลจากบริเวณนี้
คนตัวสูงก็เดินนำหน้าเด็กชายไปก่อน เมื่อมาถึงเฉิงเฟิงก็ขยับมือปัดชายเสื้อโค้ททั้งสองข้างไปด้านหลังพร้อมกับทิ้งตัวนั่งลงบนเก้าอี้แล้วก็ถอดหมวกที่สวมออกวางไว้ข้างตัว เผยให้เห็นเรือนผมสีดำขลับที่ถูกตัดสั้น หวีทรงเรียบด้วยน้ำมันแต่งผมเผยให้เห็นเรือนผมสีดำขลับที่ถูกตัดสั้น หวีทรงเรียบด้วยน้ำมันแต่งผม
เด็กชายคนนั้นหยิบเก้าอี้ไม้ตัวเล็กออกมาวางไว้ตรงหน้าเพื่อให้ลูกค้ายกเท้าขึ้นไปวาง พร้อมกับล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าสะพายหยิบผ้าและอุปกรณ์ที่จะใช้ทำมาหากินอีกสามสี่ชิ้นออกมาด้วย
เฉิงเฟิงมองตามมือเล็กที่กำลังง่วนอยู่กับการจัดเตรียมของ ส่วนเขาก็ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อด้านใน หยิบบุหรี่ออกมาจากกล่องแล้วนำมาคาบไว้ที่ปาก เมื่อเก็บกล่องเรียบร้อย ก็เอ่ยถามทั้งทีปากยังคาบบุหรี่อยู่
“ทำงานขัดรองเท้ามานานหรือยัง”
เด็กชายที่ถูกถามก็พยักหน้า พร้อมกับพูดเพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับลูกค้ารายแรกด้วยท่าทางที่มั่นอกมั่นใจ หากแต่คนฟังยังคอยสังเกตมองอย่างไม่ละสายตา เมื่อเห็นขั้นตอนการเริ่มลงมือทำงานของเด็กคนนั้น ทำให้เฉิงเฟิงรู้ได้ทันที ถึงกับยกมือขึ้นโบกพร้อมกับร้องห้าม
“เดี๋ยวก่อน!”
ชายหนุ่มใช้นิ้วหนีบบุหรี่ออกจาก เขานั่งโน้มตัวก้มมาข้างหน้าแล้วพาดข้อศอกทั้งสองข้างวางไว้บนหน้าตัก
“ทำอย่างนี้ มันยังใช้ไม่ได้ ไม่ถูกวิธี”
คำพูดของเฉิงเฟิงทำให้เด็กชายที่กำลังจะลงมือขัดรองเท้าถึงกับชะงัก มือไม้สั่น เขาเคยขัดรองเท้ามาหลายครั้ง แต่ยังไม่เคยมีใครทักท้วง
“นายมีชื่อแซ่ว่าอะไร”
“ผมแซ่จาง ชื่อหมิงครับ” เด็กชายตอบน้ำเสียงเบา ก้มหน้าก้มตาเกรงว่าจะถูกตำหนิอีก
“จางหมิง เดี๋ยวอาจะบอกให้ว่าต้องทำยังไง” เฉิงเฟิงหยิบบุหรี่กลับมาคาบไว้กับปากแล้วก็อธิบายให้เด็กชายฟังไปด้วย
“ก่อนจะขัดรองเท้า นายจะต้องคลายเชือกออก แล้วเตรียมเช็ดฝุ่นก่อน แบบนี้ จากนั้นก็ใช้ผ้าชิ้นนี้เช็ดคราบเดิมก่อน ขั้นตอนนี้ให้ถูเบามือหน่อย เข้าใจใช่ไหม” เฉิงเฟิงพูดไปก็ลงมือทำให้ดูด้วย
“เตรียมเสร็จก็เริ่มขัดด้วยยากระปุกนี้ แล้วทำแบบนี้” เฉิงเฟิงเอื้อมมือหยิบตลับยาขัด แล้วลงมือสาธิตวิธีต่อไป
"ส่วนนี้ก็สำคัญ" ชายหนุ่มชี้ให้เด็กชายมองดูรอบบริเวณขอบรองเท้าไปด้วย
จางหมิงได้แต่กะพริบตาปริบๆ มองลูกค้าที่นั่งอยู่ตรงหน้าที่กลับเป็นฝ่ายพูดให้คำชี้แนะกับเขา
“เข้าใจดีแล้วใช่ไหม” เฉิงเฟิงขยับปากพูดไปพร้อมกับคาบบุหรี่ไปด้วย
เมื่อได้เห็นผลงานของรองเท้าข้างหนึ่ง ที่ลูกค้าเป็นคนลงมือขัดเอง เป็นที่ประจักษ์กับสายตา เด็กชายจางหมิงก็พยักหน้าเข้าใจในทันที
“ถ้าจะทำงาน ก็ต้องทำให้ดี ลูกค้าจะได้เชื่อใจ คราวนี้ก็ลงมือทำได้”
เฉิงเฟิงบอกแล้วก็ล้วงมือไปในกระเป๋าหยิบผ้าออกมาเช็ดมือ เสร็จเรียบร้อยก็หยิบไฟแช็คขึ้นจุดบุหรี่ คราวนี้เขานั่งเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ วางมือข้างหนึ่งพาดไว้บนพนัก ปล่อยให้รองเท้าที่เหลืออีกข้างหนึ่งเป็นหน้าที่ของเด็กชายจางหมิงต่อไป
ชายหนุ่มเงยหน้าพ่นควันสีขาวก่อนที่จะใช้นิ้วคีบบุหรี่ออกจากปากแล้วเอ่ยถามกับจางหมิง “อาหมิง ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว”
“ผมอายุสิบสองแล้วครับ”
เฉิงเฟิงมองใบหน้าเล็ก ทั้งอายุที่ใกล้เคียง ดวงตากับรอยยิ้มของเด็กคนนี้ทำให้เขานึกถึง 'หูเจี้ยน' น้องชายร่วมสาบานอีกคน
“ถ้าอย่างนั้นนายก็เกิดปีฉลูสินะ..แล้วเรียนหนังสือหรือยังล่ะ”
จางหมิงชะงักมือที่กำลังขัดรองเท้าอยู่โดยยังไม่มีคำตอบหลุดออกมาจากปาก ทำให้เฉิงเฟิงรู้ได้ทันทีว่าเด็กคนนี้คงยังไม่ได้เรียนหนังสือเป็นแน่
“แล้วนายอยากเรียนหนังสือไหม”
คำถามนั้น ทำให้เด็กชายจางหมิงต้องเงยขึ้นมองหน้าเฉิงฟง คิ้วเล็กขมวดกัน
“ผมอยากจะเรียน…แต่.." จางหมิงลังเลไปชั่วครู่ก่อนที่จะบอกต่อไป "ที่บ้านคงไม่มีเงินพอ”
เด็กชายจางหมิงพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา เพียงแค่นั้นแล้วก็ก้มหน้าลงทำงานของเขาต่อไป
เฉิงเฟิงสูบบุหรี่แล้วพ่นควันออกจากปากอีกครั้ง พร้อมกับมองเด็กชายตรงหน้า “ยังมีเพื่อนๆ ที่ไม่ได้เรียนหนังสืออีกไหม”
จางหมิงพยักหน้าแล้วบอกกับเฉิงเฟิง เขาฟังเรื่องราวทุกคำพูดจากปากของเด็กชายอย่างตั้งใจ พร้อมกับสูบบุหรี่ไปด้วย
เวลาผ่านไปราวยี่สิบนาทีจนกระทั่งจางหมิงขัดรองเท้าเสร็จ ผู้เป็นลูกค้าชะโงกหน้ามองดูผลงานของเด็กชายผู้รับจ้างขัดรองเท้าแล้ว ใบหน้าคมคายของเฉิงเฟิงก็มีรอยยิ้ม มือหนาล้วงเข้าไปที่กระเป๋าเสื้อด้านในแล้วหยิบธนบัตรออกมายื่นส่งให้กับเด็กชายตรงหน้า
จางหมิงถึงกับมองธนบัตรมูลค่าร้อยหยวนใบนั้นสลับกับมองหน้าของเฉิงเฟิง
“ผมไม่มีเงินทอนเลยครับ วันนี้..คุณอาเพิ่งเป็นลูกค้าคนแรกที่ให้ผมขัดรองเท้าให้”
เฉิงเฟิงเอื้อมไปจับมือแล้ววางธนบัตรใบนั้นลงบนมือของจางหมิง “ไม่ต้องทอนหรอก เงินนี่เป็นค่าจ้างที่นายลงแรงทำงาน รับไว้สิ”
จางหมิงฟังแล้วก็ดีใจ มองธนบัตรที่เขาได้รับอยู่ในมือพร้อมกับกล่าวขอบคุณ เด็กชายเก็บเงินใส่กระเป๋าแล้วเก็บข้าวของเพราะต้องรีบกลับไปช่วยงานที่บ้านอีก ก่อนจากกันจางหมิงหันมาค้อมตัวกล่าวขอบคุณกับเฉิงฟงอีกหลายครั้งแล้วก็อำลาเดินจากไป
ใบหน้าเล็กที่ระบายไปด้วยรอยยิ้มแห่งความดีใจของเด็กคนนั้น ทำให้เฉิงเฟิงคิดว่าช่างเหมือนเมื่อสสมัยที่เขาอายุเพียง ๑๔ ปี ตอนนั้นเขาเองก็ได้เงินก้อนแรกจากน้ำพักน้ำแรงในการทำงานขัดรองเท้าเช่นกัน…
ชายหนุ่มหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาเปิดดูเวลา ขณะนี้เพิ่งจะสิบเอ็ดโมงเช้า อากาศยังคงเย็นสบาย พอมีเวลาเหลือเฟือที่เขาจะนั่งพักผ่อน เอนหลังพิงพนัก ปลดปล่อยความรู้สึกไปกับภาพทิวทัศน์ที่งดงามอยู่เบื้องหน้า
เฉิงเฟิงหยิบบุหรี่ขึ้นมาจุดสูบอีกครั้ง พร้อมทั้งยิ้มกับตัวเอง มันกลายเป็นความเคยชินราวกับว่าการสูบบุหรี่เป็นกิจวัตรประในยามว่างที่ขาดไม่ได้ พอกับการดื่มน้ำชาร้อนๆ หรือชนจอกสุราที่มีรสเลิศอย่างเหมาไถเพื่อการสังสรรค์..
เฉิงเฟิงหวนนึกถึงการย้ายไปพักอยู่ที่เมืองซ่างไห่ การได้ก้าวขึ้นไปเป็นลูกพี่ใหญ่ของสมาคม 'อินทรี' นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่ต้องรับมือกับกลุ่มอิทธิพลที่ยังคงมีอยู่รายล้อม ที่คอยจ้องหาโอกาส ส่วนอีกสองสมาคมใหญ่ 'อินทรีเงิน' กับ 'อินทรีทอง' ก็ยังถือว่ามีความสมัครสมานและเคารพในกฏเกณฑ์กันอยู่
หากเทียบแล้วเขาก็ยังเป็น 'น้องเล็ก' ของอีกสองสมาคม แต่เฉิงฟงกลับรู้สึกพึงพอใจที่จะอยู่แค่นี้ เพราะเขายังมีภารกิจอีกด้านที่ต้องสะสาง ส่วนการกลับมาเยือนเมืองเฉาโจวในครั้งนี้จึงสร้างความสบายใจให้กับเขาเป็นพิเศษ
ภาพแห่งความหลังเมื่อครั้งแรกที่เขามาที่เมืองเฉาโจวแห่งนี้ ได้ผุดขึ้นมาในห้วงของความนึกคิดอีกครั้ง
มันเป็นความทรงจำที่เฉิงเฟิง..ไม่มีวันลืมเลือน...